รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 103 แม่นางนี่ไม่มีจรรยาบรรณการต่อสู้ เอาตัวรอดดี ๆ แล้วกัน!

บทที่ 103 แม่นางนี่ไม่มีจรรยาบรรณการต่อสู้ เอาตัวรอดดี ๆ แล้วกัน!

บทที่ 103 แม่นางนี่ไม่มีจรรยาบรรณการต่อสู้ เอาตัวรอดดี ๆ แล้วกัน!

หน้าร้านของหลี่จิ่วเต้า

เซี่ยเหยียนกับหลิงอินมาถึงพร้อมกัน

พวกนางมองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างส่งสายตา…อย่างไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก!

ในฐานะที่เป็นอิสตรีเช่นเดียวกัน พวกนางมีจิตใจละเอียดอ่อนทั้งคู่ ต่างสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสเป็นแน่…

“เจ้าคือ…?”

เซี่ยเหยียนเป็นฝ่ายปริปากก่อน นางมองหลิงอินและเอ่ยถามออกมา

หลิงอินมีใบหน้างดงามยิ่ง ความสดใสดุจเด็กสาววัยแรกแย้มควรมี ผิวพรรณขาวนวลดั่งหยกเนียน รูปร่างสูงเพรียว สัดส่วนได้รูป ปราศจากไขมัน และไม่ด้อยไปกว่านางเลยสักนิด!

จากนั้นเซี่ยเหยียนก็มองกู่ฉินในอ้อมอกของหลิงอิน ในใจพลันนึกเศร้าสร้อยขึ้นมา

กู่ฉินนี้มีจังหวะแห่งเต๋าสูงสุดไหลเวียนอยู่ทั่ว เห็นได้ชัดว่ามันเป็นยอดศัสตราวุธ

นางจับคลื่นพลังปราณจากตัวหลิงอินไม่ได้ หลิงอินเป็นเพียงหญิงปุถุชนแท้ ๆ

อิสตรีที่เป็นเพียงปุถุชนคนหนึ่ง เหตุใดจึงมียอดศาสตราวุธล้ำเลิศเช่นนี้ในครอบครอง?

อีกอย่าง ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนก็ใช่ว่าจะมียอดศาสตราวุธล้ำเลิศเช่นนี้ในครอบครองได้!

ไม่ต้องคิดก็รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสมอบให้นาง…

‘แย่ที่สุด แย่ที่สุด เลย ช่วงที่ข้าไม่อยู่ กลับมีผู้อื่นฉวยโอกาสแทรกกลางเข้าเสียแล้ว!’

นางบ่นในใจอย่างโกรธเกรี้ยว

ก่อนหน้านี้ นางไม่เคยพบเห็นสตรีนางนี้มาก่อน เห็นได้ชัดว่านางเข้ามาอยู่ข้างกายผู้อาวุโสหลังตัวเองกลับไปที่อาณาจักรเซี่ย

ขอบเขตของผู้อาวุโสสูงส่งปานนั้น นางมิบังอาจคิดเป็นอื่นกับผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่… ทว่าเมื่อข้างกายผู้อาวุโสมีสตรีสาวโฉมสะคราญเช่นนี้ปรากฏ นางก็ยังรู้สึกเศร้าหมอง จิตใจว้าวุ่นไม่เป็นสุขอยู่ดี

“เจ้าคือเซี่ยเหยียนใช่หรือไม่? ข้าเคยได้ยินนายท่านพูดถึงเจ้าอยู่บ้าง…”

หลิงอินยืนสง่าผ่าเผย สมกับเป็นผู้ทรงอำนาจแห่งโบราณกาล วางตัวข่มเซี่ยเหยียนได้อย่างง่ายดาย

‘ดูเอาเถิด เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าเป็นใคร แต่ข้ากลับรู้ว่าเจ้าเป็นใคร’

‘นี่แหละความห่างชั้น เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก!’

