บทที่ 1 ระบบที่ไม่ตรงกัน
เสียงกังวานใสของกู่ฉินดังก้องไปทั่วบริเวณ ไม่เพียงไพเราะจับใจ แต่ยังงดงามตรึงตรา อีกทั้งลื่นไหลราวกับสายน้ำ ซ้ำยังเปี่ยมไปด้วยหลากอารมณ์ ราวกับเสียงจากสรวงสวรรค์
หลี่จิ่วเต้าไล้นิ้วเรียวยาวอันแสนพิสุทธิ์ไปตามเส้นสาย ขับทำนองบรรเลงมันจนจบในคราวเดียว
เมื่อบทเพลงจบลง แต่จิตใจของเขายังคงเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ ใบหน้าราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์เสียงกู่ฉินเมื่อครู่อยู่ไม่จางหาย
“หากเป็นชาติก่อน ตัวข้าคงโด่งดังจนพลุแตกไปแล้ว แม้แต่ราชินีแห่งเสียงเพลงก็ไม่ได้เกิดหรอก”
ชายหนุ่มถอนหายใจ อย่าว่าแต่เทพเจ้าเสียงเพลงในชาติก่อนเลย แม้แต่ปรมาจารย์กู่ฉินในสมัยโบราณก็ไม่อาจเทียบเขาได้
“เพ้ย ให้ข้ามาอยู่โลกนี้แล้วอย่างไรต่อ? โยนระบบนี้มาให้ข้าแล้ว ก็ควรส่งข้ากลับไปยุคราชวงศ์โบราณพวกนั้นด้วยสิ?”
เขาพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ความขมขื่นในใจพลันปรากฏขึ้นมา เพราะบางสิ่งบางอย่างที่นำพาเขาข้ามสายธารแห่งกาลเวลาจากดาวเคราะห์สีฟ้าจนมาถึงที่แห่งนี้
โลกใบนี้คือโลกแห่งการฝึกตน ผู้ฝึกตนสามารถเรียกลมเรียกฝนตามใจปรารถนา มือพลิกแม่น้ำขวางทะเล และถึงขั้นเคลื่อนคล้อยวิถีดาราได้ เรียกได้ว่าพวกเขาคือผู้ไร้เทียมทาน เป็นตัวตนที่เปรียบเสมือนกับเทพเจ้าในตำนานปรัมปราของดาวเคราะห์สีฟ้า
“โลกนี้ยังพอเข้าใจได้นะ แต่ระบบนี่มันเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า?”
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ถึงเขาจะมีระบบเหมือนกับที่นักเดินทางต่างโลกคนอื่นมี ทว่ามัน…ดันไม่ตรงกันนี่สิ!
ติ๊ง!
[โฮสต์เล่นเพลง ‘ห่านป่าร่วงหล่นบนผืนทราย’ ได้รับ EXP 188888]
เสียงระบบดังขึ้นในหัวหลี่จิ่วเต้า ชายหนุ่มถึงกับตัวแข็งทื่อไปในทันทีเมื่อได้ยินเสียงมัน
หลังจากนั้นเอง แสงจาง ๆ พลันปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของเขา นี่ก็คือหน้าต่างข้อมูลของระบบที่มีเพียงหลี่จิ่วเต้าเท่านั้นที่มองเห็น
[โฮสต์: หลี่จิ่วเต้า]
[การบ่มเพาะ: มนุษย์]
[ทักษะ: การเล่นกู่ฉิน ‘ขั้นเทวะ’]
[ทักษะ: การเล่นหมากรุก ‘ขั้นเทวะ’]
[ทักษะ: ศิลปะการเขียนพู่กัน ‘ขั้นเทวะ’]
[ทักษะ: การวาดภาพ ‘ขั้นเทวะ’]
[ทักษะ: พิธีชงชา ‘ขั้นเทวะ’]
[ทักษะ: การแกะสลัก ‘ขั้นเทวะ’]
[ทักษะ: การตกปลา ‘ขั้นเทวะ’]
[ทักษะ: ปรุงยา ‘ขั้นเทวะ’]
[ทักษะ: การยิงธนู ‘ขั้นเทวะ’]
…
แน่นอนว่ามันคือ ระบบของหลี่จิ่วเต้าที่เต็มไปด้วยทักษะมากมาย
‘ขั้นเทวะ’ คือระดับสูงสุด และหลี่จิ่วเต้าได้สำเร็จหลายทักษะไปถึงระดับสูงสุดแล้ว
แต่ว่า…มันไร้ประโยชน์!
