ตอนที่ 105 แบ่งซุปไก่ไว้ให้
โจวฉายอวิ๋นตกใจรีบปล่อยบันไดแล้วเข้าไปดึงโต้วโต้วหลบจักรยานคันนั้น
เมื่อเห็นว่าไม่ได้ชนใครเข้า เจ้าคนประมาทคนนั้นก็จากไปแบบรวดเร็วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
โจวฉายอวิ๋นโกรธมากจนถึงกับสบถคำด่าตามหลังไป
ในขณะเดียวกันบันไดที่ไร้คนช่วยจับก็เริ่มโงนเงน
หลินม่ายที่ยืนอยู่ด้านบนเริ่มเสียการทรงตัว หญิงสาวอุทานด้วยความตกใจพร้อมกับร่างบางที่ร่วงลงมาจากที่สูง เธอเห็นว่าร่างกายกำลังจะตกลงไปกระแทกพื้นถนนข้างล่าง ทางเดียวที่จะรอดจากความเจ็บในครั้งนี้คงต้องบินได้เท่านั้น
ฟางจั๋วหรานที่กำลังรีบมากินข้าวหลังผ่าตัดเห็นแบบนั้นก็รีบตรงเข้ามารับหลินม่ายด้วยมือของเขาเอง
หญิงสาวลงมาอยู่ในอ้อมกอดของเขาพอดิบพอดี ทั้งสองจ้องตากันอยู่ครู่หนึ่ง
ความใกล้ชิดนั้นทำให้เขาได้กลิ่นหอมจาง ๆ จากร่างกายของเธออีกครั้ง ทำเอาเขาไม่อยากจะปล่อยให้เธอผละจากไปเลยแม้แต่น้อย
ป้าหูที่อยู่ข้างบ้านเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง หล่อนกลอกตาแล้วบ่นกับตัวเองอยู่ที่ข้างประตูบ้าน “นังจิ้งจอกยังไงก็ยังเป็นนังจิ้งจอกอยู่วันยังค่ำ ถึงกับกล้าอ่อยผู้ชายกลางวันแสก ๆ แบบนี้เชียว!”
ผ่านไปไม่นานหลินม่ายก็ได้สติกลับมาจากความตกใจ รีบกระโดดออกจากอ้อมแขนแกร่งนั้นด้วยความเร็วสูง
มือเรียวสวยถูกยกขึ้นมาทัดผมที่ข้างหูของตัวเองอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ใบหน้าซับสีเลือดจาง ๆ ขึ้นที่สองข้างแก้มด้วยความเขินอายแล้วกล่าวขอบคุณออกไป
โต้วโต้วรีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับปรบมือไปรอบ ๆ คุณอาและแม่ของเธอ “คุณอาเท่มากเลย หนูอยากลองกระโดดจากบันไดให้คุณอารับหนูบ้างจังเลยค่ะ!”
หลินม่ายตบก้นลูกน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น “ไร้สาระน่า ถ้าคุณอารับไม่ได้คงได้ล้มหัวแตกกันพอดี”
เด็กน้อยจึงต้องยอมล้มเลิกความคิดจะเล่นอะไรพิเรนทร์ ๆ นั้นไป
หญิงสาวหันไปถามคุณหมอด้วยรอยยิ้ม “ทำไมถึงออกมากลางเวลาทำงานล่ะคะ?”
สีหน้าของฟางจั๋วหรานเจือแววเหนื่อยล้าเล็กน้อย “ผมเพิ่งผ่าตัดเสร็จเลยออกมากินข้าวนี่แหละ มีอะไรอร่อย ๆ ให้กินบ้างไหม?”
