ตอนที่ 111 เชอร์รี่หนึ่งกล่อง
เมื่อซื้อคูปองเนื้อจากพ่อค้าที่เร่ขาย หลินม่ายก็ซื้อคูปองเนื้อไปถึงสามสิบชั่งในคราวเดียว
ร้านอาหารของเธออยู่ข้างๆ มหาวิทยาลัยการแพทย์และโรงพยาบาลที่ฟางจั๋วหรานทำงาน ต่อไปนี้คงต้องทำอาหารให้เขาบ่อยๆ วันละสามมื้อ ดังนั้นคูปองเนื้อนี้ต้องห้ามขาด
เมื่อซื้อคูปองแล้ว หลินม่ายก็เดินตรงไปที่ตลาดขายผักของรัฐ และได้พบกับพนักงานขายเนื้อที่ขายกระดูกหมูและลำไส้ให้เธอเมื่อปีก่อน
พลันหลินม่ายก็มีความคิดขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าวันนี้หลูจู่ของเธอน่าจะไม่พอขาย และอาจจะซื้อเครื่องในหมูและปอดหมูไม่เพียงพอสำหรับการทำหลูจู่ในวันพรุ่งนี้
คิดแล้วจึงลองถามพนักงานขายดู ว่าเขาจะสามารถหาเครื่องในหมูและปอดหมูมาขายให้เธอได้หรือไหม
ตราบใดที่ส่วนผสมพวกนี้เพียงพอ พรุ่งนี้เธอก็สามาถทำหลูจู่ได้เพียงพอต่อการขาย มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกที่ข้างบ้านจะลอกเลียนแบบกิจการของเธอ
หลินม่ายเลือกเนื้อขาหลังจำนวน 750 กรัม แล้วถามคนขายเบาๆ “พี่ชาย ฉันขอลำไส้ใหญ่หมู ลำไส้เล็กหมู แล้วก็ปอดหมู 3 ชุดได้ไหมคะ พรุ่งนี้ฉันจะเข้ามาเอา”
พนักงานเหลือบมองเธอ “จ่ายเงินก่อน”
หลินม่ายรู้ว่าเขาเคยถูกคนรู้จักหลอกมาก่อน ดังนั้นเธอจึงตอบตกลง
“ไม่มีปัญหาค่ะ แต่ฉันอยากรู้ว่าคุณขายพวกลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก แล้วก็ปอดหมูนี่ยังไง”
พนักงานขายมองมาที่เธอแล้วพูดว่า “ผมจำคุณได้ คุณเคยซื้อไส้หมูจากผม แต่ก่อนขายให้คุณครึ่งกิโล 2 เหมา ตอนนี้ยังเป็นราคาเดิม ปอดหมูคู่ละ 1 หยวน”
เมื่อได้ยินราคา หลินม่ายก็พลันรู้สึกไม่อยากได้
“คราวก่อนที่ฉันซื้อไส้หมูจากคุณ ฉันไม่รู้ว่ามันแพงขนาดนี้ คราวนี้คุณจะขายให้ฉันราคาแพงขนาดนั้นเลยเหรอคะ? ฉันซื้อเครื่องในหมูจากคนอื่นชุดละ 1.5 หยวน ปอดหมูคนอื่นเขาแถมให้ฉันฟรี แน่นอนว่าคุณคงแถมให้ฉันไม่ได้ แต่ฉันก็จะไม่ยอมเสียคู่ละ 1 หยวนเหมือนกัน”
เครื่องในหมูเป็นของที่ขายไม่ออก ก็เพราะว่าทางสมาคมเนื้อสัตว์ไม่ยอมขายให้คนนอก แต่ขายในราคาถูกให้กับพนักงานภายใน ทั้งชุดนั้นขายแค่ 1 หยวนเท่านั้น
ไม่มีใครต้องการปอดหมู ดังนั้นพนักงานภายในคนไหนที่ต้องการ ก็ได้จ่ายเงินเพียง 2 เหมาเท่านั้น
พนักขายเห็นว่าหลินม่ายถูกเขาหลอกขายไส้หมูไปในครั้งที่แล้วก็อยากจะฟันราคาเพิ่ม แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเธอจะรู้ราคาตลาดจนจับทางได้แล้ว
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เครื่องในหมูชุดละ 1.5 หยวน ฉันลดให้อีกไม่ได้แล้ว ให้ได้แค่ชุดละ 2 หยวน ปอดหมูก็คู่ละ 5 เหมา”
เมื่อหลินม่ายเห็นว่าเขายอมอ่อนข้อให้ ก็ค่อยๆพูดกับเขา “ขายเครื่องในหมูให้ฉัน 1.5 หยวนแล้วกันค่ะ อย่าพูดว่าคุณขายไม่ได้ ถ้าคนอื่นเขาซื้อได้คุณก็ควรจะขายให้ได้ ก็แค่รายได้น้อยลงเท่านั้นเอง แต่ถ้าคุณคิดแบบนี้ หลังจากนี้ฉันจะมาซื้อของกับคุณทุกวัน ซึ่งเท่ากับว่าคุณมีรายได้คงที่ ลองคิดดูแล้วกัน”
หากทุกวันเขามีของในมือ ตอนที่เธอต้องการเครื่องในหมู 3 ชุด กับปอดหมู แบบนี้เขาก็สามารถมีรายได้จากผู้หญิงผิวคล้ำคนนี้แล้ววันละ 2 หยวน
เดือนๆหนึ่งก็ได้แล้ว 60 หยวน สูงกว่าเงินเดือนตัวเองอีก ยังจะต้องคิดอะไรอีก รีบรับปากเข้า
ถ้าคุณรับประกันว่าจะซื้อของทุกวัน แล้วเอาเครื่องในหมูและปอดหมู 3 ชุดขึ้นไป ผมจะให้ราคานี้กับคุณ
หลินม่ายยิ้ม “แบบนี้ไม่เชื่อใจฉันหรอ?งั้นฉันจะมัดจำไว้ก่อน 5 หยวน ถ้าวันพรุ่งนี้ฉันไม่มาเอาของ ไม่บอกคุณล่วงหน้า ก็ริบเงินมัดจำไป คุณว่าไง?”
เพราะว่ามีเงินมัดจำแล้วเลยไม่ต้องกลัว พนักงานคนนั้นจึงรีบตอบตกลง
หลินม่ายนำเงินออกมา 5 หยวนให้กับพนักงานคนนั้น ณ จุดขาย ก่อนที่พนักงานจะเขียนใบเสร็จรับเงินให้กับเธอด้วย
ในตอนเช้าที่เถ้าแก่ฉีมาส่งหอมแดง ก็ยังส่งผักชีกับคื่นช่ายอีกด้วย หลินม่ายวางแผนที่จะใช้ผักทั้งสองชนิดนี้ผสมกับเนื้อหมูเพื่อทำเกี๊ยว
ก่อนถึงประตูร้านก็ได้กลิ่นน้ำมันหมูลอยออกมาจากด้านใน เธอจึงรู้ว่าโจวฉายอวิ๋นใช้มันหมูที่เธอซื้อมาในตอนเช้าเจียวน้ำมันหมู
เมื่อเข้าไปในห้องครัวก็เห็นโจวฉายอวิ๋นเจียวน้ำมันหมูเพิ่งเสร็จ กำลังตักกากหมูรอบสุดท้ายขึ้นมาจากหม้อเพื่อสะเด็ดน้ำมัน
