บทที่ 61 สองมนุษย์มีตาหามีแววไม่!
โฮก! โฮก! โฮก!
ลั่วสุ่ยเอาแต่ร้องคร่ำครวญ สีหน้าของนางเผยความเจ็บปวดยิ่งกว่าเก่า
อวัยวะภายในเริ่มล้มเหลว เส้นเอ็นกับกระดูกทั่วร่างแตกหักและเลือดหยุดไหลเวียน ความทรมานที่นางได้รับเกินจะพรรณนา!
กระบวนการนี้ดำเนินต่อไปเนิ่นนาน และสติของนางสามารถดับวูบลงได้ทุกเมื่อ
โชคดีที่ในช่วงนี้นางอยู่กับหลี่จิ่วเต้าจึงได้ลับคมสติอยู่เสมอ อีกทั้งนางยังแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมากด้วย
ลั่วสุ่ยกัดฟันยืนหยัด พยายามไม่ให้สติหลุดลอยไป นางรู้ดีว่าเมื่อหมดสติจะตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง และมีโอกาสมากที่จะตายตกคาที่
สุดท้าย…นางก็ฝืนอดทนต่อไป
อวัยวะในร่างกายของนางเริ่มจัดระเบียบใหม่ เส้นเอ็นและกระดูกที่หักเชื่อมต่อกันอีกครั้ง แล้วสายเลือดใหม่ก็ปรากฏขึ้นมาเพื่อกลืนกินเลือดเก่า
โฮก!
นางเงยหน้าคำรามเสียงต่ำ ไม่มีเสียงแมวอีกต่อไป …มีแต่เสียงเสืออันบริสุทธิ์เท่านั้น
นอกจากนี้ ร่างกายนางก็ไม่ใช่แมวอีกต่อไปแล้ว แต่กลายเป็นเสือโดยสมบูรณ์!
เรือนผมที่ยาวเป็นสีขาวบริสุทธิ์ และเลือดพยัคฆ์ขาวในร่างกายยังพัฒนาเป็นพยัคฆ์ขาวเลือดบริสุทธิ์ด้วย!
“สายโลหิตของมัจฉาแห่งอาณาจักรเก้าตอนบนนั้นทรงพลังยิ่งนัก…!”
ลั่วสุ่ยอดพูดไม่ได้
โลหิตของพยัคฆ์ขาวในตัวนางบางเบามาก ทว่าก็ยังสามารถพัฒนาเป็นพยัคฆ์ขาวบริสุทธิ์
“แต่ก็แค่นั้นแหละน่า…”
ในตู้ปลา มัจฉาสัตมายามองลั่วสุ่ยที่พัฒนาเป็นพยัคฆ์ขาวด้วยแววตาดูถูกเหยียดหยาม
หากเทียบกับก่อนหน้านี้แล้ว ลั่วสุ่ยแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า แต่เมื่อเทียบกับสายเลือดของพวกเขา ลั่วสุ่ยยังถือว่าต่ำต้อยกว่ามาก
“สายเลือดชั้นต่ำยังไงก็คือสายเลือดชั้นต่ำวันยังค่ำ จุดเริ่มต้นต่ำเกินไป พัฒนาอย่างไรก็มีขีดจำกัด เหอะ เจ้าตามสายเลือดชั้นสูงไม่ทันหรอก…”
มัจฉาสัตมายากล่าวอย่างดูแคลน
ทว่าดูแคลนก็ส่วนดูแคลน มันยังคงอิจฉาลั่วสุ่ยตาเป็นประกาย!
ไม่ว่าอย่างไรความเป็นอยู่ของลั่วสุ่ยก็ดีกว่า ซึ่งต่างจากมันที่เป็นแค่อาหารของเจ้าแมวนี่เท่านั้น…
“เมื่อใดข้าจะสื่อสารกับผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ได้เสียที!”
