แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了] – ตอนที่ 110 อย่าโพล่งออกมาแบบนั้น

ตอนที่ 110 อย่าโพล่งออกมาแบบนั้น

ตอนที่ 110 อย่าโพล่งออกมาแบบนั้น

ขณะที่สองสาวกำลังคุยกันอยู่ ป้าหูข้างบ้านก็ตีฆ้องเสียงดังแล้วเริ่มป่าวประกาศ “ข้าวผัดไข่จ้า ราคาชามละ 2 เหมา 5 เฟิน!”

โจวฉายอวิ๋นโกรธจนสบถออกมา “ให้ตาย บ้าไปแล้ว!”

หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เราไปกันเถอะ เอาซุปหัวไชเท้ากระดูกหมูกับหลูจู่ไปวางหน้าร้านกัน”

ทันทีที่ซุปกระดูกหมูและหลูจู่ถูกยกมาวาง กลิ่นหอมหวนของอาหารก็โชยไปทั่ว

ลูกค้าหลายคนที่มาทางนี้เพราะเสียงฆ้องเริ่มเปลี่ยนใจมามองซุปเหล่านี้แทน พากันเริ่มถามว่า “แม่ค้า ซุปหัวไชเท้ากระดูกหมูกับหลูจู่นี่ขายยังไง”

“ซุปหัวไชเท้าชามละ 2 เหมา ส่วนหลูจู่ชามละ 3 เหมาค่ะ”

“แล้วจานหลักล่ะ”

“เป็นข้าวผัดไข่ค่ะ”

“ราคาเท่าไร”

“ชามละ 3 เหมาเหมือนกันค่ะ”

ลูกค้าบางคนเริ่มไม่พอใจ “ร้านข้าง ๆ ขายแค่ 2 เหมา 5 เฟินเอง แล้วร้านนี้ขาย 3 เหมา มันไม่แพงไปหน่อยเหรอ”

หลินม่ายยิ้มแล้วอธิบายเหตุผล “นาฬิกาข้อมือของฮั่นโขวราคาเรือนละ 30 กว่าหยวน ในขณะที่นาฬิกาของเซี่ยงไฮ้เรือนละ 50 หยวน คุณคิดว่าอะไรทำให้ราคาแพงกว่าล่ะคะ?”

ลูกค้าจึงถามต่อ “แล้วอะไรที่ทำให้ข้าวผัดของเธอแพงกว่าล่ะ?”

“ก็ต้องเป็นเรื่องรสชาติอยู่แล้วค่ะ” หลินม่ายชี้ไปที่ชามซอสพริกบนโต๊ะ “ถ้าคุณสั่งเมนูข้าวผัดไข่น้ำมันหมูแล้วชอบกินรสจัด ก็สั่งเติมซอสพริกอันนี้ได้หนึ่งช้อน รับรองว่ารสชาติอร่อยเข้ากันมากเลย”

ลูกค้าอีกคนเริ่มถามบ้าง “แล้วถ้าไม่อยากกินเผ็ด ไม่เอาซอสพริก จะขายแค่ 2 เหมา 5 เฟินหรือเปล่า?”

หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ใช่ค่ะ”

และหญิงสาวเสริมขึ้นอีกว่า “หรือถ้าคุณไม่อยากรับข้าวผัดก็ซื้อข้าวเปล่า 2 ถ้วย ราคา 1 เหมา 2 เฟิน ไปกินกับซุปหัวไชเท้ากระดูกหมูหรือหลูจู่ก็ได้”

หากร้านข้าง ๆ มาลอกเลียนแบบ เธอก็สามารถพลิกแพลงมันไปให้เป็นรูปแบบใหม่ได้ทันทีเช่นกัน

ลูกค้าบางคนสนใจแค่ซุปหัวไชเท้ากระดูกหมูและหลูจู่เท่านั้น

เมื่อได้ยินว่าสามารถสั่งเพียงข้าวเปล่ามากินกับซุปหรือหลูจู่ได้เลย พวกเขาก็รีบสั่งข้าวสองถ้วยและหลูจู่หนึ่งชามทันที

