ตอนที่ 132 บังเอิญพบเพื่อนสมัยเด็ก
โจวฉายอวิ๋นเห็นว่าเธอตัดสินใจมั่นแล้ว ก็ได้แต่คล้อยตามเธอ แต่เมื่อขอเรียนเทคนิคการทำเซาเข่า หลินม่ายก็ตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
ถึงแม้โจวฉายอวิ๋นทำเป็นแล้ว นึกอยากจะแยกไปทำคนเดียว เธอก็ไม่โกรธเคือง
น้ำย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำ คนย่อมเดินมุ่งขึ้นที่สูง ในเมื่อมีโอกาสได้เป็นเถ้าแก่ ใครจะอยากทำงานให้คนอื่นไปทั้งชีวิตกัน?
แม้จะยอมรับสถานการณ์เช่นนั้นได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าหลินม่ายจะชอบให้เกิดสถานการณ์แบบนั้นขึ้น
ใครจะอยากให้บุคลากรที่ฝึกอบรมมาไหลหายไป แล้วไปฝึกอบรมใหม่อีกครั้งกัน?
ดังนั้นการรับสมัครเด็กฝึกงานในครั้งนี้ หลินม่ายจึงมีเงื่อนไขจำกัด
เมื่อเรียนเทคนิคสำเร็จแล้ว ต้องทำงานในร้านอย่างน้อยสามปีขึ้นไปถึงจะสามารถลาออกได้ ไม่อย่างนั้นจะถือว่าผิดสัญญา
หลินม่ายรับสมัครพนักงานใหม่เสร็จแล้ว ก็ขี่รถสามล้อไปขนผักกวางตุ้งที่ร้านลุงขายผัก
ตอนนี้ร้านของเธอขายเซาเข่า จึงมีความต้องการผักในปริมาณสูงมาก
หลังซื้อเสร็จแล้วก็ค่อยให้ลุงขายผักมาส่งผักอีกครั้ง แต่เขาเป็นคนแก่คนหนึ่ง หลินม่ายทนทำใจแข็งมองเขาขนผักมากมายขนาดนั้นไม่ได้ ฉะนั้นเธอจึงขี่รถสามล้อไปรับผักที่ร้านของเขาด้วยตัวเองทุกวัน
ถึงยังไงสถานที่ที่เธอกำลังมุ่งไปกับร้านลุงขายผักก็ไม่ได้ห่างกันมาก วนไปสักรอบก็ใช้เวลาไม่ได้นานนัก
เมื่อรับผักจากร้านลุงขายผักมาแล้ว หลินม่ายก็ถีบสามล้อกลับร้านอาหาร
ดวงอาทิตย์ร้อนแรงแผดเผา สาดแสงจนทำเอาแทบลืมตาไม่ขึ้น
แม้แต่ขอทานหนุ่มเสื้อผ้าสกปรกซอมซ่อคนหนึ่งที่อยู่หัวถนนก็ยังถูกแดดส่องเสียจนไม่อยากจะขยับตัว แล้วนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ริมถนนนิ่งๆ
หลินม่ายเหลือบมองขอทานหนุ่มคนนั้นอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร ในใจเต็มไปด้วยความดูแคลน
ตอนนี้ที่ดินไร่นา(1)ทำสัญญาปันผลผลิตต่อครัวเรือนแล้ว เจ้าคนหนุ่มอายุน้อยนี่ไม่ไปทำไร่ในชนบทให้ดีๆ แต่กลับเข้ามาขอทานในเมืองเสียนี่!
แต่สายตาที่มองไปนี้กลับทำให้เธอตะลึงอยู่กับที่
ไม่นึกว่าขอทานหนุ่มคนนั้นก็คือหลี่หมิงเฉิง!
หลี่หมิงเฉิงเป็นเหมยเขียวม้าไผ่(2)ของหลินม่าย แม้ทั้งสองคนจะอยู่คนละหมู่บ้าน แต่กลับเรียนจบชั้นประถมและมัธยมต้นมาด้วยกัน
ช่วงสมัยเรียน เขาดีต่อเธอมาก ในวันเกิด แม่ของเขาทำไข่ไก่ให้เขาฟองหนึ่ง เขาก็ยังเอาให้เธอกิน
ชาติก่อน เธออยากแต่งงานกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน เขายังเคยมาโน้มน้าวเธอ บอกว่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนไม่คู่ควรที่เธอจะฝากทั้งชีวิตไว้
เพียงแต่น่าเสียดาย ตอนนั้นเธอลุ่มหลงเหมือนผีบังตา ไม่ได้ฟังเข้าหูเลยแม้แต่คำเดียว ทั้งยังแตกหักกับเขาด้วยเหตุนี้ด้วย
หลังจากนั้นเขาก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เธอเองก็ค่อยๆ ลืมเลือนเขาไปทีละน้อย
เกิดใหม่ครั้งนี้ ในวันแต่งงานวันนั้น คนคนนั้นก็ถูกลืมเลือนไปหลายปีแล้ว จนเธอเองไม่เคยได้นึกถึงมาก่อน
วันนี้หากหลี่หมิงเฉิงไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเธอ เธอก็คงไม่ได้นึกถึงเขา
หลินม่ายหยุดรถสามล้อลง แล้วร้องเรียกอย่างประหลาดใจระคนดีใจ “หลี่หมิงเฉิง!”
หลี่หมิงเฉิงที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้เบิกตาขึ้น และจำเธอได้ เขาร้องตะโกน “ม่ายจื่อ!” ด้วยความตื่นเต้นเสียจนเสียงหลง
หลินม่ายลงจากรถสามล้อ แล้วมองพินิจเขาขึ้นลง “นายกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง? ฉันยังนึกว่าตัวเองจำคนผิดแล้วเสียอีก”
หลี่หมิงเฉิงลุกยืนขึ้น ปัดเศษฝุ่นบนตัว แล้วพูดอย่างเก้อเขิน “ฉันมาหางานในเมือง งานยังหาไม่ได้ ก็ถูกคนมาปล้น เร่ร่อนอยู่ไม่กี่วัน ก็กลายเป็นสภาพนี้ซะแล้วน่ะ”
หลินม่ายพูดอย่างไม่เข้าใจ “ตอนนี้เป็นฤดูกาลทำไร่นา ทำไมนายถึงถ่อมาหางานทำถึงในเมืองล่ะ? อย่างน้อยก็ต้องรอให้ผ่านฤดูกาลทำไร่นาไปก่อนค่อยมาสิ”
หลี่หมิงเฉิงหัวเราะแห้งเล็กน้อย “ที่นาในชนบททำสัญญาปันผลผลิตแล้ว เธอเองก็รู้ หมู่บ้านของพวกเรามีไร่นาน้อย แถมบ้านฉันก็มีแรงงานมาก ที่ดินแค่นั้นจะไปพอปลูกที่ไหนกัน? แทนที่จะอยู่ที่บ้านว่างๆ ไม่สู้เข้าเมืองมาเผชิญโลกกว้างดีกว่า ลองดูซิว่าจะหาเงินได้บ้างไหม”
แม้เรื่องที่ดินของที่บ้านมีน้อยจะเป็นความจริง แต่ที่หลี่หมิงเฉิงกล้าออกจากหุบเขามาหางานที่เมืองเจียงเฉิง กลับไม่ได้มีเหตุผลเพียงเพราะอยากหาเงิน
แต่เพราะได้ยินมาว่า หลินม่ายถูกอู๋เสี่ยวเจี๋ยนไล่ออกจากบ้าน และออกมาทำมาหากินอยู่ที่เมืองเจียงเฉิง
ได้ยินว่าเธอทำได้ไม่เลว เขาอยากจะมาเห็นเธอใช้ชีวิตอย่างดีด้วยตาตัวเอง ถึงจะวางใจ
แต่คำพูดเหล่านี้เขาอายเกินกว่าจะพูดกับหลินม่ายได้ สาวน้อยคนนี้ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาชอบเธอ และเห็นเขาเป็นพี่น้องมาตลอด
จู่ๆ จะให้เธอรู้เจตนาของตัวเองกะทันหัน ไม่รู้ว่าจะเกิดรู้สึกเกลียดขึ้นมาหรือเปล่า
หลินม่ายพูดพลางหัวเราะ “งั้นนายมาร่วมงานที่ร้านของฉันก็ได้” พูดจบ เธอก็เข็นรถสามล้อไปข้างหน้า
หลี่หมิงเฉิงรีบเข้าไปคว้ารถสามล้อมาช่วยเธอเข็น แล้วถามอย่างประหลาดใจ “เธอเปิดร้านเองเลยเหรอ”
หลินม่ายส่งเสียงอืม
“ขายอะไรเหรอ?”
“ของกินเล่น”
หลี่หมิงเฉิงร้อย “อ๋อ” ขึ้นมาคำหนึ่ง สังเกตเด็กสาวข้างกายอย่างละเอียด
ก็ไม่ได้เจอกันมากว่าครึ่งปีแล้ว หลินม่ายเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนลิบลับ มีความมั่นใจ เปี่ยมด้วยพลัง ไม่ใช่เด็กสาวตัวน้อยเซ่อซ่าคนนั้นอีกต่อไปแล้ว
หลินม่ายถามเขาอย่างสงสัยว่าถูกคนปล้นไปได้อย่างไร
แม้ว่าในตอนนี้ความสงบเรียบร้อยจะไม่ค่อยดีนัก นักล้วงหัวขโมยก่อเหตุกันให้ว่อน แต่ความสงบเรียบร้อยของเมืองเจียงเฉิงก็พอใช้ได้อยู่
ถูกคนปล้นในตัวเมืองกลางวันแสกๆ สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นน้อยมาก นอกเสียจากจะอยู่ในซอยเปลี่ยวลับตาคน
หลี่หมิงเฉิงแค่นหัวเราะเล็กน้อย แล้วเล่าเรื่องที่ถูกปล้นมาให้หลินม่ายฟัง
ไม่กี่วันก่อนเขานั่งรถไฟมาถึงเมืองเจียงเฉิง และเดินอยู่ที่ถนนสถานีรถที่คึกคักจอแจ
ด้านหน้ามีคนทำเงินหล่นปึกหนึ่ง ด้านหลังก็มีคนพุ่งเข้ามาหยิบเงินปึกนั้นขณะกำลังจะใส่เข้ากระเป๋า ก็ว่าเขากำลังจ้องอยู่ แล้วเกิดใจฝ่อขึ้นมา
ก็มาบอกกับเขาว่า เขาตกลงที่จะแบ่งกับเขา แต่มีข้อเสนอว่าเขาห้ามบอกใคร ฉะนั้นจึงพาเขาไปในซอยเล็กๆ ที่ห่างตัวเมืองออกไป
ไม่นึกว่าในซอยจะมีพวกเดียวกันกับคนที่เก็บเงินได้คนนั้นอีกหลายคน ปล้นเขาจนหมดตัวแล้ววิ่งหนีไป
หลินม่ายฟังแล้วก็หมดคำพูด “นี่มันแค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นกับดัก ทีหลังอยู่ข้างนอกอย่านึกโลภเด็ดขาด ถ้าไม่โลภก็จะไม่โดนหลอก”
ใบหน้าของหลี่หมิงเฉิงแดงฉ่า “ฉันไม่ได้โลภ ตอนนั้นฉันก็บอกกับเจ้าสิบแปดมงกุฎนั่น ว่าฉันไม่แบ่งเงินด้วยหรอก แต่เขาบอกว่า ถ้าฉันไม่ร่วมแบ่งเงินกันก็คงจะไปแจ้งความเขา แล้วลากฉันไปที่ซอยนั้นน่ะสิ”
“นายร้องตะโกนดังๆ ก็ได้นี่ แค่นายตะโกนขึ้นมา เจ้าสิบแปดมงกุฎนั่นก็ตกใจหนีตะเพิดไปแล้ว”
หลี่หมิงเฉิงพูดเสียงอ่อน “ฉันกลัวว่า… เขาจะไม่ใช่สิบแปดมงกุฎ เพียงแค่อยากแบ่งเงินกับฉันด้วยความหวังดีเท่านั้น”
หลินม่ายเห็นว่าเขาไร้เดียงสาขนาดนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
เห็นหลี่หมิงเฉิงไม่มีอะไรเลย จึงพาเขาไปห้างสรรพสินค้าซื้อเสื้อผ้าเปลี่ยนสองชุดและอุปกรณ์อาบน้ำกลับมาที่ร้าน
โจวฉายอวิ๋นเห็นหลินม่ายพาผู้ชายคนหนึ่งกลับมา ก็รีบถามว่าเขาเป็นใคร
หลินม่ายแนะนำพวกเขาทั้งสองฝ่าย แล้วให้หลี่หมิงเฉิงขึ้นไปอาบน้ำ เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสะอาดๆ ที่ห้องชั้นบน
เมื่อหลี่หมิงเฉิงลงมาข้างล่างด้วยความสดชื่น เขาก็เป็นเด็กหนุ่มคิ้วหนาตาโตผู้มีชีวิตชีวาคนหนึ่งแล้ว
การต้อนรับเพื่อนเก่าจะทำลวกๆ ไม่ได้ หลินม่ายฆ่าไก่ตัวผู้หนึ่งในสองตัวที่เหลือจากการขาย แล้วไปซื้อวัตถุดิบอย่างดีอื่นๆ ที่ตลาดมืด ในตอนเที่ยงเธอทำอาหารกลางวันมากมาย ต้อนรับหลี่หมิงเฉิงในห้องชุดชั้นบน
เพื่อนเก่ากินพลางคุยพลาง
หลินม่ายพลั้งปากถามถึงตระกูลหลินเล็กน้อย โดยเฉพาะสถานการณ์ของหลินเพ่ย
หมู่บ้านที่หลี่หมิงเฉิงอยู่นั้นไม่ไกลจากหมู่บ้านตระกูลหวัง เขาน่าจะรู้สถานการณ์ของหลินเพ่ย
หลี่หมิงเฉิงบอกเธอว่า ตั้งแต่ทำสัญญาปันผลผลิตต่อครัวเรือน บ้านเดิมของเธอก็ยิ่งยากจนลง กินข้าวได้ไม่ครบมื้อ ความเป็นอยู่อัตคัดขันสน จนกลายเป็นตัวตลกของคนในหมู่บ้านแล้ว
พี่สะใภ้ของเธอทนไม่ไหวอีกต่อไป จนทะเลาะแยกออกไปอยู่ที่อื่น
หลินม่ายได้ยินสภาพอันน่าเวทนาของบ้านเดิมตนแล้ว ไม่เพียงไม่ทุกข์ใจ แต่ยังรู้สึกอารมณ์ดียิ่ง
“บ้านเดิมของฉันจับพลัดจับผลูกลายเป็นแบบนี้ หลินเพ่ยล่ะ เธอเป็นอยู่ยังไงบ้าง?”
“หล่อนน่ะเหรอ!” พอพูดถึงหลินเพ่ยขึ้นมา สีหน้าของหลี่หมิงเฉิงก็บูดเบี้ยวเล็กน้อย
“เธอย้ายจากอำเภออวิ๋นไหลไปเรียนมัธยมปลายที่เมืองอวิ๋น ยังอยู่สุขสบายดี ฉันว่านะ ไม่ว่าคนทั้งบ้านของพวกเธอจะยากจนข้นแค้นยังไง หล่อนก็มีชีวิตแช่มชื่นอยู่ดี”
หลินม่ายค่อนข้างตกตะลึง หลินเพ่ยไม่ได้ถูกไล่ออกจากโรงเรียนในอวิ๋นไหลไปแล้วหรอกเหรอ แล้วยังย้ายไปเรียนที่เมืองอวิ๋นได้ยังไง?
แม้ว่าในใจจะเต็มไปด้วยคำถาม แต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยออกไป เธอวางแผนว่าเมื่อมีเวลาจะไปตรวจสอบดูว่าแท้จริงเกิดอะไรขึ้นกันแน่แล้วค่อยว่ากัน