ตอนที่ 99 คุณอาป้อนแม่สิคะ
โต้วโต้วรู้ความมาก จึงตอบรับอย่างดีใจด้วยเสียงแหลมเล็กตามประสา
หลินม่ายพาหล่อนไปอาบน้ำ จากนั้นก็หยิบชุดใหม่ที่ฟางจั๋วหรานเป็นคนซื้อให้ขึ้นมา
โต้วโต้วตบมือน้อย ๆ ด้วยความยินดี “มีเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ใส่แล้ว!”
หล่อนกวาดตามองเสื้อผ้าทั้งหมดที่วางเรียงอยู่บนเตียง ก่อนจะเดินไปหยิบชุดที่ฟางจั๋วหรานเป็นคนซื้อและถือไว้ไม่ยอมปล่อย “แม่คะ หนูขอใส่ชุดนี้ได้ไหม?”
“ได้จ้ะ!” หลินม่ายจัดการสวมชุดนั้นให้ลูกสาว ยิ่งมองก็ยิ่งน่ารักน่าเอ็นดู
โต้วโต้วยืนส่องกระจกหน้าตู้เสื้อผ้า ชื่นชมตัวเองอยู่นานทีเดียว สองมือน้อย ๆ ล้วงเข้าไปในกระเป๋าใบใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าชุดเอี๊ยม
จากนั้นก็หันไปพูดอย่างระมัดระวัง “แม่คะ ถ้ามีขนมอยู่ในกระเป๋านี้คงจะดีไม่น้อยเลย”
หลินม่ายยกนิ้วจิ้มปลายจมูกน้อย ๆ ของหล่อน “ดูลูกสิ กินเยอะจนตุ้ยนุ้ยใหญ่แล้ว”
โต้วโต้วยิ้มหวานด้วยความเขินอาย
เพราะได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจากหลินม่าย กินดื่มแต่อาหารดี ๆ ร่างกายจึงเจริญเติบโตสมวัย
ตอนนี้ผิวของโต้วโต้วขาวเปล่งปลั่ง แถมยังจิ้มลิ้มราวกับตุ๊กตาตัวน้อยในปฏิทินปีใหม่
ดึกมากแล้ว หลินม่ายยังนอนไม่หลับ เอาแต่พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง
ชั่วขณะหนึ่ง เธอนึกถึงเสื้อผ้าสองสามชุดที่ฟางจั๋วหรานเป็นคนซื้อให้ และแล้วความคิดเจ้ากรรมก็หวนนึกถึงคำพูดของโจวฉายอวิ๋นและคุณป้าสองคนในหมู่บ้านซานหยาง
หรือว่าฉัน… ควรเป็นฝ่ายเข้าหาฟางจั๋วหรานจริง ๆ?
เธอไม่สนใจว่าหัวใจของตัวเองจะเคยถูกอู๋เสี่ยวเจี๋ยนทำลายในภพชาติก่อนจนไม่เหลือชิ้นดี เธอยังคงตั้งตารอความรักครั้งใหม่หลังจากที่เธอมีโอกาสย้อนเวลามาเกิดใหม่อีกครั้ง!
…แต่ว่า… ฟางจั๋วหรานคิดกับเธอแค่น้องสาวนี่นา ขืนเธอเป็นฝ่ายเข้าหาเขา แล้วถ้าเขาเกิดไม่เล่นด้วยขึ้นมาล่ะ แบบนั้นคงน่าอายแน่!
