ตอนที่ 96 คำแนะนำจากเด็กหญิงตัวน้อย
พอมีรถแทรกเตอร์ การขนย้ายสิ่งของต่าง ๆ ก็สะดวกสบายมากขึ้น เพราะสามารถยกทุกสิ่งอย่างขึ้นรถและทำการขนย้ายได้ในคราวเดียว
ที่ประตูหน้าร้าน หลินม่ายหยิบขวดโหลใส่ผักดองที่หนักพอสมควร ก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน
ฟางจั๋วหรานก็ยกโหลผักดองเดินตามเธอเข้ามาในร้านด้วยเช่นกัน
ผักดองโหลนี้หนักไม่เบา เพราะมีน้ำหนักราว ๆ สามสิบชั่ง แต่หญิงสาวเพียงคนเดียวกลับแบกขึ้นมาได้โดยไม่มีคนช่วย ช่างเป็นหญิงสาวที่แข็งแกร่งมาก ๆ!
แต่การเป็นหญิงสาวที่แข็งแกร่งแบบนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะสภาพแวดล้อมรอบตัวบีบบังคับให้เธอต้องเข้มแข็งและไม่สามารถอ่อนแอได้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงอดรู้สึกเห็นใจเธอไม่ได้
หลินม่ายและฟางจั๋วหรานช่วยกันจัดของ แม้แต่โต้วโต้วก็มาช่วยพวกเขาอีกแรงหนึ่ง
เนื่องจากว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จึงแบกหรือเคลื่อนย้ายสิ่งของขนาดใหญ่ไม่ได้ สิ่งที่พอจะทำได้คือเข้าไปช่วยหยิบจับของจำพวกถ้วยชามและของใช้กระจุกกระจิกต่าง ๆ
หลังจากจัดการเก็บข้าวของพวกแป้ง น้ำมัน และผักดองเสร็จแล้ว พวกเขาก็ช่วยกันขนผ้าห่ม หมอน และเสื้อผ้าขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน
ฟางจั๋วหรานและโต้วโต้วรับผิดชอบด้านการส่งของให้หลินม่าย โดยเธอจะเป็นคนจัดแจงทุกอย่างเอง
หลังจากทำความสะอาดห้องของโจวฉายอวิ๋นเสร็จ หลินม่ายก็เข้าไปทำความสะอาดของเธอและลูกสาวต่อทันที
ขณะที่ฟางจั๋วหรานช่วยขนเสื้อผ้าของพวกเธอที่เหลืออยู่ เขาสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าส่วนใหญ่ของสองแม่ลูกมีสภาพทรุดโทรมพอสมควร ซึ่งเขาไม่คิดเลยว่าทั้งสองจะสวมใส่เสื้อผ้าเก่าขนาดนี้ ทันใดนั้นดวงตาก็ฉายแววสงสารขึ้นมาอย่างจับใจ
แม้เบื้องหลังของหลินม่ายและโต้วโต้วจะน่าสงสารมากก็ตาม แต่เขากลับแปลกใจที่พวกเธอยังคงยิ้มได้และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ขณะที่หลินม่ายกำลังจัดการกับเตียงไม้หวงฮวาหลี โต้วโต้วก็กระโดดขึ้นมานอนเล่นกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างตื่นเต้น
ไม่นานหล่อนก็หันไปพูดกับฟางจั๋วหรานว่า “คุณอาฟาง บ้านใหม่ของหนูอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลมากเลย คุณอาคงเดินทางสะดวกมากขึ้นถ้าย้ายมาอยู่บ้านเดียวกันกับพวกเรานะคะ ได้อยู่กินข้าวด้วยกันทุกมื้อ พอตกกลางคืน คุณอาก็เข้ามานอนกับหนูและแม่”
สีหน้าของหลินม่ายเปลี่ยนเป็นแดงก่ำในทันที เธอก้มไปตีก้นของหล่อนเบา ๆ แล้วพูดว่า “ชักเอาใหญ่แล้วนะเรา เดี๋ยวรีบไปจัดที่นอนของตัวเองให้เรียบร้อยด้วย เพราะแม่จะไม่นอนเตียงเดียวกันกับหนูแล้ว หนูจะต้องนอนคนเดียว รีบไปจัดการเลยเร็ว!”
หลังจากนั้น โต้วโต้วก็หันไปมองเตียงของตัวเอง
โต้วโต้วลุกขึ้นแล้วเดินไปที่เตียงเพื่อจัดที่นอนให้เรียบร้อย ขณะจัดที่นอนก็พูดขึ้นมาว่า “หนูนอนเตียงเดียวกับแม่ไม่ได้ แต่คุณอานอนได้นะคะ”
หลินม่ายตกใจมาก รีบสวนกลับไปว่า “ทะ… ทำไมพูดแบบนั้น?”