แม้ว่าหลูจู่จะทำมาจากเครื่องในหมู แต่กลิ่นน้ำซุปและเครื่องเทศนั้นหอมมากจนทำให้หลายคนน้ำลายสอ

บางคนที่มีงบน้อยก็สามารถสั่งเพียงซุปไชเท้ากระดูกหมูกินแก้หิวได้เช่นกัน

ส่วนคนที่ชอบรสจัดก็สนใจซอสพริกที่หลินม่ายเอามาแนะนำมาก สั่งข้าวผัดแบบเพิ่มซอสพริกลงไปมากินกัน

ข้าวผัดไข่น้ำมันหมู พอเติมซอสพริกรสชาติจัดจ้านลงไปก็อร่อยเข้ากันดีมาก คุ้มค่ากับเงิน 5 เฟินที่ต้องจ่ายเพิ่ม

ข้าวผัดไข่แบบไม่เติมซอสพริกก็ยังขายได้ในราคา 2 เหมา 5 เฟิน ทำให้ข้าวผัดของป้าหูเทียบไม่ติดเลยแม้แต่น้อย

แถมหลินม่ายยังมีซุปหัวไชเท้ากระดูกหมูกับหลูจู่เป็นไม้ตายเด็ด

ศึกระหว่างร้านอาหารทั้งสองในตอนเที่ยงได้ผลว่าฝ่ายป้าหูพ่ายแพ้ไปอย่างไม่เห็นฝุ่น ทำเอาหล่อนโกรธจนหน้ามืด

ฟางจั๋วหรานรีบมาที่ร้านหลังเสร็จงานตอนเที่ยง ก็เห็นว่าร้านของหลินม่ายกับร้านของป้าหูดูแตกต่างจากตอนเช้ามาก

ร้านของหลินม่ายกำลังเป็นที่สนใจ ส่วนร้านป้าหูกลับเงียบเหงา ทำให้ความรู้สึกกังวลในตอนเช้าของเขาหายไปเป็นปลิดทิ้ง

ชายหนุ่มตรงเข้าไปที่ร้านของหลินม่ายแล้วสั่งเมนูหลูจู่หนึ่งชามกับข้าวผัดไข่

หลินม่ายลังเลเล็กน้อย “มันจะไม่แปลกใช่ไหมที่ศัลยแพทย์อย่างคุณจะกินเครื่องในตุ๋น?”

เธอแอบกลัวว่าคุณหมออย่างเขาจะคิดถึงอวัยวะภายในเมื่อกินเครื่องในหมูเหล่านี้

เพราะเขาเป็นศัลยแพทย์ น่าจะต้องได้เห็นอวัยวะภายในอยู่ทุกวัน

เธอกังวลว่าเขาจะรู้สึกไม่ดี เพราะหลินม่ายอยากให้เขาได้กินอาหารที่ตัวเองทำอย่างมีความสุขทุก ๆ มื้อ

ฟางจั๋วหรานได้ยินแบบนั้นก็ไม่เข้าใจนิดหน่อย “มันแปลกตรงไหน ผมสั่งเครื่องในหมูตุ๋น ไม่ใช่อวัยวะภายในของคนซักหน่อย”

คำพูดของเขาทำให้ลูกค้าหลายคนที่กำลังกินอยู่ถึงกับสะดุ้ง และบางคนเริ่มลังเลที่จะซื้อหลูจู่

หลินม่ายแอบคร่ำครวญอยู่ในใจ โธ่คุณหมอ อย่าโพล่งออกมาแบบนั้นได้ไหมคะ~

หลินม่ายผัดข้าวผัดไข่ให้คุณหมอหนุ่ม เธอไม่เพียงแค่ใส่น้ำมันหมูให้มากเป็นพิเศษแต่ยังเติมไข่เพิ่มให้เขาอีกหนึ่งฟองด้วย

ลูกค้าที่เพิ่งมาใหม่และสั่งข้าวผัดไข่เหมือนกันเห็นหลินม่ายถือชามที่มีไข่มากเป็นพิเศษก็ถามด้วยความสงสัย “ทำไมชามนี้มีไข่เยอะจัง”