หลินม่ายไม่ได้คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะมาที่นี่เพื่อกินมื้อกลางวันด้วยกัน ในครัวจึงแทบไม่เหลืออะไรให้เขากินเลย
ลมพัดเข้ามาวูบหนึ่ง หญิงสาวช้อนตามองชายหนุ่มอย่างน่ารัก “ไม่มีของอร่อยอะไรหรอก ฉันทำให้คุณได้แค่บะหมี่ไข่ลวกสักชามเท่านั้นแหละค่ะ สนใจไหมคะ”
ความน่าเอ็นดูนั้นทำเอาฟางจั๋วหรานอดไม่ได้ที่ยกมือขึ้นมาหยิกแก้มเล็ก ๆ ของเธอ “งั้นเราก็มากินบะหมี่ไข่ลวกกันเถอะ”
สิบนาทีต่อมา บะหมี่พร้อมไข่ลวกสามฟอง ไชเท้าดองหั่นเต๋า และผักโขมอีกนิดหน่อยถูกเสิร์ฟลงที่โต๊ะ
ฟางจั๋วหรานใช้เวลาอยู่ในห้องผ่าตัดตั้งแต่เก้าโมงเช้ายาวจนถึงบ่ายสองเพื่อผ่าตัดคนไข้อาการสาหัส ร่างกายจึงรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก หิวจนท้องไส้กิ่ว
แม้มันจะเป็นบะหมี่ไข่ลวกธรรมดาชามหนึ่ง เขากลับสวาปามเข้าไปอย่างเอร็ดอร่อย ถึงอย่างนั้นก็ไม่สูญเสียท่าทางอันสง่างามเลยสักนิด
หลินม่ายมองเขาอยู่ข้าง ๆ ด้วยความเห็นใจ การเป็นศัลยแพทย์คงเป็นอะไรที่เหนื่อยมาก ๆ ถึงทำให้เขาไม่ได้กินข้าวแบบนี้
หลังจากฟางจั๋วหรานกินบะหมี่เสร็จและกลับไปทำงาน หลินม่ายก็ออกไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อไก่บ้านตัวเล็ก เห็ด และพุทราแดง เมื่อกลับถึงบ้านก็ฆ่าไก่แล้วตุ๋นเป็นซุปไก่ในหม้อดิน
เธอแบ่งซุปนั้นหนึ่งชามไว้สำหรับโต้วโต้วแล้วเอาส่วนที่เหลือทั้งหมดใส่หม้อเก็บความร้อนส่งให้โจวฉายอวิ๋นช่วยฝากเอาไปให้ฟางจั๋วหราน
โจวฉายอวิ๋นกลับโบกมือปฏิเสธ “ฉันขี้อายจะตาย ขนาดไปขายของยังไม่กล้าคุยกับลูกค้า ฉันไม่กล้าเอาอาหารไปส่งให้คุณหมอฟางถึงที่หรอก เธอไปเองเถอะนะ”
หลินม่ายจึงต้องเดินทางไปที่โรงพยาบาลผู่จี้พร้อมหม้อซุปไก่อย่างไม่มีทางเลือก
ฟางจั๋วหรานค่อนข้างจะเป็นคุณหมอที่คนในโรงพยาบาลรู้จักเป็นอย่างดี ครั้นเธอถามกับพยาบาลคนหนึ่งว่าเขาอยู่ที่ไหน พยาบาลคนนั้นก็บอกทางได้อย่างรวดเร็ว
หลินม่ายเดินมาตามทางที่ได้รับคำแนะนำมา
คล้อยหลังจากหญิงสาวที่มาส่งอาหาร เหล่าพยาบาลก็เริ่มจับกลุ่มซุบซิบกันทันที ผู้หญิงคนนี้ช่างน่าไม่อายเสียจริงถึงได้กล้าเอาซุปไก่มาตามอ่อยอาจารย์ฟางถึงที่
เมื่อหลินม่ายไปถึงก็พบว่าอาจารย์หมอหนุ่มกำลังพากลุ่มนักศึกษาแพทย์วิเคราะห์อาการคนไข้อยู่หน้าฟิล์มเอกซเรย์
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เขาในชุดกาวน์ของคุณหมอ การแต่งกายแบบนั้นช่วยเสริมให้เขาดูภูมิฐาน สง่างามขึ้นจากที่ดูดีมากอยู่แล้ว
ถ้าจะให้คิดคำจำกัดความก็คงได้แค่คำว่างดงามจริง ๆ
แม้ว่าจะดูแปลก ๆ ไปหน่อยที่จะอธิบายถึงผู้ชายซักคนด้วยความงดงาม แต่หญิงสาวที่ไม่ได้รู้หนังสือมากนักจึงไม่สามารถหาคำไหนมาแทนและไม่อยากชมเขาแบบบ้าน ๆ อย่าง “โคตรหล่อเลยยยย” ออกมา
เธอไม่กล้าเข้าไปรบกวน จึงทำเพียงยืนอยู่ที่ประตูห้องทำงาน แต่เพราะมีคนมายืนอยู่หน้าห้องจึงทำให้เหล่านักศึกษาหันมองมาทางนี้กันหมด
ฟางจั๋วหรานที่อ่อนโยนกับเธออยู่เสมอ หันมามองอย่างเย็นชา เหลือบมองไปที่ประตูด้วยสายตาเฉียบขาด
แต่เมื่อเห็นว่าเป็นหลินม่ายที่มารบกวนการเรียนการสอนในครั้งนี้ชายหนุ่มก็มีสายตาอ่อนลง
ขายาวของอาจารย์หนุ่มตรงไปที่หน้าประตูห้องแล้วเอ่ยถาม “คุณมาทำไมเหรอ?”