โต้วโต้วตอบกลับอย่างไม่ลังเล “หนูมีเตียงก็จริง แต่มันเล็กเกินไปสำหรับคุณอานี่คะ ยังไงก็นอนไม่พอแน่ ๆ แต่เตียงของแม่กว้างมาก คงไม่มีปัญหาถ้าให้คุณอาไปนอนด้วย”
อืม อา…
ฟางจั๋วหรานทำอะไรไม่ถูก และไม่สามารถทนฟังหล่อนพูดแจ้ว ๆ ต่อไปได้ จึงวิ่งหนีลงมาชั้นล่างด้วยความเขินอาย
สีหน้าของหลินม่ายยิ่งแดงก่ำมากกว่าเดิมเสียอีก ก่อนแสร้งทำเป็นไม่พอใจแล้วพูดว่า “เป็นเด็กเป็นเล็กพูดจาแบบนั้นไม่ดีนะ ถ้าคราวหลังพูดแบบนี้อีก แม่จะไม่ให้กินของอร่อยอีกตลอดชีวิตเลย”
โต้วโต้วได้ยินแบบนั้นก็รีบยกมือขึ้นมาปิดปากอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทำตาโตแล้วแสดงสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ราวกับตัวเองไม่เคยพูดแบบนั้นออกไป
เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เวลาก็เดินมาถึงเที่ยงวันพอดี
หลินม่ายลงไปชั้นล่าง พบว่าโจวฉายอวิ๋นขายซาลาเปาและไข่ต้มดองซีอิ๊วหมดแล้ว เธอจึงพูดขึ้นว่า “ปิดร้านเถอะ เดี๋ยวพวกเราไปหาอะไรนอกบ้านกินกันดีกว่า”
โต้วโต้วกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
แม้ว่าฝีมือปรุงอาหารของหลินม่ายจะอร่อยมาก แต่บางครั้งหล่อนก็อยากทานอาหารนอกบ้านเหมือนกัน
แต่โจวฉายอวิ๋นหันมาตอบว่า “งั้นไปซื้อวัตถุดิบกลับมาทำที่บ้านดีกว่า ประหยัดเงินแถมยังราคาไม่แพงด้วย”
เนื่องจากช่วงนี้พวกเธอยังจำเป็นต้องใช้เงินพอสมควรสำหรับจ่ายค่าเช่าและซื้อเฟอร์นิเจอร์ หล่อนจึงไม่ยอมหมดเงินไปกับสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็น
หลินม่ายหันกลับมามองฟางจั๋วหราน
เขามีน้ำใจมาช่วยเธอย้ายบ้านตั้งแต่เช้าแล้ว ทั้งยังต้องอดทนกับสภาพอากาศร้อนจัดอีก
เมื่อคืนที่ผ่านมา เขาต้องทำงานเข้ากะตลอดทั้งคืน แค่ดูจากสีหน้าก็รู้แล้วว่าค่อนข้างเหนื่อยล้า
ถ้าเธอต้องออกไปซื้อวัตถุดิบกลับมาทำอาหาร คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงกว่าจะปรุงเสร็จ และหลังกินมื้อเที่ยงด้วยกัน ฟางจั๋วหรานต้องนั่งพักอีกราว ๆ หนึ่งชั่วโมง ถึงจะกลับบ้านไปพักผ่อนได้
หลินม่ายอยากให้เขารีบกินมื้อเที่ยงให้ตรงเวลาที่สุด เพื่อที่จะได้กลับไปพักผ่อนเร็ว ๆ ดังนั้นเธอจึงยืนกรานว่าจะไปกินมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ในละแวกนี้
กลับกัน ฟางจั๋วหรานต้องการให้เธอประหยัดเงินเอาไว้ จึงพูดขึ้นว่า “ความจริงแล้วผมก็อยากชิมฝีมือของคุณนะ”
หลินม่ายตอบกลับไปอย่างไม่ยอมท่าเดียว “ฉันเหนื่อยมาตั้งแต่เช้าแล้วนะคะ จะเอาแรงที่ไหนไปทำอาหาร ไว้คราวหลังฉันจะทำให้คุณชิมก็แล้วกันค่ะ ตอนนี้เราออกไปกินข้าวด้านนอกกันเถอะ”
ในเมื่อเธอพูดแบบนี้ ทุกคนจึงยอมออกไปกินมื้อเที่ยงนอกบ้าน