หลินม่ายยิ้มแล้วตอบว่า “คุณสามารถสั่งแบบเพิ่มไข่พิเศษได้เพียงจ่ายเพิ่มแค่ 1 เหมาเท่านั้น”

ลูกค้าไม่มีทางเลือกเลยได้แค่ถือข้าวผัดไข่ของตัวเองเข้าไปในร้านและหาที่นั่งกินอย่างเงียบ ๆ

ฟางจั๋วหรานกินมื้อกลางวันที่เรียบง่ายแต่แสนอร่อยเรียบร้อยก็เอ่ยชมเธอทิ้งท้าย “ทำหลูจู่อร่อยมากเลย”

หลินม่ายแอบกระซิบกับเขา “ยังขาดเครื่องเทศอีกสองสามอย่างค่ะ ไม่งั้นจะอร่อยกว่านี้อีก”

ฟางจั๋วหรานจะถามเธอต่อว่ายังขาดเครื่องเทศอะไรอีก แต่เพราะเห็นว่ามีลูกค้าจำนวนมากอยู่ด้วย เขาเลยคิดว่าคงยังไม่สะดวกนัก

เพราะกลัวว่าจะเผลอไปเผยสูตรอาหารของเธอเข้า เขาจึงให้หญิงสาวจดของที่ต้องการเพิ่มมาให้แทน

ถึงเขาจะเป็นหมอ แต่ก็รู้ดีว่าสูตรอาหารของแต่ละร้านเป็นความลับเฉพาะที่บอกใครไม่ได้

ชายหนุ่มกล่าวขึ้นอีกครั้ง “คืนนี้ผมต้องค้างที่นี่อีกแล้ว ช่วยเตรียมมื้อเย็นเผื่อไว้หน่อยนะ”

หลินม่ายตอบรับอย่างยินดี

ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเธอยังอายุน้อยอยู่หรือเปล่า เสียงตอบรับนั้นถึงสดใสราวกับเสียงของกระดิ่งเงินต้องลม ทำเอาชายหนุ่มรู้สึกสดชื่นตามไปด้วย

ไส้ใหญ่ ไส้อ่อน และปอดหมูอย่างละคู่ เพียงพอสำหรับทำหลูจู่ไม่ได้เยอะมาก ขายได้ประมาณ 30 ชามเท่านั้น

โชคดีที่ข้าวสวยจำนวนมากขายออกไปพร้อมกับหลูจู่และซุปไชเท้ากระดูกหมู ทำให้การขายอาหารกลางวันของวันนี้จบลงตั้งแต่ก่อนบ่ายสอง

ทั้งคู่ช่วยกันปิดร้าน โจวฉายอวิ๋นแอบมองไปยังร้านข้าง ๆ ด้วยความโล่งอก

ป้าหูและลูกน้องยังคงตะโกนขายของอย่างหนักในตอนนี้

หลังจากเก็บของแล้ว โจวฉายอวิ๋นก็เริ่มกังวล “พรุ่งนี้ยัยแม่มดเฒ่าข้างบ้านคงเริ่มเคี่ยวซุปหัวไชเท้ากระดูกหมูกับทำหลูจู่ออกมาขายอีกแน่เลย”

หลินม่ายกลับไม่ได้ดูร้อนใจ “ฉันมีเคล็ดลับเฉพาะตอนที่ทำซุปกับหลูจู่ ถึงข้างบ้านจะพยายามลอกเลียนแบบยังไงก็ไม่มีทางทำได้เหมือนแน่นอน รสชาติก็ไม่ดีเท่าของเรา ต่อให้ทำได้ก็เรียกแขกได้ไม่เยอะหรอก”

ฉายอวิ๋นก็ยังไม่วางใจอยู่ดี “แต่ยัยป้านั่นก็ลดราคาเก่งเหลือเกิน ถึงยังไงอาหารชนิดเดียวกันที่ราคาถูกกว่า ลูกค้าก็ต้องสนใจมากกว่าอยู่แล้ว”

