ตอนที่ 137 อย่าเกะกะขวางทาง
หลินม่ายหัวเราะไม่พูดอะไร แล้วให้พนักงานคนหนึ่งเอาเมนูอาหารมาให้จ้าวฮั่นเชิงดู
จ้าวฮั่นเชิงก้มหน้าลงมอง วัตถุดิบที่ระบุอยู่ด้านหลังคำว่าหอมสิบลี้นั้นก็คือตูดไก่
เขาแสดงสีหน้าตกตะลึง “รู้ว่าเป็นตูดไก่ แต่ก็ยังมีคนสั่งมากมายขนาดนี้เชียว?”
หลินม่ายพูดอย่างภูมิใจ “เพราะมันหอมน่ากินไงล่ะคะ”
ความต้องการของเหล่านักกินนั้นก็คือการแสวงหาของอร่อย เรื่องสุขภาพดีน่ะเอาไว้ข้างหลัง
ที่คอเป็ดในชาติก่อนเป็นที่นิยมอย่างมากไปทั่วประเทศเองก็เป็นเพราะเหตุนี้เช่นกัน
จ้าวฮั่นเชิงกินเซาเข่าไปพลาง ดื่มเบียร์ไปพลาง พร้อมกับมองคนอื่นๆ กินหอมสิบลี้กับไส้ไก้ผัดพริกไปด้วย
ยิ่งมองก็ยิ่งแคลงใจ หอมสิบลี้กับไส้ไก่ผัดพริกมันอร่อยสักแค่ไหนกันแน่ คนถึงได้กินกันเยอะขนาดนี้้!
จึงสั่งหอมสิบลี้สองไม้และไส้ไก่ผัดพริกหนึ่งที่มาอย่างอดไม่ไหว
เขาเค้นความกล้าชิมไส้ไก่ผัดพริกเข้าไปก่อนหนึ่งคำ
รสชาติที่เต็มไปด้วยความกรอบอร่อยและเผ็ดจัดจ้านของไส้ไก่ผัดพริกแผ่ซ่านอยู่ในปาก อร่อยเกินบรรยาย
เขากวาดไส้ไก่ผัดพริกหนึ่งที่ลงท้องไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่หายอยาก
จากนั้น จึงหยิบหอมสิบลี้ขึ้นมาไม้หนึ่ง แล้วดึงตูดไก่ชิ้นหนึ่งงขึ้นมาเคี้ยว
เช่นเดียวกับไส้ไก่ผัดพริก ไม่มีกลิ่นเหม็นเลยแม้แต่น้อย แต่กลับหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเหล้าและยี่หร่าระเบิดอยู่ในปากขณะที่กิน อร่อยเสียจนทำเอาตัวสั่นเลยทีเดียว
ก่อนจะมาเขายังรังเกียจตูดไก่กับไส้เป็ดไส้ไก่เสียเต็มประดาอยู่เลย แต่ยามจากไป จ้าวฮั่นเชิงได้กลายเป็นแฟนพันธุ์แท้ของหอมสิบลี้และไส้ไก่ผัดพริกไปแล้ว
เขาห่อไส้ไก่ผัดพริกสองที่และหอมสิบลี้สิบไม้กลับบ้านไปอีกด้วย
เดิมทีเขาอยากจะสั่งหอมสิบลี้เพิ่มอีกสักหน่อย แต่หลินม่ายไม่ให้ บอกว่าเป็นอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพไม่ควรกินเยอะ
มีตู้แช่แข็ง หากไม่ขายไอศกรีมก็คงเสียของเกินไป
วันต่อมาหลังกินอาหารเช้าเสร็จ หลินม่ายก็ขี่รถสามล้อไปตามถนนเพื่อสั่งไอศกรีม
เธอไปโรงงานไอศกรีมแห่งแรกก็ขอซื้อไอศกรีมได้สำเร็จทันที
แต่ว่ารสชาตินั้นมีน้อยมาก มีแค่รสครีมนม ถั่วแดง ถั่วเขียวและไอศกรีมโบราณสี่รสชาติเท่านั้นเอง
หลินม่ายสั่งซื้อมารสชาติละหนึ่งร้อยแท่ง แล้วบรรจุในห้องโฟมนำกลับไปที่ร้าน
หากที่ร้านขายไอศกรีม คนที่ดีใจที่สุดคงไม่พ้นโต้วโต้ว ทั้งกระโดดโลดเต้นทั้งตบมือไปรอบกล่องโฟมที่ใส่ไอศกรีม ในปากตะโกนลั่นไม่หยุด “แม่คะ หนูอยากกิน หนูอยากกิน!”