หลินม่ายรับหน้าที่เป็นหัวโต๊ะกระเป๋าหนัก สั่งคากิอบซอสหนึ่งจาน ลูกชิ้นสี่เกษม(1)อีกหนึ่งจาน… นอกเหนือจากนี้ยังสั่งอาหารจานใหญ่มาเพิ่มอีกห้าถึงหกจานจนเต็มโต๊ะ
พนักงานเสิร์ฟหลายคนเดินมารวมตัวกัน โดยยืนห่างจากโต๊ะของพวกเขาพอประมาณ แล้วหันไปกระซิบกระซาบพูดคุยกันถึงคนที่มากับหลินม่าย
พวกเธอรู้สึกประหลาดใจมากกับภาพตรงหน้า เพราะไม่คิดว่าจะมีหนุ่มหล่อเข้ามากินมื้อเที่ยงด้วยกันกับผู้หญิงหน้าตาธรรมดาสองคน ซึ่งพวกเธอเป็นผู้หญิงผิวคล้ำและแต่งตัวบ้าน ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับชายหนุ่มคนนี้แล้วดูแตกต่างกันเกินไป
ต่อให้พวกเธอจะมีเงินเข้าภัตตาคาร แต่ผู้ชายคนนั้นหล่อเหลาจะตายไป คงไม่มีทางชายตามองสาวบ้านนอกอย่างพวกเธอหรอก
ระหว่างกินอาหาร ฟางจั๋วหรานก็ชวนพวกเธอพูดคุยไปพลาง
โจวฉายอวิ๋นถามหลินม่ายว่า “ตั้งแต่เราย้ายบ้านมา ยังไม่เห็นลานจอดรถเลย แล้วจะเอารถแทรกเตอร์กับรถสามล้อไปจอดตรงไหนล่ะ?”
ถ้าหากพวกเธอจอดรถทั้งสองคันไว้หน้าบ้าน อาจส่งผลกระทบต่อการสัญจรได้
เธอเป็นกังวลเล็กน้อยเพราะกลัวว่ารถพวกนี้จะถูกโจรขโมยไป
แน่นอนว่าหลินม่ายจัดการทุกอย่างไว้แล้ว “ฉันเตรียมลานกว้างหลังบ้านเอาไว้แล้ว ขนาดประมาณห้าหรือหกเมตรได้ ตอนนี้รถแทรกเตอร์กับรถสามล้อก็จอดอยู่ที่นั่น”
เพื่อนบ้านของเธอก็ทำลานกว้างไว้หลังบ้านเช่นกัน เธอจึงตัดสินใจทำแบบเดียวกัน
ทั้งนี้ลานกว้างหลังบ้านก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับเจ้าของพื้นที่นี้ด้วย เลยไม่จำเป็นต้องเรียกพ่อเฒ่าเฮ่อมาเจรจาเพิ่มเติม
ฟางจั๋วหรานพูดขึ้นว่า “หลังกินข้าวเสร็จเดี๋ยวผมไปช่วยคุณจัดสวนนะ”
หลินม่ายรีบปฏิเสธ “หลังจากนี้คุณควรกลับบ้านไปพักผ่อนนะคะ เดี๋ยวเรื่องจัดสวน ฉายอวิ๋นกับฉันจะช่วยกันทำเอง ส่วนกำแพงด้านซ้ายและด้านขวาสามารถใช้ร่วมกันกับเพื่อนบ้านได้ ก็จะเหลือแค่กำแพงด้านเดียวเอาไว้ปิดท้ายลานไว้ ทั้งหมดทำไม่ยากอยู่แล้ว เดี๋ยวพวกฉันจัดการกันเองได้ค่ะ”
ฟางจั๋วหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่ตอบกลับอะไร
หลังกินมื้อเที่ยงเสร็จ หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์ไปหานายช่างจาง เพื่อไปขอซื้ออิฐเก่า ปูนซีเมนต์ และประตูรั้วเหล็กเก่า
ยุคนี้ค่อนข้างขาดแคลนวัสดุก่อสร้าง แรงงานก่อสร้างที่ถูกว่าจ้างให้ไปรื้อถอนอิฐ หน้าต่าง และประตูเก่าตามหอพักหรือโรงพยาบาลเก่า ได้เก็บวัสดุพวกนั้นกลับมาทั้งหมด เพื่อนำมาขายต่อสร้างรายได้
หลังจากนั้นเธอกับโจวฉายอวิ๋นช่วยกันขนวัสดุต่าง ๆ ไปกองไว้ด้านหลังบ้าน แล้วปล่อยให้โจวฉายอวิ๋นก่อกำแพงคนเดียว เนื่องจากการสร้างกำแพงกั้นเขตท้ายลานนั้นง่ายมาก จึงสามารถทำด้วยตัวคนเดียวได้
ปกติแล้วในพื้นที่ชนบทห่างไกล ผู้หญิงส่วนใหญ่สร้างบ้านและก่อกำแพงด้วยตัวเองกันทั้งนั้น
หลังจากนั้นหลินม่ายนัดหมายนายช่างจางให้ไปพบกันที่หมู่บ้านซานหยาง เพื่อให้เขาเข้าไปดูห้องครัวในบ้านของเธอ โดยจะให้ดัดแปลงให้กลายเป็นห้องพักสำหรับเปิดให้คนมาเช่าในอนาคต การเดินทางครั้งนี้เธอถีบรถสามล้อไป
เมื่อนายช่างจางได้มาเห็นสถานที่จริงก็ลงความเห็นว่า บ้านหลังนี้สามารถดัดแปลงโดยแบ่งเป็นห้องเช่าได้หลายห้อง เพียงเท่านี้หลินม่ายก็สามารถเปิดห้องให้คนมาเช่าเพิ่มได้อีกหลายหยวนทีเดียว
หลินม่ายยกหน้าที่ออกแบบให้เขาจัดการตามสบาย ไม่ลืมทิ้งกุญแจบ้านไว้ให้ ตกลงว่าจะรอให้เขาดำเนินการเสร็จก่อนค่อยจ่ายเงินค่าจ้าง
หลินม่ายถีบรถสามล้อออกจากหมู่บ้านซานหยาง แต่แทนที่จะกลับร้าน เธอกลับแวะไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อซึ้งไม้ไผ่เพิ่ม
ในอนาคตเธออาจต้องเปิดร้านขายซาลาเปาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทั้งหม้อและซึ้งที่มีอยู่คงไม่เพียงพอแน่ ๆ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์เพิ่ม
ในตลาดมืดเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ขายที่มีความรู้เรื่องผลิตภัณฑ์ดี ๆ หลายอย่าง ซึ่งหลินม่ายก็เคยซื้อซึ้งไม้ไผ่อันแรกจากลุงขายซึ้งที่นี่
เพราะซึ้งไม้ไผ่แผงนี้มีคุณภาพดี และจำหน่ายในราคาที่สมเหตุสมผลที่สุด
หลินม่ายเดินตรงไปหาลุงขายซึ้งอย่างร่าเริง ก่อนจะพูดคุยกันสักพัก เธอขอซื้อซึ้งไม้ไผ่ขนาดใหญ่ถึงสิบอัน แล้วขอให้เขาช่วยเอาไปส่งที่ร้านของเธอตอนบ่ายของวันพรุ่งนี้
ลุงขายซึ้งรับเงินมัดจำมาส่วนหนึ่ง ก่อนปิดแผงแล้วกลับบ้านไปเตรียมของ
ถึงอย่างไรแผงของเขาก็ขายของยากมาสักพักแล้ว จึงเลือกกลับบ้านดีกว่าเสียเวลานั่งเฝ้าแผงต่อ
หลินม่ายคิดว่าจะแวะไปซื้อวัตถุดิบกลับไปทำมื้อเย็น แต่ก่อนไปนั้น เธอตัดสินใจแวะไปที่ร้านขายเสื้อผ้าซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตลาดมืด
เธอฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าหากจะทำธุรกิจขายอาหารแล้ว เรื่องการแต่งตัวก็สำคัญ แถมพวกเธอไม่มีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่มานานแล้วด้วย ปัจจัยดังกล่าวอาจทำให้ร้านของเธอไม่น่าเข้ามาอุดหนุน
เธอตั้งใจว่าจะต้องหาซื้อเสื้อและกางเกงดี ๆ สักสองตัวสำหรับตัวเธอเองและโจวฉายอวิ๋น ดังนั้นเธอจึงเดินทางไปยังร้านขายเสื้อผ้าโดยไม่ลังเล
……………………………………………………………………………………………………………
ลูกชิ้นสี่เกษม (四喜丸子) ก็คือลูกชิ้นทอดราดซอสน้ำแดงนั่นเอง
สารจากผู้แปล
เรือพี่หมออยู่สบายมากเลยค่ะ ลูกเรือไม่ต้องพายแล้ว น้องโต้วโต้วรับหน้าที่กัปตันคุมเรือเองเลย
ไหหม่า(海馬)