หลินม่ายโบกมือไปพลางอธิบาย “ปล่อยให้ลดราคาไปเลย ร้านอาหารต้องอาศัยลูกค้าบอกกันแบบปากต่อปาก ถ้าส่วนผสมของเราดี อาหารอร่อย บริการก็ดี มีชื่อเสียงที่ดี ไม่ว่าราคาสูงกว่ายังไงก็ยังมีคนตามมากิน อย่างแผ่นเต้าหู้เหล่าทงเฉิงที่ราคาแพงมากแต่ก็ยังมีคนต่อคิวรอกิน นั่นก็เพราะปากต่อปากนี่แหละ”

โจวฉายอวิ๋นแอบเคืองขึ้นมา “กว่าปากต่อปากที่ว่าจะเห็นผล ต้องใช้เวลาอีกนานมากเลยนะ”

หลินม่ายรีบต่อ “แล้วมีร้านเก่าแก่อายุร้อยปีร้านไหนที่ไม่มีชื่อเสียงบ้างล่ะ?”

หลังจากจัดแจงทำความสะอาดเครื่องครัวอุปกรณ์ต่าง ๆ เรียบร้อย โจวฉายอวิ๋นก็ผัดกวางตุ้งฮ่องเต้สองต้นกับตุ๋นปลาเกล็ดเงินเป็นอาหารกลางวันแบบง่าย ๆ

แม้ว่าโต้วโต้วจะกินข้าวต้มมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่เด็กน้อยก็ยังกินมื้อกลางวันต่อได้เป็นปกติ

โจวฉายอวิ๋นแกะเนื้อท้องปลาเอาก้างออกแล้วส่งให้เธอ

หลินม่ายนึกถึงฟางจั๋วหรานที่ต้องทำงานทั้งคืนในคืนนี้และอาหารเย็นที่เขาขอให้เตรียมให้

หลังจากกินมื้อกลางวันและงีบหลับไปสองชั่วโมง หญิงสาวก็ไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อคูปองเนื้อสัตว์ และวางแผนจะไปที่ตลาดของรัฐเพื่อซื้อเนื้อสัตว์มาทำอาหารที่มีประโยชน์ให้เขากิน

การเข้าเวรดึกกินพลังงานมากทั้งร่างกายและจิตใจ เขาควรจะได้กินของดี ๆ บำรุงเสียหน่อย

หญิงสาวซื้อเนื้อหมูในตอนบ่าย และจะไม่ซื้อมันจากตลาดมืด

แผงขายเนื้อสัตว์ในตลาดมืดเป็นแบบเปิดโล่ง ช่วงนี้อากาศร้อน บ่าย ๆ แบบนี้หมูจะไม่สดแล้ว

ต่างจากตลาดของรัฐที่เป็นตลาดแบบปิด อยู่ในร่มตลอดเวลา แม้ว่าเนื้อหมูตอนบ่ายจะไม่สดเท่าตอนเช้าแล้ว แต่ก็ดีกว่าหมูที่ซื้อจากแผงแบบเปิดในตลาดมืดอยู่มาก

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

พี่หมออย่าพูดอย่างงั้นสิ จะไล่ลูกค้าออกจากร้านม่ายจื่อเหรอ

ดูเอาใจใส่พี่หมอมากเลยนะคะ รู้ตัวไหมเนี่ยม่ายจื่อ

ไหหม่า(海馬)

แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了]

แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了]

Status: Ongoing

หลินม่ายได้กลับมาเกิดใหม่ในวันแต่งงานของตัวเอง​ และพบว่าทุกคนรอบตัวไม่ว่าจะเป็นครอบครัวตัวเองหรือครอบครัวสามีต่างก็ยังเป็นเศษสวะกันเหมือนเดิม​ แต่ขอโทษเถอะ…หลินม่ายคนนี้ไม่ใช่หลินม่ายคนเดิมแล้ว​ ใครหน้าไหนมารังแกฉัน​ คราวนี้แม่จะซัดให้หงาย​​ จะงัดมารยาสาไถทุกกระบวนมาใช้แก้เผ็ดมันให้หมด! จากนั้นก็จะหย่ากับสามีกะหลั่วแยกตัวออกมาสร้างฐานะแบบสวยๆ​ ไม่ต้องสนใจใครอีกแล้ว!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท