ตอนที่ 119 ป้าหูปัดความรับผิดชอบ
ผู้ช่วยจากร้านป้าหูที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็รีบวิ่งเข้ามาบ่น “พวกคุณทำอะไรน่ะ มีอะไรก็พูดกันดีๆสิ ไม่ใช่ว่าพอเข้าร้านมาก็ทุบทำลายข้าวของแบบนี้!”
ป้าหูรู้จักหญิงวัยกลางคนสองคนนี้ และรู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงทุบร้าน ทว่ากลับเอาแต่เบียดเสียดอยู่ที่มุมห้องและไม่พูดอะไร โดยหวังว่าตนจะล่องหนเป็นอากาศธาตุ
หญิงวัยกลางคนสองคนสลัดพวกผู้ช่วยที่มาดึงรั้งไว้ออก ก่อนนั่งแปะลงบนพื้นและเริ่มร้องโวยวาย
“ให้พูดบ้าอะไร! ลูกชายของพวกเราโดนอีแก่นี่ทำลาย ตอนนี้อยู่สถานีตำรวจตัดสินจำคุกสิบห้าวัน กลับไปคงถูกหน่วยงานไล่ออก อนาคตจบเห่!”
ทุกคนสับสน “ป้าหูส่งลูกชายของคุณไปที่สถานีตำรวจ? ลูกชายของคุณคือใคร? เขาส่งลูกชายของคุณไปที่สถานีตำรวจได้อย่างไร?”
จู่ๆ หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งก็พบป้าหูที่เบียดเสียดอยู่ตรงมุมห้อง ก็ผุดลุกขึ้นจากพื้นทันทีและลากหล่อนออกมาต่อหน้าทุกคน
“คนแซ่หู กล้าทำก็ต้องกล้ารับ ปิดบังทำไม? บอกทุกคนไปสิว่าทำลายลูกชายฉันยังไง?
ในเวลานี้ป้าหูทำหน้าเหมือนหมูตายที่ไม่กลัวน้ำเดือด สลัดหญิงวัยกลางคนออกอย่างแรง
“จะมาพูดว่าฉันทำลายลูกพวกเธอได้ยังไง! ฉันมีข้อตกลงกับพวกเขา ฉันจ่ายให้ และพวกเขาทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อฉัน มีปัญหาอะไรไหม!”
หญิงวัยกลางคนอีกคนเห็นว่าป้าหูไม่ได้รู้สึกผิดเลย ก็เดือดเป็นฟืนไฟ เดินเข้าไปหาและตบหน้าหล่อน
“เธอเป็นผู้ใหญ่ จ้างลูกชายของเราให้ก่อกวนเพื่อนบ้าน นี่เป็นเรื่องที่คนเขาทำกันเหรอ!”
เมื่อทุกคนได้ยินแบบนี้ พวกเขาจึงเข้าใจว่าหญิงวัยกลางคนเป็นแม่ของชายหนุ่มที่ไปสร้างปัญหาที่ร้านของหลินม่ายเมื่อวานนี้
ผู้ช่วยเหลือพูดอะไรไม่ออก แต่เพื่อนบ้านที่ยืนดูความตื่นเต้นอยู่ที่ประตูร้านทั้งหมดชี้ไปที่ป้าหู
พลางรู้สึกว่าหล่อนช่างไม่มีคุณธรรมเอาเสียเลย ทำลายอนาคตลูกๆ ของญาติของตัวเองแล้วไม่เพียงพยายามแก้ไข แต่ยังก่นด่าใส่กัน บาปบุญคุณโทษคงถูกสุนัขกินไปหมดแล้ว
ป้าหูถูกทุบตีจนล้มลงกับพื้นและแสร้งทำเป็นตาย และขอให้ผู้ช่วยโทรหาตำรวจ
ผู้ช่วยของร้านหล่อนได้รับค่าจ้างต่ำ ใครจะยอมออกหน้าถูกสาดโคลนแทนหล่อนกัน ดังนั้นจึงไม่มีใครตอบสนองต่อคำพูดของหล่อน
หญิงวัยกลางคนสองคนเริ่มรำคาญมากขึ้น ทุบตีแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับนำข้าว แป้งและน้ำมันในครัวมาสาด
“ปลิ้นปล้อนนักใช่ไหม? เอาเลย! อย่าหาว่าพวกฉันไม่เตือน ดูแลหลานชายของเธอให้ดีแล้วกัน!”
หลังจากที่หญิงวัยกลางคนสองคนขู่เสร็จแล้ว พวกหล่อนก็จากไปด้วยสีหน้าทะมึน
หลินม่ายเห็นว่ามีคนมาจัดการป้าหู ก็ไม่คิดจะไปสะสางบัญชีกับหล่อนแล้ว
ครั้งนี้ถ้าเธอยื่นเท้าเข้าไปอีก มันดูเหมือนคนล้มแล้วเหยียบซ้ำ
หญิงวัยกลางคนสองคนเดินไปข้างหน้า เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายเดินตามหลัง ส่วนป้าหูถูกนำตัวไปที่สถานีตำรวจในข้อหายุยงให้คนอื่นกระทำความผิด
เมื่อพวกเขามาถึงสถานีตำรวจ ป้าหูปฏิเสธอย่างหนักแน่นที่จะยอมรับว่าหล่อนขอให้หลานชายห่างๆ สองคนมาข่มขู่หลินม่าย
หล่อนเต็มใจยอมรับว่าตนจ้างพวกเขามาทำลายร้านของหลินม่าย แต่หลานชายที่อยู่ห่างๆ สองคนของหล่อนจงใจข่มขู่หลินม่ายเอง
หลานชายห่างๆ สองคนของป้าหูโกรธมาก ทั้งคู่ยืนยันว่าหล่อนสั่งให้พวกเขาข่มขู่หลินม่าย
ทั้งสองฝ่ายกัดกันเองในสถานีตำรวจ
ป้าหูกลัวว่าตนจะถูกคุมขังเป็นเวลาสิบห้าวัน หากเดินตามรอยเท้าของหลานชายสองคน
ดังนั้นหล่อนจึงใช้ไม้เด็ด นำเรื่องที่หลานชายทั้งสองขู่กรรโชกทรัพย์เพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนออกมาแฉ
ทั้งคู่ยืนยันในความคิดเห็นของตัวเอง และไม่ใช่เรื่องง่ายที่ตำรวจจะตัดสินว่าใครพูดความจริงและใครโกหก
แต่ตอนนี้หลานชายทั้งสองของหล่อนมีประวัติอาชญากรรม จึงยากที่จะแยกแยะออกว่าพวกเขาตั้งใจขู่กรรโชกหรือไม่
ในท้ายที่สุด ตำรวจได้ลงโทษป้าหูด้วยการปรับทัศนคติและเรียกค่าปรับเป็นเงินป้องกันสาธารณภัย
ตกเย็นเมื่อลูกชาย ภรรยา และลูกสาวกลับจากเลิกงาน พวกเขาก็ตกใจเมื่อเห็นคนร้ายเข้ามาในหมู่บ้าน
หลังจากรู้เหตุผลจากป้าหู ใบหน้าของลูกสะใภ้ก็ฉายความไม่พอใจ “วันทั้งวันรู้แต่วิธีเก็บเงิน ไปจ้างใครมาเนี่ย! นี่เป็นการทุ่มหินลงเท้าตัวเองชัดๆ!”
ป้าหูรู้สึกผิดและพูดว่า “เรื่องนี้โทษฉันได้หรอ? พวกเขารับเงินฉันไปแล้ว พวกเขาก็ต้องรับผิดชอบหากเกิดข้อผิดพลาด เกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ?”
เมื่อเห็นว่าหล่อนไม่มีเหตุผล ลูกสะใภ้ก็ขี้เกียจเถียง
พักอยู่ที่บ้านพ่อแม่ได้หนึ่งวัน วันรุ่งขึ้นโจวฉายอวิ๋นก็เตรียมกลับเข้าเมืองหลังกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว
แม่โจวใส่ไข่ยี่สิบฟองและผักแห้งในตะกร้า และขอให้หล่อนนำไปฝากหลินม่าย
เมื่อครอบครัวส่งหล่อนออกจากหมู่บ้าน พ่อและแม่ก็คอยบอกให้หล่อนทำงานหนักเพื่อหลินม่าย
โจวฉายอวิ๋นรักษาสัญญา หล่อนไปที่บ้านของคุณย่าฟางเมื่อผ่านเมืองซื่อเหมย
คุณย่าฟางให้กะปิกระปุกหนึ่งและไข่เป็ดเค็มหลายสิบฟอง
บอกว่าหลานชายของยายเถียนหายป่วยแล้ว ยายเถียนจึงส่งกะปิกับไข่เค็มมาที่บ้านของฉัน เพื่อขอบคุณหลินม่ายโดยเฉพาะ
คุณย่าฟางไหว้วานให้โจวฉายอวิ๋นมอบสิ่งเหล่านี้ให้กับหลินม่าย
โจวฉายอวิ๋นกลับมาถึงในเมืองเวลาประมาณสิบสองนาฬิกา
ยังไม่ทันเดินถึงร้านของหลินม่าย หล่อนก็แวะที่ร้านของป้าหูเพื่อเปรียบเทียบกิจการ
หล่อนแปลกใจนัก ที่ร้านของป้าหูที่อยู่ติดกันกิจการไม่ดีเท่าร้านของหลินม่าย
โจวฉายอวิ๋นยิ้มทันที รีบเดินไปที่ร้าน เอาของไปไว้ที่ครัวแล้วล้างมือ เสร็จแล้วมาช่วยหลินม่าย
หลินม่ายคนเดียว ขายทั้งซุปกระดูกหมูหัวไชเท้า หลูจู่ ข้าวสวย และข้าวผัดน้ำมันหมูใส่ไข่ ดูยุ่งเกินไปหน่อย
การมีโจวฉายอวิ๋นทำให้เธอรู้สึกสบายขึ้นมาก
วันนี้หลินม่ายไม่ได้เตรียมหลูจู่ไว้มากเกินไป ไม่ถึงเที่ยงครึ่งเธอก็ขายหมด
ลูกค้าหลายคนที่ซื้อไม่ทันต้องสั่งข้าวผัดน้ำมันหมูใส่ไข่แทน และระบุขอพริกน้ำส้มเพิ่มหนึ่งช้อนโต๊ะ
บางคนไม่อยากกินข้าวผัดน้ำมันหมูใส่ไข่ ก็สั่งข้าวสองถ้วยกับซุปกระดูกหมูหัวไชเท้าหนึ่งชาม
ข้าวกับซุปหัวไชเท้ากระดูกหมูเหลือไม่เยอะแล้ว
เมื่อโจวฉายอวิ๋นเห็นดังนั้น ก็กระซิบกับหลินม่ายว่า “ฉันจะเข้าไปในครัวและหุงข้าวอีกสองหม้อ”
หายากที่กิจการจะดี เธอไม่อยากเลิกกิจการก่อนเวลา เพราะร้านข้างๆขายถูกกว่า เธอจึงยังอยากทำข้าวสองหม้อและขายข้าวผัดน้ำมันหมูใส่ไข่ต่อไป
หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้กิจการตอนเที่ยงจะยุ่งกว่าทุกวัน ถ้าวันนี้เธอสามารถพักผ่อนได้ก็พักผ่อนเถอะ”
โจวฉายอวิ๋นไม่มีทางเลือก
ประมาณบ่ายโมง อาหารก็ขายหมด ได้เวลาทำกินเอง
ส่วนโต้วโต้วกินข้าวกับหลูจู่ไปแล้ว
ตอนที่ทั้งสองกำลังทำอาหารกลางวันอยู่ในครัว โจวฉายอวิ๋นก็ถามหลินม่ายว่าทำไมจู่ๆ กิจการถึงดีขึ้น
หลินม่ายนำข้าวที่ซาวแล้ววางลงบนเตาเพื่อนึ่ง “งานในตอนเที่ยงนั้นค่อนข้างหนัก ในตอนเช้าก็ยังเหมือนเดิม”
โจวฉายอวิ๋นนั่งบนม้านั่งตัวเล็กแล้วเด็ดผัก “แล้วทำไมกิจการในตอนกลางวันถึงได้หนัก?”
หลินม่ายนั่งตรงข้ามกับเธอและเด็ดผักด้วยกัน “หลูจู่ของฉันรสชาติดี ไม่เหมือนหลูจู่ข้างบ้านที่มีกลิ่นคาวเครื่องใน นานๆ กินอาหารมีกลิ่นคงไม่เป็นไร แต่น้อยคนที่จะทนกินได้ทุกวัน เมื่อเวลาผ่านไป ถ้าอยากกินหลูจู่ แม้ว่าร้านของเราจะแพงกว่าห้าเฟิน ผู้คนก็เต็มใจที่จะมากิน ”
จู่ๆ โจวฉายอวิ๋นก็นึกขึ้นได้และพยักหน้า “ไม่แปลกใจที่เธอพูดก่อนหน้านี้ ว่ากิจการจะดีขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน ผู้คนนิยมกินข้าวผัดน้ำมันหมูใส่ไข่ของเรามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนั่นน่าจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผล”
หลินม่ายกล่าว “เป็นเพราะว่าข้าวผัดน้ำมันหมูใส่ไข่ของเราร้านเรามีพริกน้ำส้มของยายเถียนน่ะ พริกน้ำส้มของยายเถียนหอมอร่อย ใส่ข้าวผัดไข่ไปหนึ่งช้อน ขอแค่ชอบรสจัด จะมีสักกี่คนที่ทนได้?”
โจวฉายอวิ๋นรู้สึกเสียใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “น่าเสียดายที่วันนี้นำมาแค่กะปิมาจากบ้านย่าฟาง ที่ยายเถียนเอามาให้ ถ้าเปลี่ยนกะปิเป็นพริกน้ำส้ม ก็ใช้พริกน้ำส้มมาฆ่าธุรกิจข้าวผัดไข่ข้างบ้านได้เลย”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ร้านข้าง ๆ น่าจะล้มจนลุกไม่ขึ้นแล้วล่ะมั้ง ทำธุรกิจไม่ใสสะอาดก็งี้แหละ
ไหหม่า(海馬)