หลินม่ายให้หล่อนเลือกไอศกรีมไปหนึ่งแท่ง แล้วนำที่เหลือทั้งหมดใส่เข้าไปในตู้แช่แข็งเพื่อขาย
ก่อนวางตู้แช่แข็งไว้หน้าร้าน นอกจากนี้ยังติดป้ายโฆษณาเอาไว้ คนที่เดินผ่านไปมาแค่มองมาก็สามารถเห็นได้ทันที
ไอศกรีมในยุคนี้ก็ราคาไม่แพง ไอศกรีมรสครีมนมที่แพงที่สุดเพิ่งจะ 1.5 เหมา และไอศกรีมโบราณที่ถูกที่สุดก็ราคาแค่ 5 เฟินเท่านั้นเอง เด็กประถมก็ยังสามารถซื้อได้ ไอศกรีมของร้านหลินม่ายขายได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
แม้จะบอกว่าไอศกรีมแท่งหนึ่งได้กำไรแค่ไม่เท่าไร แต่ขายวันละสองสามร้อยแท่ง ก็มีกำไรเจ็ดแปดหยวนเหมือนกัน
ผ่านไปสักเดือนก็สามารถหาได้สองร้อยกว่าหยวน ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แล้ว
หลินม่ายยังเพิ่มเมนูเหลียงไช่เช่นยำถั่วงอก ยำมันฝรั่งเส้น และยำแตงกวาเข้าไปด้วย
ป้าหูที่อยู่ข้างเคียงเองก็เริ่มทำธุรกิจร้านกลางคืนเช่นกัน เพื่อที่จะแข่งกับธุรกิจของหลินม่าย จึงเอาโต๊ะเก้าอี้มาจัดวางไว้นอกร้าน
โจวฉายอวิ๋นเห็นแล้วก็โมโหแทบดิ้นตาย และอยากจะเอาโต๊ะเก้าไปวางนอกร้าน ประชันกับป้าหูด้วยเหมือนกัน แต่ก็ถูกหลินม่ายปรามเอาไว้
วางโต๊ะเก้าอี้ออกมานอกร้านแล้วคนเขาจะเดินกันยังไงล่ะ? มันขวางทางไม่ใช่เหรอ?
อย่างมากที่สุดเธอก็ทำได้วางแผงเอาไว้หน้าประตูร้านเท่านั้น เพื่อไม่ให้กีดขวางทางเดินคนเดินเท้า
โจวฉายอวิ๋นได้แต่ยอมรามือไปอย่างไม่เต็มใจ
หล่อนง่วนอยู่กับการขายของไป พร้อมกับคอยจับตามองธุรกิจกลางคืนของร้านป้าหู
ถึงแม้ว่าป้าหูจะเอาโต๊ะเก้าอี้มาวางไว้บนถนน แต่ก็ไม่อาจต้านทานกลิ่นยี่หร่าของร้านหลินม่ายได้
เหล่านักกินที่เห็นแผงของป้าหูมาแต่ไกล ก็เร่เข้ามาด้วยความลิงโลด
แต่กลับถูกกลิ่นยี่หร่าของเซาเข่าเสียบไม้ที่โชยออกมาดึงดูดไปหมด ก่อนเดินเข้าร้านเปาห่าวชือสั่งของอร่อยกินกัน
ป้าอู๋โมโหจนหน้าดำคร่ำเครียด
สีหน้าหล่อนน่าเกลียดดูไม่ได้ นักกินพวกนั้นก็ยิ่งไม่มีทางเข้ามากินที่ร้านของหล่อน ใครจะอยากกินอาหารกับสีหน้าบูดบึ้งแบบนั้นกัน!
เวลา4ทุ่ม ตลาดกลางคืนก็เก็บแผง วัตถุดิบที่ป้าหูตระเตรียมไว้ดูเหมือนจะขายไม่ได้เท่าไรนัก
ถึงจะบอกว่าเป็นผักเสียส่วนใหญ่ แต่หากวางทิ้งไว้ทั้งคืนก็เน่าเสียได้
หาเงินไม่ได้ แถมยังขาดทุนอีก ป้าหูทั้งโกรธทั้งกลุ้ม กระทั่งนอนหลับก็ยังไม่สนิท
เดิมทีเจ้าของร้านอาหารกินเล่นในถนนสายนี้ต่างก็ลังเล ว่าควรต้องขายตลาดกลางคืนไหม
อย่างไรเสียถึงทำตลาดกลางคืน พวกเขาก็มีความได้เปรียบสู้ร้านเปาห่าวชือไม่ได้แม้แต่น้อย
แต่ธุรกิจตลาดกลางคืนของป้าหูทำให้พวกเขาไม่มีความลังเลอีกต่อไป
พวกเขาเองก็สามารถขายเสียวเฉ่า ขนมหวานและเหลียงไช่ในตลาดกลางคืนได้เหมือนกัน
แม้ว่าจะแข่งกับร้านเปาห่าวชือไม่ได้ แต่ขอแค่สามารถหาเงินได้ก็พอแล้ว
ไม่กี่วันต่อมา ร้านอาหารกินเล่นในถนนสายนี้ต่างเปิดขายตอนกลางคืนกันแทบทุกร้าน
เมื่อมีการขยายตัวขึ้น พอตกกลางคืน เหล่านักกินก็เร่งตรงมาทันที ถนนสายนี้เฟื่องฟูขึ้นมา ธุรกิจของร้านหลินม่ายยิ่งเจริญรุ่งเรือง
มีธุรกิจร้านอาหารกินเล่นในตลาดกลางคืนไม่น้อยที่ไปได้ดีกว่าร้านของป้าหู
ตอนนี้ป้าหูไม่เพียงด่าหลินม่าย หล่อนยังด่าเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ในละแวกนั้นไปทั่ว แต่เพียงแค่ปิดประตูด่าอยู่ในบ้าน จึงไม่มีใครรู้ก็เท่านั้น
มาถึงวันที่ฟางจั๋วหรานเข้าเวรดึกอีกครั้ง
หลินม่ายรักษาสัญญา หลังกินมื้อเที่ยงเธอก็ให้หลี่หมิงเฉิงเชือดไก่สาวที่มีเพียงตัวเดียวให้
เธอใส่ลำไยและเก๋ากี้เข้าไป แล้วเคี่ยวไปจนถึงห้าโมงเย็นกว่าๆ ก่อนใส่ลงในกระติกเก็บความร้อน แล้วจึงนำอาหารเย็นที่เตรียมไว้สำหรับฟางจั๋วหราน ไปส่งให้กับเขาด้วยตัวเอง
พอมีตู้แช่แข็งก็สะดวกสบายขึ้น ซื้อเนื้อสัตว์ที่สดใหม่ที่สุดมาในตอนเช้าแล้วแช่ไว้ในตู้แช่ สามารถหยิบออกมาทำอาหารได้ตลอดเวลา
ตอนเช้าหลินม่ายได้ซื้อซี่โครงหมูจากเถ้าแก่ร้านเนื้อที่มาส่งของให้ที่ร้านมาหลายชั่ง มื้อเย็นเธอจึงย่างซี่โครงหมูยี่หร่า และเอาไปให้ฟางจั๋วหรานไม่น้อย
แค่คิดว่าอีกเดี๋ยวฟางจั๋วหรานจะได้กินซี่โครงหมูยี่หร่าเผ็ดร้อนหอมฉุย หลินม่ายก็มีความสุขเป็นพิเศษแล้ว แต่ตัวเธอเองกลับไม่ได้นึกถึงความรู้สึกของตัวเองเลยสักนิด
เหล่าพยาบาลหลินม่ายเอามาทั้งกล่องข้าวทั้งกระติกเก็บความร้อน ก็วิ่งไปเรียกกันมาดู “ดูสิ! เถ้าแก่เนี้ยร้านเปาห่าวชือมาอีกแล้ว!”
“ยัยดำตับเป็ดนี่สุดยอดไปเลย ขยันวิ่งตามผู้ชายจริงๆ !”
หลินม่ายมาถึงหน้าของทำงานของฟางจั๋วหรานแล้วก็ชะโงกหัวเยี่ยมๆ มองๆ
แพทย์ใหม่คนหนึ่งที่มักจะไปกินข้าวที่ร้านของเธอจำเธอได้ ทั้งยังรู้ว่าเธอกับฟางจั๋วหรานนั้นสนิทสนมกันพอสมควร
เขาเดินไปข้างๆ ฟางจั๋วหรานแล้วเอ่ยเสียงเบา “ศาสตราจารย์ฟาง มีคนมาหาครับ”
ฟางจั๋วหรานนั้นกำลังตั้งอกตั้งใจดูเคสพิเศษของผู้ป่วยพิเศษคนหนึ่งอยู่
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็หันหน้ามองไปทางประตู
เมื่อเห็นว่าเป็นหลินม่าย เขาก็รีบเดินเข้ามาหาเธอด้วยรอยยิ้มบางๆ แล้วพาเธอไปที่ห้องพักผ่อนของตัวเอง
หลินม่ายวางกล่องข้าวและกระติกเก็บความร้อนไว้บนโต๊ะสำนักงาน แล้วอธิบายว่าอันไหนคือมื้อเย็น อันไหนคือมื้อดึก
ทั้งยังบอกเขาด้วยความใส่ใจ ว่ากระติกเก็บความร้อนนี้เธอซื้อมันมาใหม่ เก็บอุณหภูมิได้อย่างดี ต่อให้วางซุปไก่ทิ้งไว้ครึ่งค่อนคืนก็ไม่เย็นชืด
ฟางจั๋วหรานอมยิ้มฟังเธอพูดจนจบ แล้วยื่นลิ้นจี่ถุงใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะให้เธอ “ครอบครัวของคนไข้ชาวกวางตุ้งคนหนึ่งให้มาน่ะ แถมยังสดมากด้วย คุณเอากลับไปกินสิ”
ในยุคนี้ เมืองเจียงเฉิงที่เป็นเมืองติดทะเลนั้นมีขายลิ้นจี่อยู่น้อยมาก หรือต่อให้มีก็ไม่ค่อยสดนัก
แต่ลิ้นจี่พวกนี้ของฟางจั๋วหรานกลับสดมาก
มาส่งข้าวยังมีเรื่องประหลาดใจได้อีกนะ หลินม่ายรับลิ้นจี่ในถุงตาข่ายนั้นมาด้วยความดีใจ
ดวงตาจับจ้องอยู่บนมือที่เห็นข้อกระดูกได้ชัดเจนนั้นของเขาอยู่หลายวินาที คนที่ดูดี แม้แต่มือก็ยังน่าหลงใหลขนาดนี้
“ลิ้นจี่มากมายขนาดนี้ คุณไม่เก็บไว้ให้ตัวเองสักหน่อยเหรอคะ?”
ฟางจั๋วหรานเปิดกล่องข้าว อาหารเย็นที่เด็กสาวเตรียมให้เขาช่างมากมายจริงๆ
ในใจเขานึกปลื้มปริ่ม เขาเงยหน้าขึ้นตอบคำถามของหลินม่าย “ลิ้นจี่หวานเกินไปน่ะ ผมไม่ค่อยชอบกิน”
หลินม่ายหัวเราะ “เพิ่งเคยได้ยินคนบอกว่าไม่ชอบกินลิ้นจี่ครั้งแรกเลยค่ะ”
เมื่อเอ่ยขอบคุณแล้ว เธอก็ถือลิ้นจี่เดินจากไป
…………………………………………………………………………………………………………………………
เชิงอรรถ
(1)เหลียงไช่ อาหารที่ปรุงโดยไม่ใช้ความร้อน หรือสามารถกินได้โดยไม่ต้องอุ่น เช่น สลัด ยำ เป็นต้น
สารจากผู้แปล
เดี๋ยวนี้อาหารจัดเต็มขึ้นนะหลินม่าย รวมถึงข้าวกล่องพี่หมอด้วย
ไหหม่า(海馬)