อุ้งมือน้อยๆ ทั้งสองข้างของโต้วโต้วเกาะขอบเตาแน่น กระพริบตาปริบๆ รอกินกากหมูที่เพิ่งจะเจียวใหม่ออกจากหม้อ
โจวฉายอวิ๋นส่ายหน้า “กากหมูนี้หนูกินไม่ได้ ต้องเก็บไว้ทำเกี๊ยวนะ”
หลินม่ายกล่าว “ให้หล่อนกินครึ่งถ้วยเล็กๆก็ได้ ฉันซื้อเกี๊ยวเนื้อกลับมาด้วย”
จากนั้นโจวฉายอวิ๋นใส่กากหมูในถ้วยเล็กๆ แล้วโรยเกลือเล็กน้อยให้โต้วโต้วกิน
ก่อนหันกลับมาแล้วบ่นกับหลินม่าย “ถ้าฉันรู้ว่าเธอจะออกไปซื้อเนื้อมาทำเกี๊ยว ฉันน่าจะห้ามเธอไว้ เธอก็รู้ว่าฉันจะเจียวน้ำมันหมู คงเจียวได้กากหมูไม่น้อย เธอยังจะซื้อเนื้ออีกนะ! ”
ว่าแล้วก็ใช้ทัพพีเคาะหม้อใบใหญ่ที่ใส่กากหมูไว้ “ยังมีกากหมูเหลืออีกมาก ทำยังไงดีนะ?”
หลินม่ายไม่ได้สนใจ “พรุ่งนี้เช้าห่อเกี๊ยวผักดองกับกากหมูที่เหลือดีไหม? กากหมูวางไว้คืนหนึ่งจะเสียไหม”
เมื่อคิดแล้วว่าเกี๊ยวต้มจะกลายเป็นก้อนได้ง่าย หลินม่ายจึงเลือกเกี๊ยวนึ่ง
นึ่งเกี๊ยวเสร็จ ก็ปาเข้าไป 5 โมงครึ่งแล้ว ได้เวลากินข้าวเย็นพอดี
หลินม่ายหวังว่าจะนำเกี๊ยวไปให้ฟางจั๋วหรานทันที แต่โจวฉายอวิ๋นบอกว่ากินเสร็จแล้วค่อยเอาไปให้
หลินม่ายก็ไม่กล้าเอาไปให้ก่อนแล้วค่อยกิน เพราะกลัวว่าโจวฉายอวิ๋นจะเข้าใจผิดคิดว่าเธอชอบฟางจั๋วหราน
แม้ว่าในใจเธอจะชอบเขามาก แต่ก็กลัวว่าคนอื่นจะรู้
คิดไม่ถึงเลยว่าการได้เกิดใหม่อีกครั้งแล้วจะได้มีความรู้สึกเช่นสาวน้อยแบบนี้
ตอนกินเกี๊ยว โจวฉายอวิ๋นให้หลินม่ายใช้น้ำมันงาใส่ซอสเปรี้ยวเพื่อทำน้ำจิ้มง่ายๆสำหรับกินกับเกี๊ยว
มีน้ำมันงาทั้งหมดสามชั่ง ทำให้หลินม่ายรู้สึกเสียดาย แต่ก็ยังทำตามที่โจวฉายอวิ๋นบอก ด้วยการใช้น้ำมันงากับซอสเปรี้ยวผสมกัน แต่ใช้น้ำมันงาเพียง 3 หยด
เมื่อกินเกี๊ยวเสร็จ หลินม่ายก็บรรจุเกี๊ยวนึ่งลงในกล่องอะลูมิเนียมจนเต็ม จากนั้นใช้ถ้วยขนาดเล็กเพื่อเตรียมน้ำจิ้ม ใส่น้ำมันงาและซอสเปรี้ยว แล้วก็นำไปให้ฟางจั๋วหราน
เมื่อเห็นว่าเธอใช้น้ำมันงามาก โจวฉายอวิ๋นก็บ่น “ทำให้พวกเรานี่งกเชียวนะใส่อยู่ไม่กี่หยด ทำให้ศาสตราจารย์ฟางจั๋วหรานกิน น้ำใจล้นเหลือ ให้น้ำมันงาเยอะเชียว”
หลินม่ายเหลือบมองหล่อน “เธอไม่พูดหน่อยล่ะว่าเขาน่ะช่วยเหลือพวกเราตั้งเยอะ?”
