ตอนที่ 140 อยากซื้อสูตรลับของคุณยายเถียน
เมื่อมีคุณปู่ฟางช่วยซื้อผลไม้ให้แล้ว หลินม่ายจึงมีเวลาไปที่บ้านคุณยายเถียน
เธอกลับชนบทครั้งนี้นอกจากมารับซื้อผลผลิตแล้ว ยังมีธุระต้องมาหาคุณยายเถียนด้วย
เดิมทีหลานชายของคุณยายเถียนก็ไม่ได้เป็นโรคร้ายอะไร เพียงแค่เป็นโรคปอดบวมที่ค่อนข้างรุนแรงเท่านั้น แต่ด้วยไม่มีเงินรักษา จึงทำให้อาการยิ่งทรุดหนักขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากเข้าโรงพยาบาล และได้รับการรักษาตามอาการแล้ว อาการป่วยก็หายดีอย่างรวดเร็ว
ทว่าร่างกายนั้นทรุดโทรมอย่างหนัก หากต้องการให้กลับมาแข็งแรงเต็มที่ ก็ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวครึ่งปี
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่อาการของหลานชายคุณยายเถียนก็ดีขึ้นกว่าที่หลินม่ายเจอครั้งแรกมาก สีหน้ามีเลือดฝาดหน่อยๆ อีกทั้งยังมีชีวิตชีวาตามประสาเด็ก
หลินม่ายมอบนมผง น้ำผึ้งและนมมอลต์ที่ซื้อมาจากในเมืองให้กับคุณยายเถียน มองไปยังหลานชายของนางแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มพริ้ม “เสี่ยวเหวินดีขึ้นมากแล้วนะคะ”
เสี่ยวเหวินคือชื่อของหลานชายคุณยายเถียน
คุณยายเถียนเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง “เสี่ยวเหวินมีวันนี้ได้ ก็ต้องขอบคุณเธอมากนะ”
แล้วเอ่ยอย่างโกรธเคืองอีกครั้ง “เธอจะมาก็มาเถอะ จะซื้อของมากมายขนาดนี้มาทำไมกัน?”
หลินม่ายหัวเราะพลางเอ่ยขึ้น “ของพวกนี้เป็นอาหารบำรุงร่างกาย เสี่ยวเหวินดื่มแล้วจะได้แข็งแรงเร็วๆ”
เมื่อบ้านมีแขกมาเยือน คุณยายเถียนนั้นไม่มีอะไรมาต้อนรับ จึงให้ตะกร้าใบเล็กกับเสี่ยวเหวินใบหนึ่ง แล้วให้เขาไปเก็บลูกท้อจากต้นท้อของตนให้หลินม่ายกิน
หลินม่ายเองก็ไม่ได้ขัดขวาง
เสี่ยวเหวินได้ออกกำลังอย่างเหมาะสมสักหน่อยก็เป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพของเขา
นอกจากนี้เธอก็มีเรื่องต้องคุยกับคุณยายเถียนด้วย ไม่สะดวกที่จะให้เสี่ยวเหวินฟังอยู่ข้างๆ
เสี่ยวเหวินถือตะกร้าออกไปข้างนอก หลินม่ายจึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “คุณยายเถียน หนูอยากซื้อสูตรลับกะปิกับซอสพริกของคุณยาย คุณยายจะขายไหมคะ?”
คุณยายเถียนอึ้งไปเล็กน้อยด้วยความเหนือคาด ก่อนพูดขึ้น “ขายเขยอะไรกัน ถ้าเธอต้องการให้ยายสอนเธอทำก็ได้แล้ว ถ้าพูดถึงสูตรลับยายเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน บรรพบุรุษของยายล้วนทำกะปิกับซอสพริกกันแบบนี้มารุ่นต่อรุ่นแล้วล่ะจ้ะ”
หลินม่ายพูดอย่างหนักแน่น “ฉันจะเรียนกับคุณยายฟรีๆ ได้ยังไงกันคะ? อีกอย่างฉันก็มีเงื่อนไขในการซื้อสูตรกะปิและซอสพริกของคุณยายด้วยนะคะ ตั้งแต่นี้ไป คุณยายจะไม่สามารถขายสองอย่างนี้ให้กับใครอีก และห้ามถ่ายทอดวิธีการทำให้คนอื่นด้วยค่ะ ทุกเดือนฉันจะให้เงินคุณยาย50 หยวนก่อน ให้คุณยายช่วยฉันทำซอสสองอย่างนี้ พอหนูส่งคนมาเรียนจนเป็นแล้ว หนูจะจ่ายให้คุณยายครั้งละ3000หยวนค่ะ และค่าหมอค่ายาที่คุณยายยืมไปก่อนหน้านี้ทั้งหมดก็จะเป็นโมฆะ คุณยายคิดว่าได้ไหมคะ?”