เพราะนี่คือโลกของผู้ฝึกตน ผู้ฝึกตนสามารถพลิกคว่ำฟ้าดินด้วยเพียงมือข้างเดียว ดังนั้นต่อให้ทักษะของเขาจะประเสริฐเลิศเลอแค่ไหน มันก็นับว่าไร้ความหมายอยู่ดี
ซ้ำแล้ว ผู้ฝึกตนยังสามารถบดขยี้เขาจนตายได้ด้วยนิ้วเดียว
“ไอ้ระบบเวร นี่มันโลกของผู้ฝึกตน แต่เจ้ากลับยัดทักษะพวกนี้มาให้ข้า นี่ตั้งใจจะฆ่ากันจริง ๆ ใช่หรือไม่!?”
หลี่จิ่วเต้าหดหู่ใจมาก
ระบบทักษะเช่นนี้ ต่อให้เขาถูกส่งไปยังราชวงศ์ดาวเคราะห์ฟ้าในสมัยโบราณ แม้ไม่ต้องการ แต่เขายังสามารถใช้มันขยับขยายเส้นสายให้กว้างขวางได้อยู่ดี
ทว่าในโลกแห่งการฝึกตน ระบบทักษะนี้เรียกได้ว่าเป็นเพียงของขยะและไร้ประโยชน์สิ้นดี
“ข้าแค่อยากฝึกซ้อมเองนะ!”
หลี่จิ่วเต้าอยากจะร้องไห้ทั้งน้ำตา ระบบช่างไร้ประโยชน์นัก
อันที่จริงแล้ว เขาแค่อยากจะเปล่งประกายในต่างโลกเหมือนกับรุ่นพี่นักเดินทางจากดาวเคราะห์ฟ้า ที่สามารถมองเหยียดใต้หล้าและกลายเป็นผู้ชนะโลกทั้งใบได้ก็เท่านั้น
ทว่ามาตอนนี้แล้ว หลี่จิ่วเต้าทำได้แค่คิดเพ้อฝันถึงมัน เพราะเขาไม่สามารถเข้าสู่วิถีแห่งเต๋าได้ และนั่นรวมถึงการเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกตนด้วย …เขาเป็นได้เพียงปุถุชนคนธรรมดาเท่านั้น
“เป็นคนธรรมดาก็ดี อย่างน้อยก็ไม่หิวตายละนะ”
หลี่จิ่วเต้าปลอบตัวเองว่า แม้ทักษะพวกนี้จะไม่สามารถทำให้เขาไปถึงจุดสูงสุดได้ แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ทำให้เขาต้องพะวงว่าตนเองจะอดตาย หรือไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ในสักวัน
ณ ตอนนี้เขาใช้ทักษะที่มีเปิดร้านเล็ก ๆ อยู่ที่เมืองชิงซานซึ่งใกล้กับสำนักไท่หัว ทำให้ยังพอมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีบ้าง
“เมืองชิงซานกลับมาคึกคักแล้ว สำนักไท่หัวเองก็กำลังจะเปิดประตูรับศิษย์อีกครั้ง”
ในใจหลี่จิ่วเต้าแอบรู้สึกอิจฉาอยู่บ้าง สำนักไท่หัวเป็นถึงสำนักผู้ฝึกตนอันแข็งแกร่งในแดนนี้ ซึ่งมักเปิดรับลูกศิษย์ทุก ๆ สามปี