มันกำลังจะร่ำไห้ ตอนนี้มันยังไม่มีพลังทำให้ส่งเสียงได้ และทำได้เพียงแค่เป่าปากพ่นฟองไปวัน ๆ…
“เห็นได้ชัดว่ามีสมบัติอยู่ที่นั่น”
ลั่วสุ่ยมองไปยังท้องฟ้าในระยะไกล ที่แห่งนั้นปรากฏแสงเจิดจ้าหลายดวงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เชื่อมต่อกับมัน
เวลาเคลื่อนผ่านไปไม่รู้กี่วัน แต่แสงที่เจิดจ้ายังคงสว่างพร่างพราวและไม่มีวี่แววว่าจะหยุด
นางเป็นองค์หญิงแห่งเผ่าวิฬาร์หิมะสวรรค์ เป็นคนรอบรู้และชอบอ่านคัมภีร์โบราณหลายเล่ม
‘ยามนี้ ขุมพลังอีกสี่ภาคคงจะอยู่ที่นั่นกันหมด…’
นางครุ่นคิด
แสงที่ลุกโชนจะไม่ดับสูญในเวลาไม่กี่วัน
นางต้องการไปที่นั่นและสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของพ่อนาง
เมื่อท่านพ่อจากไปก็ได้บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง แต่ถึงกระนั้นจะไม่ให้นางกังวลได้อย่างไร
“ผู้อาวุโสไปตกปลาคงใช้เวลาสักพักกว่าจะกลับมา”
นางกล่าวกับตนเองเช่นนั้น ก่อนจะออกจากลานบ้านไปกลายร่างเป็นมนุษย์ และพุ่งไปยังซากโบราณสถานด้วยความเร็วสูงสุด
หากออกไปในร่างพยัคฆ์ขาว… มีหวังความวุ่นวายและความลำบากคงมาเยือนนางอย่างแน่นอน
…
อีกด้านหนึ่ง หลี่จิ่วเต้ากับหลิงอินมาถึงแม่น้ำนอกเมืองแล้ว
แม้ว่าแม่น้ำสายนี้จะอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองนัก แต่ชายชราเมิ่งจีที่เดินตามหลังมาพูดไม่หยุดปากเลย!
“ข้าเป็นผู้อาวุโสของนิกายสวรรค์ลับจริง ๆ และนิกายสวรรค์ลับของเรามีพลังมากด้วย เรียกได้ว่าเป็นนิกายอันยิ่งใหญ่ที่รุ่งเรืองที่สุดในภาคกลางก็ว่าได้!”
ชายชราเมิ่งจีเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง การสื่อสารกับมนุษย์สองคนเหนื่อยเหลือเกิน
หากเป็นผู้ฝึกตน ใครจะกล้าดูหมิ่นเมื่อได้ยินเรื่องนิกายสวรรค์ลับ ยามเห็นความฝันอยู่ตรงหน้า ใครเล่าจะไม่ตื่นเต้น?
แต่มนุษย์สองคนนี้กลับเพิกเฉยต่อเขาโดยสิ้นเชิง ซ้ำยังเมินไปซึ่ง ๆ หน้าอีก
“นี่คือที่ที่ท่านมักจะมาตกปลาหรือ”
หลิงอินกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และรู้สึกว่านี่เป็นแม่น้ำสายเล็ก ๆ ธรรมดาทั่วไป ไม่ต้องพูดถึงมัจฉาแห่งอาณาจักรเก้าตอนบนเลย ขนาดปลาวิญญาณยังไม่มี!
“อืม” หลี่จิ่วเต้าพยักหน้าและเอ่ยต่อว่า “ข้าขี้เกียจเดินไปไกลและที่นี่ก็มีปลานานาชนิดอยู่แล้ว ข้าจึงมักจะเอาคันเบ็ดมาตกปลาที่นี่หากไม่มีอะไรทำ หรือไม่ก็วาดภาพกับเล่นกู่ฉินน่ะ”
“เจ้ามนุษย์ทั้งสอง หากชายชราไม่แสดงทักษะที่แท้จริงแก่เจ้า เจ้าจะดูถูกชายชราและถือว่าเขาเป็นคนโกหกหรือไร!”
ขณะนั้นเอง เมิ่งจีพลันเค้นเสียงตะคอกกลับ
ตอนเขาอยู่ในเมืองมีมนุษย์พลุกพล่านมากเกินไป ทำให้ไม่สะดวกที่จะใช้วิธีการใด ๆ ของผู้ฝึกตน ซึ่งอาจทำให้มนุษย์ตื่นตระหนกได้
ทว่ายามนี้ไม่มีใครอยู่ที่นี่ เช่นนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะแสดงกลวิธีให้หลี่จิ่วเต้ากับหลิงอินรู้ว่า เขาทรงพลังเพียงใด!
“หยุดตะโกนเถิดผู้เฒ่า หูของข้าแทบจะหนวกแล้ว…”
ชายหนุ่มเอ่ยอย่างหมดหนทาง
คนคนนี้ปฏิบัติต่อเขากับหลิงอินเหมือนเด็กสามขวบไม่มีผิด นั่นเป็นเรื่องโกหกชัด ๆ ไม่มีใครเชื่อหรอกตกลงไหม?