คุณยายเถียนรีบโบกมือไปมาด้วยความประหม่าอย่างยิ่ง “ยายรู้ว่าเธออยากช่วยพวกเราสองยายหลาน แต่จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ กะปิกับซอสพริกพวกนั้นของยายก็ไม่ได้มีค่าอะไร เอามาขายยังไม่มีคนซื้อเลย แล้วจะรับเงินหนูมากมายขนาดนั้นทุกเดือนได้ยังไง? แค่ให้เดือนละ30หยวนก็เยอะมากแล้วล่ะ ส่วนเรื่องซื้อสูตรก็ไม่ต้องพูดถึงเลย ถ้าเธออยากส่งคนมาเรียนก็ส่งมาเถอะ ยายรับประกันว่าจะไม่สอนให้คนอื่น และจะสอนให้กับคนของร้านเธอเจ้าเดียวเท่านั้นจ้ะ”
หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่ได้ค่ะ ต้องจ่ายเงินซื้อมาเท่านั้นฉันถึงจะสบายใจ และวางใจได้ค่ะ ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่เอาเปรียนคุณยายเกินไปเหรอคะ?”
คุณยายเถียนลังเลตัดสินใจอยู่นาน จึงเอ่ยอย่างห่อเหี่ยว “เราสองยายหลานทั้งเด็กทั้งแก่ เธอให้เงินเรามากมายขนาดนี้ พวกเราก็เก็บไว้ไม่ไหวหรอก~”
หลินม่ายครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วพูด “งั้นเอาอย่างนี้ไหมคะ ฉันจะแบ่งเงินสักสองสามร้อยหยวนจากสามพันมาสร้างบ้านอิฐมุงกระเบื้องให้พวกคุณหนึ่งหลัง ปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยสักหน่อย บ้านของคุณยายแทบจะอยู่ไม่ได้แล้วนะคะ เงินมากมายนั้น หนูจะให้เดือนละ30หยวนเป็นค่าครองชีพ ทั้งยังรวมไปถึงค่าใช้จ่ายของคุณยายกับหลานทั้งสองคน เช่น ค่าเทอม ค่ารักษา ไปจนกว่าจะใช้เงิน3000หยวนหมด แบบนี้โอเคไหมคะ?”
คุณยายเถียนไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก็พยักหน้าเอ่ย “ได้จ้ะ แต่หนูอย่าพูดว่าหนูสร้างบ้านให้เพราะซื้อกะปิกับซอสพริกของฉันเลย ให้บอกว่าสร้างให้เพราะเห็นใจเราสองยายหลานเถอะนะ ยายกลัวว่าการที่เธอยอมแลกบ้านกับกะปิและซอสพริกที่เดิมทีไม่มีใครมาสนใจ มันจะดึงดูดความสนใจของคนที่คิดไม่ดี แล้วพวกเขาจะคิดวางแผน สร้างปัญหาให้เธอกับเราสองยายหลานน่ะจ้ะ”
หลินม่ายพยักหน้า “ไม่มีปัญหาค่ะ เพียงแต่ไม่เป็นธรรมกับคุณยายเถียนเกินไปน่ะสิคะ”
คุณยายเถียนโบกมือไปมา “ไม่เป็นธรรมอะไรกัน? ความปลอดภัยต้องมาก่อนสิจ๊ะ”
หลินม่ายให้เงิน30หยวนแก่คุณยายเถียนเป็นค่าครองชีพทันที พร้อมกับเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉินด้วย50หยวน