ช่างเถอะ อย่าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเลยจะดีกว่า ไม่เริ่มก่อนอย่างน้อยหน้าก็ไม่แตก
พอมีร้านเป็นของตัวเองแล้ว เธอก็ไม่จำเป็นต้องตื่นนอนตั้งแต่ตีสามหรือตีสี่อีกต่อไป แถมยังไม่ต้องรีบร้อนนึ่งซาลาเปาสามร้อยลูกให้เสร็จก่อนหกโมงเช้า เพื่อที่จะเข็นรถออกไปตั้งแผงลอยริมถนน
ตอนนี้เธอสามารถตื่นสายสักประมาณตีห้า แล้วเริ่มนึ่งซาลาเปาชุดแรกให้เสร็จก่อนหกโมงครึ่งได้
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินม่ายตื่นนอนตอนตีห้า สวมเสื้อและกางเกงตัวใหม่ที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวานนี้ แล้วออกไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อเนื้อหมู
หลังจากกลับมาแล้ว เธอก็ยกหน้าที่ผสมไส้ให้กับโจวฉายอวิ๋น ส่วนเธอจะเป็นคนห่อ
ถึงแม้ทักษะการทำอาหารของโจวฉายอวิ๋นจะไม่ได้แย่ แต่พอเทียบฝีมือกับเธอแล้วยังมีช่องว่างอยู่บ้าง เพราะไส้ที่เธอเป็นคนผสมด้วยตัวเองจะมีรสชาติอร่อยกว่า
เวลาหกโมงครึ่ง ซาลาเปาและไข่ต้มชุดแรกก็สุกหอมสดใหม่
การเปิดร้านบนถนนแบบนี้แตกต่างจากการตั้งแผงลอยบริเวณท่าเรืออยู่บ้าง
เนื่องจากบริเวณท่าเรือจะเริ่มมีคนพลุกพล่านตั้งแต่หกโมงครึ่ง เพราะมีคนนั่งเรือข้ามฟากไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่
ในขณะที่พนักงานออฟฟิศไม่จำเป็นต้องตื่นแต่เช้าเพื่อนั่งเรือข้ามฟากหรือเดินทางไปทำงานแต่เช้าตรู่ขนาดนั้น จึงไม่แปลกที่เวลาหกโมงครึ่งแบบนี้ การค้าขายบนถนนเจี่ยเฟิงค่อนข้างจะซบเซากว่า
ถึงอย่างนั้นหลินม่ายก็ไม่ได้รีบร้อน รอให้ถึงเจ็ดโมงเช้าเสียก่อน การค้าขายคงคึกคักมากขึ้น
ระหว่างนั้นเธอก็จัดการนึ่งซาลาเปาเพิ่มอีกชุดหนึ่ง เพื่อไม่ให้ของหมดจนขาดตอนในขณะที่หน้าร้านกำลังขายดิบขายดี
เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เวลาเจ็ดโมงเช้าเริ่มมีผู้คนสัญจรผ่านหน้าร้านกันอย่างขวักไขว่ ถนนที่เคยเงียบสงัดและหนาวเย็นมีเสียงดังและมีชีวิตชีวามากขึ้น
โจวฉายอวิ๋นรับผิดชอบหน้าที่ทำอาหารเช่นเคย ส่วนหลินม่ายรับผิดชอบการขาย
หลินม่ายย้ายโต๊ะคิดเงินไปตั้งหน้าร้าน บนโต๊ะมีซึ้งไม้ไผ่บรรจุซาลาเปาร้อน ๆ ถัดมาเป็นหม้อต้มไข่ที่ตั้งอยู่เหนือเตาถ่านอีกทีหนึ่ง
กลิ่นหอมฟุ้งของไข่ต้มโชยมาแต่ไกล ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างหันมามองร้านของหลินม่ายด้วยความสนใจ ถึงแม้บางคนจะไม่ได้หยุดซื้อ แต่ก็อดน้ำลายไหลไม่ได้
คนที่สนใจซื้อตรงเข้ามาถามไถ่ “ไข่ต้มนี่ขายยังไงหรือ?”
หลินม่ายชูนิ้วขึ้นมา “ฟองละหนึ่งเหมาค่ะ”
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เธอพูดเสริมด้วยว่า “มีซาลาเปาไส้เนื้อกับไส้ซึงฉ่ายขายด้วยนะคะ ซาลาเปาไส้เนื้อขายลูกละสิบห้าเหมา ไส้ซึงฉ่ายลูกละสิบเหมา ทั้งหมดนี้ไม่ต้องใช้คูปองอาหาร สนใจรับสักสองลูกไหมคะ?”