โจวฉายอวิ๋นยิ้มอย่างมีเลศนัย แต่ไม่พูด
ตอนที่หลินม่ายเอาเกี๊ยวไปให้ เธอก็เห็นพยาบาลสาวสวยหลายคนพูดคุยหัวเราะอยู่รอบๆ ฟางจั๋วหราน ดวงตาของพยาบาลทุกคนเต็มไปด้วยดาวดวงเล็กๆเปล่งประกาย
หลินม่ายถอนหายใจด้วยความละอายอย่างเงียบๆ ผู้ชายที่เพรียบพร้อมมักตกเป็นเป้าของสาวๆ แบบนี้สินะ
พยาบาลชื่อโหมวตานที่หยุดซักถามเธออยู่ตรงมุมบันไดในตอนนั้นก็อยู่ตรงนั้นด้วย
หล่อนเป็นคนแรกที่เห็นหลินม่าย จึงเดินเข้ามาหาเธอแล้วถามอย่างเย่อหยิ่ง “ศาสตราจารย์ฟางขอให้เธอนำอาหารมาส่งอีกแล้วหรอ?”
“เกี๊ยวนึ่งค่ะ” หลินม่ายมอบสิ่งของที่อยู่ในมือให้ฟางจั๋วหราน พยักหน้าแล้วรีบผละออกไป
“อย่าเพิ่งรีบสิ ผมมีอะไรจะให้คุณ” ชายหนุ่มเรียกเธอแล้วไปที่ห้องพักของตน ก่อนออกมาพร้อมกับกล่องกระดาษในมือ
หลินม่ายรู้สึกหนักอึ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นเขาถือกล่องกระดาษออกมา แล้วถามว่า “มีอะไรอยู่ข้างในเหรอคะ?”
“เชอร์รี่ ครอบครัวของผู้ป่วยให้มาน่ะ”
เนื่องจากทักษะทางการแพทย์ของเขา ทำให้บ่อยครั้งครอบครัวของผู้ป่วยมักจะมอบสิ่งของให้แก่เขาเพื่อเป็นการขอบคุณ
ไม่ต้องพูดถึงเชอร์รี่ในยุคนี้ แม้จะผ่านไปสองสามทศวรรษแล้ว ก็ยังเป็นผลไม้ที่ค่อนข้างแพง
เธอมอบเกี๊ยวให้เขาหนึ่งกล่อง แต่เมื่อต้องแลกกับเชอร์รี่จำนวนหนึ่ง หลินม่ายก็รู้สึกเกรงใจจึงปฏิเสธ “ทำไมคุณถึงให้ฉันล่ะคะ? คุณเก็บไว้กินเองเถอะค่ะ”
“ผู้ชายที่ไหนชอบกินผลไม้”
หลินม่ายเห็นว่าปฏิเสธไม่ได้ จึงต้องขอบคุณเขาแล้วกอดเชอร์รี่ไว้ในอ้อมกอด
โดยไม่รู้ตัวเลยว่าโหม่วตานกำลังจ้องมองเธออย่างไม่พอใจ
ตอนที่ฟางจั๋วหรานได้รับกล่องเชอร์รี่ โหม่วตานได้หยิบเชอร์รี่ขึ้นมาด้วยความสงสัย แต่เขาก็ไม่ได้ให้อะไรกับหล่อน ทว่าตอนนี้เขามอบมันให้หญิงสาวผิวคล้ำคนนั้นทั้งกล่อง
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เริ่มเลยยยย มนต์รักกล่องข้าวสินะ
คนที่ไม่ใช่ยังไงเขาก็ไม่มอบให้น่ะจ้ะโหม่วตาน
ไหหม่า(海馬)