ในยุคนี้การสื่อสารไม่สะดวก และเธอก็ไม่สามารถวิ่งมาหาคุณยายเถียนที่นี่ได้บ่อยๆ จึงให้เงินฉุกเฉินกับนางเพื่อเอาไว้ใช้ในเวลาที่จำเป็น
ก่อนเดินทางจากไป หลินม่ายได้ขนกะปิและซอสพริกไปด้วยอย่างละหนึ่งไห และบอกกับคุณยายเถียนว่า เมื่อกลับไปแล้วเธอจะจัดการส่งคนมาสร้างบ้านใหม่ให้คุณยาย
เมื่อกลับมาถึงบ้านคุณปู่ฟาง คุณปู่ฟางก็ได้สั่งจองลูกท้อ ลูกไหนและมันฝรั่งเอาไว้ให้เธอเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่กำลังรอให้เธอขับรถแทรกเตอร์ไปรับเท่านั้น
หลินม่ายรับสินค้ากลับมาโดยได้คุณปู่ฟางช่วยนำทาง คุณย่าฟางเตรียมอาหารเที่ยงเอาไว้แล้ว หลังจากหลินม่ายกินอาหารเที่ยงอย่างรีบเร่งเสร็จก็ขับรถแทรกเตอร์กลับเข้าเมือง
เมื่อมาถึงในเมือง ก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว
หลินม่ายวางแผนว่าหลังจากกินอาหารเย็นแล้วจะไปขายผลไม้ต่อ ด้วยเหตุนี้เธอจึงจอดรถแทรกเตอร์เอาไว้บนถนนหน้าร้าน แล้วเรียกหลี่หมิงเฉิงขนมันฝรั่งกับกะปิและซอสพริกเข้าไปในร้าน
ไม่รู้เพราะอะไร เธอถึงเอาแต่รู้สึกว่าวันนี้ถนนสายนี้ต่างออกไปจากปกติ
พอมองดูอีกทีก็พบจุดที่ไม่เหมือนเดิม
ปกติแล้ว เมื่อถึงเวลาตั้งตลาดกลางคืน ร้านอาหารกินเล่นแทบทุกร้านในถนนสายนี้ต่างก็เลียนแบบร้านของป้าหู เอาโต๊ะเก้าอี้ออกมาตั้งไว้บนทางเดินเท้า
แต่วันนี้กลับไม่มีร้านไหนเอาโต๊ะเก้าอี้ออกมาตั้งเลย อย่างมากที่สุดก็แค่วางเตาและกระทะเอาไว้หน้าประตูร้านของตนเท่านั้น
เธอถามหลี่หมิงเฉิงอย่างเดาส่ง “ทำไมวันนี้ไม่มีใครเอาโต๊ะเก้าอี้มาตั้งบนทางเดินเท้าเลยล่ะ มีทีมเทศกิจมาแล้วเหรอ?”
“เทศกิจไม่ได้มาหรอก แต่เพราะว่ามีคนขี่จักรยานมาชนลูกค้าร้านอาหารเข้า จนลูกค้าที่ถูกชนสลบไปเลยน่ะ แล้วสันติบาลก็มากัน ร้านค้าพวกนั้นตกอกตกใจกันแทบแย่ ใครจะยังกล้าตั้งแผงบนทางเดินเท้าต่อล่ะ พวกเขาเลยย้ายโต๊ะเก้าอี้เข้าไปในร้านแล้ว”
ทุกคืน ตลาดกลางคืนนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คน คนขวักไขว่ไปมามากมายขนาดนั้น ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเกิดอุบัติเหตุแน่
นั่นเป็นเหตุผลที่ไม่ว่าหัวเด็ดตีนขาดเธอก็ไม่ยอมวางที่นั่งไว้บนทางเดินหน้าร้านเด็ดขาด เพราะกลัวว่าหากเกิดอุบัติเหตุทางการจราจรขึ้นมา จะต้องจ่ายเงินชดใช้ไม่น้อย
หลินม่ายถาม “ร้านใครโชคร้ายขนาดนี้กัน?”