ซาลาเปาที่ขายอยู่ในร้านอาหารของรัฐก็ขายในราคาเดียวกันนี้เหมือนกัน แต่พวกเขารับคูปองอาหารร่วมด้วย
ลูกค้าถามราวต้องการชั่งใจ “ซาลาเปาลูกเล็กหรือเปล่า”
“เชิญดูเองได้เลยค่ะ แต่ละลูกไม่เล็กเลยนะ”
ขณะที่หลินม่ายพูดก็เอื้อมมือไปรวบผ้าขาวบางที่ห่อหุ้มฝาเอาไว้ไม่ให้ความร้อนกระจายออกไปจากซึ้งไม้ไผ่ จากนั้นก็เปิดฝาหม้อนึ่งออก
ภายในซึ้งไม้ไผ่ กลิ่นหอมของแป้งสาลี เนื้อหมู และผักก็ลอยกรุ่นออกมา ซาลาเปาพวกนี้มีขนาดไม่ต่างไปจากซาลาเปาที่วางขายอยู่ในร้านอาหารของรัฐเลย
ที่สำคัญคือลูกค้าไม่จำเป็นต้องจ่ายด้วยคูปองอาหาร ด้วยเหตุนี้ ราคาจึงถือว่าถูกกว่าร้านอาหารของรัฐเสียอีก
เมื่อใคร ๆ ต่างก็เห็นชัดแล้วว่าอาหารแต่ละอย่างของเธอมีราคาถูกมาก ก็กรูกันเข้ามาซื้อซาลาเปาไส้เนื้อคนละสองลูกบ้าง ซื้อซาลาเปาไส้ซึงฉ่ายคนละสองลูกบ้าง บ้างก็ซื้อไข่ต้ม การค้าขายคล่องตัวขึ้นภายในพริบตา
ในขณะที่โต๊ะพับทั้งแปดตัวในร้านยังคงว่างเปล่า
เป็นเพราะซาลาเปานึ่งกับไข่ต้มต่างก็เป็นอาหารเช้าที่สามารถถือแล้วเดินกินไปพลาง ๆ ได้ ไม่จำเป็นต้องนั่งกินให้หมดเสียก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น ชาวเจียงเฉิงมีทักษะพิเศษที่คนส่วนใหญ่ของทั้งประเทศไม่มี คือถึงแม้อาหารตรงหน้าจะเป็นซุปที่ต้องใส่ชาม พวกเขาก็สามารถเดินไปด้วยกินไปด้วยได้ ที่นั่งในร้านจึงไม่จำเป็นเสมอไป
ถึงภายในร้านจะไม่ค่อยมีคนเข้ามานั่งเท่าไรนัก แต่หน้าร้านก็เนืองแน่นไปด้วยลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาซื้ออาหารเช้า เห็นได้ชัดว่าธุรกิจของเธอค่อนข้างประสบความสำเร็จ
ป้าหูเองก็เดินออกมาสอดส่องดูกิจการของหลินม่ายเป็นครั้งคราว พอเห็นว่าร้านของเธอขายดิบขายดี ก็รู้สึกอิจฉาตาร้อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ฟางจั๋วหรานแวะมาอุดหนุนกิจการของหลินม่ายเช่นทุกวัน
ถึงวันนี้เขาจะไม่ต้องเตรียมตัวไปเข้างาน แต่เขากลับมาถึงที่ร้านของเธอตั้งแต่ยังไม่ถึงเจ็ดโมงครึ่งด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นว่าหน้าร้านมีลูกค้าเข้ามาซื้ออาหารเช้าไม่ขาดสาย เขาก็ส่งยิ้มทักทายหลินม่าย “ขายดีเชียวนะ!”
ปากเอ่ยคำทักทาย แต่สายตากลับจับจ้องไปยังเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่
เธอไม่ได้ใส่เสื้อผ้าตัวใหม่ที่เขาซื้อให้…
หลินม่ายยิ้มตอบเขา มือก็สาละวนอยู่กับการหยิบซาลาเปาไส้เนื้อสามลูกกับไข่ต้มอีกสองฟองบรรจุลงในกล่องอาหารกลางวันของเขา “คุณไม่นอนต่ออีกหน่อยล่ะคะ?”
“ผมเคยชินกับการตื่นเช้าไปเสียแล้ว” ฟางจั๋วหรานยื่นมือไปรับกล่องอาหารกลางวัน ก่อนจะเงยหน้ามองขึ้นไปบนกรอบประตูที่ว่างเปล่าของร้าน “คุณไม่คิดจะตั้งชื่อร้านหน่อยเหรอ?”
หลินม่ายตอบเขาไปด้วยขายของไปด้วย “ศาสตราจารย์ฟางช่วยคิดชื่อร้านให้หน่อยสิคะ?”
ฟางจั๋วหรานเริ่มคิดอย่างจริงจัง “ตั้งชื่อร้านว่า ‘เปาห่าวซือ เสี่ยวซือเตี้ยน’ เป็นไง? ในเมื่อคุณขายซาลาเปา ชื่อนี้ก็ดูเหมาะสมดีนะ”
หลินม่ายพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เข้าท่าเลยล่ะค่ะ ชื่อนี้มีความหมายดีมาก ถ้าให้ฉันคิดเองคงจะตั้งชื่อร้านว่า ‘ห่าวไจ้หลาย’ แน่ ๆ”
“ชื่อห่าวไจ้หลายก็เข้าท่าดีออก น่าสนใจ แถมยังจำง่ายอีกด้วย”
ฟางจั๋วหรานบรรจงปอกเปลือกไข่ออกจากไข่ต้ม พอโต้วโต้วตื่นขึ้นและวิ่งลงมาจากบันไดพร้อมกับอาหวง เธอก็ร้องเรียกเขาว่าคุณอา แล้วโผเขาไปหาด้วยความดีใจ
เมื่อเห็นว่าเธอสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เขาเป็นคนซื้อให้ ฟางจั๋วหรานถึงยิ้มออก ถามว่า “หนูชอบชุดที่อาซื้อให้ไหม?”