หลิงอินเกือบจะหัวเราะออกมา หลังจากได้ยินสิ่งที่เมิ่งจีพูด
‘ให้ตายสิท่านผู้เฒ่าเอ๋ย เจ้ามีความสามารถอันใด กล้าดีอย่างไรมาโอ้อวดต่อหน้าผู้ทรงอำนาจในยุคโบราณ กับอาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ที่น่ากลัวและทรงพลังยิ่งกว่าเซียนน่ะ!’
หลิงอินยิ้มเยาะในใจ
“ประเดี๋ยวก่อน ตกปลาด้วยคันเบ็ด? ลำบากแค่ไหนกันเชียว… อืม มันก็ขึ้นอยู่กับวิธีของผู้ฝึกตนละนะ อย่างผู้เฒ่าคนนี้สามารถทำให้ปลาทั้งหมดในแม่น้ำกระโดดดิ้นพล่านขึ้นฝั่งได้ในชั่วพริบตาเชียวละ”
ชายชราเมิ่งจีกล่าวโอ้อวด
ตุ๊กตามนุษย์ทั้งสองนี้มีตาแต่หามีแววไม่ ปรมาจารย์อยู่ตรงหน้าแล้วยังจะทำเป็นไม่รู้อีก!
ครั้งนี้เขาตั้งใจจะให้ตุ๊กตาน้อยทั้งสองดูดี ๆ ว่าเขามีพลังมากแค่ไหน และเข้าใจว่ามันผิดมหันต์เพียงใดที่กล้าเมินเฉยกันก่อนหน้านี้!
‘หืม เดี๋ยวนะ เมื่อข้าแสดงฝีมือแล้ว เจ้าตุ๊กตามนุษย์สองคนนี่ไม่ล้มหงายหลังตึงไปเลยหรือไง หึ ๆ พวกเจ้าจะทำได้แบบข้าไหม?? ก๊ากกกกก’
เขาหัวเราะอยู่ในใจ
‘ชายหนุ่มคนนี้ทำไม่ได้แน่ เขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดามีวิญญาณอ่อนแอเช่นนี้ มันยากที่จะประสบความสำเร็จอย่างมากในนิกายสวรรค์ลับ เฮ้อ ลืมไปเถอะ ใครสั่งให้เขาเป็นคนรักของเด็กสาวคนนี้กันเล่า ถ้าไม่พาเจ้าหนุ่มนี่ไปด้วย สาวน้อยก็คงไม่ไปกับข้า’
นี่คือความจริง เขาไม่ต้องการพาหลี่จิ่วเต้าเข้าสู่นิกายสวรรค์ลับด้วย!
หลี่จิ่วเต้าไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดขั้นพื้นฐานที่สุดของนิกายสวรรค์ลับได้…
ทว่าไม่มีทางอื่นแล้ว หน็อย …ใครสั่งให้สาวน้อยหลิงอินที่มีหลี่จิ่วเต้าอยู่เต็มหัวใจมาด้วยเล่า
‘ชายชราผู้นี้ไม่ใช่ผู้ฝึกตนจริง ๆ ใช่หรือไม่’
เมื่อหลี่จิ่วเต้าได้ยินสิ่งที่ชายชราเมิ่งจีเอ่ย ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะคิดในใจ
‘ถ้าเป็นผู้ฝึกตนจริง ๆ แสดงว่าสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่เป็นความจริง! ข้า… สามารถเริ่มต้นเส้นทางแห่งการฝึกฝนได้ด้วยหรือ’
หลี่จิ่วเต้าค่อนข้างคาดหวัง
เขาจำสิ่งที่ชายชราพูดก่อนหน้านี้ได้ ชายชรากล่าวว่ากระดูกของเขาน่าทึ่ง และมีพรสวรรค์ที่ฟ้าประทานมาให้
‘อืม ไม่แน่ว่าการประเมินคุณสมบัติของสำนักไท่หัวอาจผิดพลาดได้เช่นกัน… บางทีข้าอาจมีคุณสมบัติการฝึกฝนที่น่าทึ่งจริง ๆ!’
ยิ่งหลี่จิ่วเต้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งตั้งหน้าตั้งตารอคอยมากขึ้นเท่านั้น
หากฝึกได้ก็อยากฝึกอยู่ และที่สำคัญเขาไม่อยากเป็นมนุษย์แล้ว!
ท้ายที่สุด นี่คือโลกแห่งการฝึกตน หากสามารถฝึกฝนได้ก็จะเริ่มต้นเส้นทางแห่งการฝึกฝนและมีพลังอันแข็งแกร่ง
แล้วเขาก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้น!!