หลี่หมิงเฉิงพยักเพยิดคางชี้ไปทางร้านอาหารกินเล่นที่อยู่ด้านขวา “ร้านนั้นน่ะสิ เจ้าของร้านถูกสันติบาลพาตัวไปแล้ว”
หลินม่ายคิดในใจด้วยจิตอกุศล ทำไมไม่เป็นร้านป้าหูกันนะ กระแสนิยมแย่ๆ ที่ครองถนนนี่ก็เริ่มมาจากร้านของหล่อนนี่นา
หลังจากกินอาหารเย็นที่โจวฉายอวิ๋นเก็บไว้ให้ หลินม่ายก็ขับรถแทรกเตอร์ไปยังชุมชนอยู่อาศัยของพนักงานระบบการเงินที่สวัสดิการรายบุคคลดีที่สุดในละแวกใกล้เคียง
คนที่อยู่ในชุมชนนี้ล้วนเป็นพนักงานของธนาคารทั้งหมด
พนักงานธนาคารในยุคนี้ล้วนแต่ได้ถือชามข้าวทองคำ งานมีหน้ามีตา เงินเดือนสูง สวัสดิการก็ดีอีกด้วย หากไปขายผลไม้ที่นั่นจะต้องขายดีแน่
แม้ว่าเงื่อนไขพักอาศัยของพนักงานธนาคารจะดีกว่าทั่วไป แต่พื้นที่บ้านก็ไม่ได้กว้างมากนัก
นอกจากนี้เป็นเพราะมีสมาชิกในครอบครัวมาก จึงเกิดความแออัดเช่นเดียวกัน
ในวันที่ร้อนระอุ ผู้คนมากมายต่างไม่อยากอยู่ในบ้าน จึงย้ายมานั่งกันมานั่งรับลมเย็นที่ม้านั่งในชุมชน พร้อมกับถือโอกาสพูดคุยสัพเพเหระกับเพื่อนบ้านไปด้วย
เมื่อเห็นหลินม่ายขนลูกท้อและลูกไหนเต็มคันรถมาจอดอยู่ในชุมชน ผู้อยู่อาศัยจำนวนไม่น้อยก็เบิกตากว้ามองไปที่เธอด้วยความประหลาดใจ
ที่พวกเขารู้สึกประหลาดใจ เป็นเพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครขับรถแทรกเตอร์ที่ขนผลไม้เต็มคันเข้ามาในชุมชนมาก่อน
หลินม่ายกระโดดลงมาจากรถแทรกเตอร์อย่างสบายๆ พลันตะโกนไปทางชาวบ้านเหล่านั้น “ขายลูกท้อจ้า~~ ขายลูกไหนจ้า~~ท้อสีเลือดกับท้อน้ำผึ้งนุ่มชุ่มฉ่ำ ราคาเดียวชั่งละ4 เหมา ลูกไหนเปรี้ยวอมหวานชั่งละ5 เหมา”
ชาวบ้านเหล่านั้นได้ยินแล้ว ต่างก็พากันกระซิบกระซาบ “ราคานี้ไม่แพงเลย ตลาดผักรัฐวิสาหกิจก็ราคานี้เหมือนกัน แต่ปริมาณน้อยเกินไป เลยซื้อไม่ไหว”
“ตลาดมืดก็มีขาย แต่ราคาแพงกว่าของแม่หนูคนนี้อยู่5เฟิน”
“ก็ไม่รู้เสียหน่อยว่าผลไม้ของหล่อนสดหรือเปล่า”
“ไปดูก็รู้แล้วนี่”
ในมือของคุณป้าเจ็ดแปดคนนั้นถือพัดใบปาล์มโบกไปมา พร้อมคีบรองเท้าแตะเดินเข้ามา “ลูกท้อกับลูกไหนของเธอสดไหมจ๊ะ”
หลินม่ายต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “สดใหม่แน่นอนอยู่แล้วค่ะ ฉันเพิ่งจะเก็บมาตอนเที่ยงวันนี้เอง”
ขณะที่พูดอยู่ เธอก็หยิบท้อสีเลือดลูกหนึ่งขึ้นมาแล้วใช้มีดผ่าออกเป็นสองซีก
เนื้อผลไม้แดงสดยิ่งกว่าเลือดปรากฏเบื้องหน้าทุกคน น้ำผลไม้ที่อยู่ภายในนั้นไหลหยดออกมาไม่หยุด ดูน่าดึงดูดเย้ายวนยิ่ง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
นั่นน่ะสิ ทำไมไม่เป็นร้านยัยป้าหูที่โดนหิ้ว ย่านนี้จะได้สงบสุขเสียที
ทำเอาอยากกินลูกท้อเลยม่ายจื่อ คิดถึงรสชาติท้อญี่ปุ่นฉ่ำๆ หวานๆ ตอนหน้าร้อนมาก
ไหหม่า(海馬)