เขาเองก็อยู่ในโลกแห่งนี้มาได้เก้าปีแล้ว คราแรกที่มาถึงนั้น หลี่จิ่วเต้าเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ของสำนักไท่หัวด้วยความคาดหวังว่า ตนจะกลายเป็นศิษย์ของสำนักไท่หัวและเข้าสู่โลกแห่งการฝึกตนได้
ทว่าเขากลับไม่มีคุณสมบัติของผู้ฝึกตน สุดท้ายแล้วจึงถูกคัดออกตั้งแต่รอบแรก และหลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็อาศัยอยู่ในเมืองชิงซานที่ซึ่งใกล้กับสำนักไท่หัวมาตลอด
เมืองชิงซานนั้นกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ไม่น้อย ยิ่งกับช่วงเวลาเช่นนี้ยิ่งดูคึกคักมากขึ้นไปอีก หนุ่มสาวหลายคนหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศ เพื่อเข้าร่วมการประเมินอย่างเป็นทางการของสำนักไท่หัว
ถนนหนทางล้วนเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
ท่ามกลางฝูงชนที่เดินขวักไขว่ มีคนหนึ่งผู้หนึ่งซึ่งดูหยิ่งยโสและไม่ธรรมดา มองเพียงคราแรกก็รู้แล้วว่าหาใช่คนเดินดินแต่อย่างใด
“เสียงของกู่ฉิน…!”
เป็นเด็กสาวผู้งดงามไร้มลทินซึ่งมีผิวขาวราวหิมะ รูปร่างทรวดทรงล้วนอรชรสมบูรณ์แบบตามวัย กำลังยืนอยู่หน้าร้านของหลี่จิ่วเต้าอย่างเหม่อลอยและตกใจ!
“ทะ…ทะลวงขั้นได้แล้ว?”
นางไม่อยากจะเชื่อ ถึงกับที่คำพูดของนางสั่นระริกอย่างไม่รู้ตัว เพียงเพิ่งจะได้ยินเสียงกู่ฉินแว่วมาเล็กน้อย แค่นั้นก็กลับทำให้นางก้าวขึ้นไปอีกขั้นได้เสียแล้ว!
นี่มันเป็นไปได้อย่างไร!?
นางฝึกฝนมาตลอดหนึ่งปีและมิอาจบรรลุขอบเขตนี้ไปได้ ทว่าเมื่อได้ยินเสียงกู่ฉินเพียงเล็กน้อยกลับก้าวข้ามได้เสียอย่างนั้น แล้วจะให้นางเชื่อได้อย่างไร
“ทะลวงขั้นจริง ๆ ด้วย!”
นางตรวจสอบตนเองโดยละเอียด ก่อนจะมั่นใจแล้วว่านางก้าวข้ามไปอีกขอบเขตจริง ๆ !
“เป็นผู้อาวุโสท่านใดกันหนอที่กำลังเล่นกู่ฉินอยู่”
เด็กสาวมิอาจหักห้ามความตื่นตระหนกไว้ได้ ลำนำเพียงบทเดียวกลับทำให้นางก้าวข้ามขอบเขต เช่นนั้นแล้ว ผู้ที่บรรเลงกู่ฉินอยู่ ย่อมต้องเป็นผู้อาวุโสสูงศักดิ์ซึ่งไม่อาจจินตนาการได้เป็นแน่!
ต้องทราบด้วยว่า แม้นางจะได้รับการชี้แนะจากผู้ฝึกตนที่มีพลังสูงส่งในพระราชวังอยู่ตลอดเวลา ทว่าก็ยังมิอาจบรรลุขอบเขตไปได้
“ข้าช่างโชคดีนัก!”