หลินม่ายรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจว่าเธอคงเอาซุปมาให้
เธอกระแอมในลำคอเบา ๆ “เอ่อ…โต้วโต้วบ่นว่าอยากกินซุปไก่ ฉันเลยเคี่ยวเอาไว้หนึ่งตัว แต่เพราะว่าโต้วโต้วกินคนเดียวไม่หมด ฉันก็เลยแบ่งมาให้คุณด้วย”
หลังจากนิ่งคิดไปซักพักหญิงสาวก็อธิบายต่อ “ตอนเที่ยงคุณได้กินแค่ของธรรมดา ๆ เอาซุปนี่ไปกินชดเชยแล้วกันนะ”
ฟางจั๋วหรานมองหญิงสาวที่หน้าเริ่มแดงเพราะความเขิน ก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก รับซุปไก่จากเธอมาถือแล้วบอกขอบคุณ
หลินม่ายโล่งใจที่เห็นว่าเขาไม่โกรธ “ไม่เป็นไรค่ะ อย่าลืมเอาหม้อมาคืนที่ร้านหลังเลิกงานนะคะ” หลังจากจบธุระแล้วเธอก็รีบกลับ
หลินม่ายหมุนตัวกลับ ถ้าเธอยังไม่กลับไปตอนนี้ก็กลัวว่าจะถูกเขามองเห็นไปถึงความคิดที่แสนว้าวุ่นของตัวเอง
ฟางจั๋วหรานถือซุปไก่ไปที่โซนกินข้าวของห้องเพื่อเปิดอาหารออกมากิน ซุปไก่นั้นหอมหวนและมีรสชาติกลมกล่อมมาก
ปริมาณของมันไม่ได้มีเพียงครึ่งเดียวอย่างที่หลินม่ายบอก แต่เห็นชัดว่ามากกว่านั้นมามาก
ไม่ใช่ว่าโต้วโต้วกินไม่หมดเธอเลยแบ่งครึ่งหนึ่งมาให้เขา แต่เธอแบ่งให้โต้วโต้วแค่เล็กน้อยและยกน้ำซุปส่วนใหญ่ให้เขาต่างหาก
ภาพความเขินอายของหญิงสาวพลันปรากฏขึ้นมาในหัว ทำเอาเขาเผลอยิ้มขึ้นมาอย่างเอ็นดู
พอหลินม่ายคิดว่าซุปไก่ของตัวเองจะช่วยให้ฟางจั๋วหรานมีแรงทำงานที่แสนหนักหน่วงก็ทำให้อารมณ์ดีขึ้นมา
เขาเป็นคนที่คอยช่วยเหลือเธออยู่เสมอตั้งแต่รู้จักกันมาจนถึงตอนนี้ ถ้าตอบแทนอะไรเขาได้ก็อยากจะช่วยดูแลเขาให้ได้มากที่สุด
ขณะที่หญิงสาวกำลังรีบเดินกลับอยู่นั้น ก็มีพยาบาลสาวสวยมาขวางเอาไว้ที่บริเวณมุมบันได
ท่าทางของอีกฝ่ายดูไม่เป็นมิตรและเข้าประเด็นทันทีแบบไม่มีเกริ่นนำ “คุณเป็นอะไรกับอาจารย์ฟาง ทำไมถึงได้เอาซุปมาให้เขาได้”
หลินม่ายไม่ใช่สาวน้อยใสซื่อ ทันทีที่ถูกยิงคำถามแบบนั้นก็รู้ได้ในทันทีว่าพยาบาลคนนี้คงเป็นแฟนของฟางจั๋วหราน
เธอไม่ต้องการให้เกิดเรื่องวุ่นวายจึงตอบความจริงไปเพียงบางส่วน “ฉันเป็นแม่ค้าขายอาหาร อาจารย์ฟางสั่งซุปไก่ที่ร้านให้ฉันเอามาส่งที่นี่ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
บรรยากาศตึงเครียดระหว่างทั้งคู่คลายลงหลังได้รับคำตอบ ท่าทางของพยาบาลสาวดูอ่อนลงในทันตา หลินม่ายรีบขอตัวไปจากตรงนี้ทันที
จะว่าไปแล้ว คนอย่างอาจารย์ฟางเหรอจะมาสนใจยัยนี่!
พยาบาลพวกนั้นพูดจาไร้สาระเสียจริง!
ฟางจั๋วหรานมีเคสผ่าตัดอีกครั้งในช่วงบ่าย เขายุ่งอยู่ในห้องผ่าตัดถึงหนึ่งทุ่ม
ระหว่างขากลับเมื่อผ่านร้านอาหารของหลินม่ายเขาก็เอาหม้อที่ใส่ซุปมาไปคืนให้พร้อมกับเอ่ยชมไม่หยุดว่า “อร่อยมาก”
แต่ก่อนที่หลินม่ายจะตอบอะไร โจวฉายอวิ๋นก็รีบเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ถ้ามันอร่อยมากก็ให้ม่ายจื่อตุ๋นให้คุณอีกสิคะ!”
ฟางจั๋วหรานรีบปฏิเสธอย่างยิ้ม ๆ “ไม่เป็นไรดีกว่าครับ” จากนั้นก็รีบขอตัวกลับไป
หลินม่ายต้องดูแลลูกเล็ก แล้วไหนจะเรื่องร้านอาหารนี่อีก เขาไม่อยากให้เธอต้องเสียเงินกับเขามากเกินไป
แต่การปฏิเสธของฟางจั๋วหรานทำให้หลินม่ายแอบเศร้าในใจ เขาคงไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเธอแม้แต่น้อย
หากเขารู้สึกว่าเธอเป็นคนสำคัญหรือสนิทใจต่อกัน อีกฝ่ายคงไม่ปฏิเสธออกมาแบบนั้น
การบอกว่า “ไม่เป็นไร” นั้นมักต้องใช้สำหรับคนที่เขาเกรงใจหรือเป็นคนอื่นคนไกลต่อกัน
เอาล่ะ! ถึงเรื่องระหว่างทั้งคู่มันจะดูเป็นไปไม่ได้ แต่ทำไมมันถึงมีเศษเสี้ยวความหวังอยู่ตลอดเลยล่ะ!
วันรับสมัครคนเพิ่มมาถึงแล้ว
เธอประกาศให้คนที่ต้องการสมัครงานมาที่ร้านในช่วงสิบถึงสิบเอ็ดโมงเช้า
มีคนมารอที่หน้าร้านก่อนถึงเวลาเป็นจำนวนมาก
เพราะในยุคนี้การหางานทำเป็นเรื่องยาก ทำให้แม้แต่งานลูกจ้างในร้านขายอาหารเล็ก ๆ แบบนี้ก็ยังเป็นที่สนใจของคนจำนวนมาก
พอสิบโมงตรง หลินม่ายก็เริ่มต้นการรับสมัครงานขึ้นภายในร้าน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
น้องเริ่มรุกพี่หมอแล้วสินะคะ สู้ต่อไปค่ะม่ายจื่อ
ไหหม่า(海馬)