เซี่ยเหยียนยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ นึกบ่นในใจว่าเจ้ามาทีหลังยังคิดวางมาดข่มข้าอีกหรือ!?

ไม่ธรรมดาแล้ว!

สตรีปุถุชนคนหนึ่งกลับรู้ว่านางเป็นใคร นอกจากจะไม่ประหม่าแล้ว ยังวางมาดข่มนางอีก!

มันไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ

สตรีปุถุชนย่อมไม่รู้ว่าผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่เก่งกาจเพียงใด ยิ่งหากทราบว่านางเป็นถึงผู้ฝึกตนแล้วก็ควรจะเผยความประหม่าออกมาสิ หาใช่วางมาดข่มนางเช่นนี้…

สตรีนางนี้ร้ายกาจยิ่งนัก!

เซี่ยเหยียนให้น้ำหนักกับหลิงอินมากขึ้นในทันที

ความจริงแล้ว นางคิดผิดถนัด

ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้านางหาใช่สตรีปุถุชนแต่อย่างใด แต่เป็นจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาล!

หลิงอินอยู่ในเส้นทางฝึกตนมานาน ที่นางจับคลื่นพลังปราณจากตัวหลิงอินไม่ได้ นั่นเพราะตัวนางมีความสามารถไม่ถึง หลิงอินใช้เคล็ดวิชาโบราณอำพรางลมปราณและพลังปราณของตนโดยสมบูรณ์

“แน่นอน เมื่อก่อนคุณชายพาข้าไปล่าสัตว์ที่ชิงซานทุกวัน ดีกับข้ายิ่ง ซ้ำยังมอบคันศรให้ข้าด้วย”

เซี่ยเหยียนไม่ยอมแพ้ หยิบคันศรที่ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่มอบให้นางออกมาอวดต่อหน้าหลิงอิน

วาจาของนางแฝงเรื่องสำคัญไว้ นั่นคือผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่อยู่กับข้าทุกวัน เจ้ามาทีหลังยังสู้ไม่ได้ ที่เจ้าแทรกกลางเข้ามาได้ก็เพราะข้าไม่อยู่เท่านั้น!

“อ้อ คันศรนี่ดีจริงเชียว ข้าสู้มิได้เลย นายท่านเพียงแต่ชี้แนะข้าด้านดนตรีกู่ฉินบ้างเป็นครั้งคราว ไม่เคยอยู่กับข้าทุกวัน เพียงแต่ช่วงที่ประกอบกู่ฉินให้ข้า ข้าได้มีส่วนร่วมตลอด ให้ข้าได้รับรู้ถึงกระบวนการประกอบกู่ฉินทั้งหมด เพื่อเพิ่มความเข้าใจที่มีต่อกู่ฉินได้ลึกซึ้งกว่าเดิม…”

หลิงอินกล่าวยิ้ม ๆ มือดีดสายกู่ฉินไปเรื่อยเปื่อย

จากนั้นร่างญาณของหงส์อมตะสีแดงฉานก็สยายปีกโผบินออกมา ขนปีกเจิดจ้าแยงตา บินวนอยู่เหนือหัวหลิงอิน

นี่คือสภาวะร่างญาณของญาณศัสตรา ปุถุชนมองไม่เห็น มีเพียงผู้ฝึกตนเท่านั้นที่มองเห็น

หลิงอินรู้ว่าเซี่ยเหยียนเป็นผู้ฝึกตน จึงจงใจเรียกญาณศัสตราหงส์อมตะออกมา เพื่อข่มเซี่ยเหยียนอีกครั้ง

นางดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่า คันศรในมือเซี่ยเหยียนทรงพลังล้ำเลิศก็จริง ทว่ามิได้ให้กำเนิดญาณศัสตราเช่นของนาง

‘แม่นางน้อย อวดเบ่งต่อหน้านางผู้เป็นจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาล เจ้ายังอ่อนหัดไปหน่อยนะ’

ญาณศัสตรา!