นางแย้มรอยยิ้มออกมา ในใจนั้นร่าเริงและตื่นเต้นไม่น้อย เพราะไม่คาดมาก่อนว่าตนจะมีวาสนาพานพบกับผู้อาวุโสซึ่งไม่อาจจินตนาการได้ที่นี่!
“ห้ามหยาบคายและห้ามเสียมารยาทต่อหน้าผู้อาวุโสเชียว!”
นางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามทำใจให้เย็นลง ก่อนจะมองไปยังร้านค้าแห่งหนึ่ง
ร้านแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่โตนัก มันมีเพียงห้องเดียวเท่านั้นซึ่งสามารถมองเห็นข้างในได้ทั่ว ทุกพื้นที่ดูสะอาดสะอ้านและการตกแต่งก็ดูธรรมดา หาได้มีความหรูหราฟุ้งเฟ้อแต่อย่างใด ซ้ำแล้วยังเต็มไปด้วยภาพวาดรวมไปถึงศิลปะพู่กัน อันบ่งบอกได้ทันทีว่า นี่คือร้านขายภาพวาดและภาพอักษรพู่กัน
นางเงยหน้ามองป้ายร้าน
‘เต๋า’!
มีเพียงหนึ่งตัวอักษรบนแผ่นป้าย ทว่าลายพู่กันกลับวิจิตรนัก ป้ายถูกแขวนไว้บนตะขอเงิน มิหนำซ้ำ มันยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ไร้ตัวตน และแปรเปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา!
“เป็นตัวอักษรที่ทรงพลังจริงด้วย!”
อารมณ์ที่เพิ่งจะเย็นลงพลันกลายเป็นตื่นเต้นขึ้นมาอีกครา เพียงแค่คำว่า ‘เต๋า’ นางก็สัมผัสได้ถึงคุณธรรมอันไร้ขอบเขต ซึ่งเป็นสิ่งที่คนปกติธรรมดามิอาจเขียนได้อย่างแน่นอน!
และเกรงว่าแม้แต่บิดาของนาง ‘จักรพรรดิเซี่ย’ ก็คงเขียนด้วยคุณธรรมเช่นนี้มิได้!
อย่าว่าแต่คุณธรรมนี้เลย เกรงว่าแม้แต่ใช้พันหมื่นของคุณธรรมก็คงมิอาจเขียนออกมาเช่นนี้ได้ด้วยซ้ำ!
มันช่างลึกซึ้งและสุดยอดยิ่ง ทว่าน่าเสียดายที่ขอบเขตของนางนั้นต่ำเกินกว่าจะรับความลึกซึ้งเช่นนี้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว นางต้องแข็งแกร่งขึ้นและเลื่อนขั้นพลังได้อีกเป็นแน่!
สุดท้าย นางก็พยายามทำใจให้เย็นลงและเดินไปที่ร้านเล็ก ๆ นั้น
“โอ๊ะ มีแขกมางั้นหรือ”
ลึกเข้าไปในร้าน เมื่อหลี่จิ่วเต้าเห็นเด็กสาวเดินเข้าประตูมา เขาก็รีบลุกจากโต๊ะและเดินออกมาอย่างรวดเร็ว
“เสียมารยาทแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเมื่อครู่นี้ ท่านเป็นผู้บรรเลงกู่ฉินอยู่ใช่หรือไม่”
เด็กสาวเอ่ยถามอย่างประหม่าและระมัดระวัง เมื่อเห็นหลี่จิ่วเต้าลุกเดินออกมาจากโต๊ะ
‘สุภาพดีแฮะ’
เพียงแวบแรกเห็นก็รู้แล้วว่า เด็กสาวตรงหน้าหาใช่คนธรรมดาหรือมาจากตระกูลผู้ฝึกตนทั่วไป ทว่าหลี่จิ่วเต้าไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาพูดคุยกับเขา ซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดาด้วยความเคารพเช่นนี้