เด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้าทันที “ชอบค่ะ”
ฟางจั๋วหรานบิไข่ขาวออกมาชิ้นหนึ่ง แล้วยื่นไปจ่อปากหล่อน
โต้วโต้วส่ายหน้า “หนูไม่ชอบกินไข่ขาว แต่แม่ของหนูชอบ คุณอาป้อนให้แม่ของหนูแทนสิคะ”
ใบหน้าของหลินม่ายเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อทันใด รีบปฏิเสธไปว่า “แม่กินข้าวมื้อเช้าไปแล้ว กินอีกไม่ไหวแล้วล่ะ”
ฟางจั๋วหรานยิ้ม หยิบไข่ขาวชิ้นนั้นเข้าปากตัวเอง ก่อนจะหันไปถามหลินม่าย “คุณได้ยื่นเรื่องขอใบอนุญาตประกอบการสำหรับร้านอาหารของตัวเองแล้วหรือยัง?”
“ยังค่ะ…”
ฟางจั๋วหรานเตือนด้วยความหวังดี “ใบอนุญาตประกอบการยังมีความจำเป็นสำหรับร้านค้าอยู่นะ นโยบายของรัฐในปัจจุบันยังไม่เสถียร ในระหว่างที่คุณยังไม่ไปยื่นเรื่องขอใบอนุญาตประกอบการ อาจถูกเจ้าหน้าที่ทางการมองว่าคุณฉวยโอกาสนี้เพื่อเก็งกำไรเอาได้ มีใบอนุญาตประกอบการอยู่ในมือก็เหมือนมียันต์เอาไว้ป้องกันตัว ต่อให้พวกเขาออกกวาดล้างบรรดาผู้ประกอบอาชีพอิสระ ตราบใดที่คุณทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก็ไม่มีใครทำอะไรคุณได้”
หลินม่ายเคยใช้ชีวิตมาแล้วสองชาติ เธอจะไม่รู้ถึงความสำคัญของใบอนุญาตประกอบการเชียวหรือ “ใช่ว่าฉันไม่อยากไปยื่นเรื่อง แต่ฉันยังหาคนมาช่วยรับรองใบอนุญาตประกอบการให้ไม่ได้เลย”
ทุกวันนี้ การขอใบอนุญาตประกอบการสำหรับร้านค้าส่วนตัวไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างน้อยก็ต้องมีเส้นสาย
เธอเพิ่งย้ายมาอยู่ที่เจียงเฉิงได้แค่ไม่กี่เดือน ยังไม่ทันทำความรู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในการเซ็นรับรองด้วยซ้ำ แล้วเธอจะไปยื่นเรื่องขอใบอนุญาตประกอบการจากใครได้
ฟางจั๋วหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับอาสา “เรื่องนี้ยกให้เป็นหน้าที่ของผมเถอะ ภายในหนึ่งสัปดาห์ก็คงเรียบร้อยแล้ว”
หลังกินอาหารมื้อเช้าเสร็จ ฟางจั๋วหรานก็อาสาช่วยหลินม่ายขายของ
ยิ่งมีเขามายืนอยู่หน้าร้านที่มีซึ้งไม้ไผ่บรรจุซาลาเปาวางอยู่บนโต๊ะแบบนี้ ก็ยิ่งขายดีเป็นเทน้ำเทท่ายิ่งกว่าเดิมเสียอีก
เด็กสาวที่เดินผ่านไปมาหน้าร้านต่างก็เดินเข้ามา ขอซื้อซาลาเปากับไข่ต้มจากเขาด้วยท่าทางกระบิดกระบวนเขินอาย จนกระทั่งคิดเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเธอก็ยังไม่วายหันมองกลับมาที่ฟางจั๋วหรานอย่างอาลัยอาวรณ์
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
คุณหมอดูว่างงานนะคะ ไม่ไปทำงานของตัวเองเหรอคะถึงมาช่วยม่ายจื่อขายของได้
เรือลำนี้มันแล่นแรงจริงๆ เลย
ไหหม่า(海馬)