เซี่ยเหยียนเห็นญาณศัสตราหงส์อมตะที่บินวนอยู่เหนือหัวหลิงอิน แล้วพลันจิตใจสั่นสะท้านทันที

นางรู้ว่าศัสตราวุธที่ก่อกำเนิดญาณศัสตราได้น่าทึ่งเพียงใด นั่นคือศัสตราวุธที่วิวัฒนาการต่อไปได้ นับตั้งแต่ยุคบรรพกาลมาก็มีอยู่เพียงหยิบมือเท่านั้น!

‘คันศรของข้าไม่มีญาณศัสตรา…’

นางเศร้าซึมสุด ๆ ทีแรกตั้งใจจะข่มกลับ ผลสุดท้ายนางกลับเป็นฝ่ายที่โดนข่มแทน

คนมาทีหลังกลับเยี่ยมยอดกว่านาง!

“ญาณศัสตรา!”

มุมมืดที่ห่างออกไปไม่ไกล ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนและหูช่วงลูกตาแทบถลนออกมา

ญาณศัสตราเชียวนะ อาวุธจักรพรรดิยังไม่ถือกำเนิด แต่ท่านเซียนกลับมอบให้ผู้อื่นง่าย ๆ เช่นนี้เลยหรือ?

“ท่านเซียนก็คือท่านเซียน!”

พวกเขาสบตากัน ไม่รู้จริง ๆ ว่าควรพูดอย่างไร

แต่ท่านเซียน…ท่านจะใจกว้างเกินไปหรือเปล่า!?

‘ไม่เห็นจะวิเศษตรงไหนเลย หัวใจของผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่นึกถึงเพียงข้า สั่งให้ผู้อาวุโสเรียกข้ากลับมาโดยเฉพาะ ข้าหาได้ด้อยไปกว่าเจ้าไม่!’

เซี่ยเหยียนพูดอยู่ในใจ

“ไปเถิด พวกเราไปพบคุณชายพร้อมกัน”

นางเอ่ยยิ้ม ๆ ความเศร้าซึมก่อนหน้าหายเป็นปลิดทิ้งและเดินนำเข้าไป

หลิงอินประหลาดใจนิดหน่อย ปฏิกิริยาของเซี่ยเหยียนเกินความคาดหมายของนางไปบ้าง

แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของนางก็เผยรอยยิ้ม และเดินตามเข้าไปเช่นกัน

นางเป็นถึงจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาล จำต้องกลัวแม่นางปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมหรือไรกัน…

ภายในลานเล็ก หลี่จิ่วเต้ากำลังนั่งตัดแต่งดอกไม้ต้นหญ้าอยู่

ช่วงระหว่างฤดูวสันต์และฤดูคิมหันต์ เป็นช่วงที่ดอกไม้ต้นหญ้าเจริญงอกงามที่สุด จำต้องหมั่นตัดแต่งอยู่เสมอ มิเช่นนั้นมันจะงอกเงยเกินงามจนสูญเสียความน่ามองไป

“ผู้อาวุโส!”

เซี่ยเหยียนเดินเข้ามาในลานด้วยรอยยิ้ม เอ่ยเรียกผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่อย่างสนิทสนม

หลี่จิ่วเต้าเงยหน้า เห็นว่าเป็นเซี่ยเหยียน ใบหน้าก็คลี่ยิ้มออกมาเช่นกัน “กลับมาแล้วหรือ?”

“นายท่าน!”

เวลานั้นหลิงอินเองก็เดินเข้ามาด้วย กล่าวเรียกผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่อย่างสนิทสนมเช่นกัน

“หลิงอินก็มาด้วยหรือ?”

หลี่จิ่วเต้าประหลาดใจนิดหน่อย นี่มันวันอะไรกัน สองสาวงามมารวมตัวกันในลานเล็ก ๆ ของเขา

เซี่ยเหยียนยืนอยู่ข้างหลิงอิน แต่ละนางล้วนมีโฉมงามพิลาส เพียงได้มองหลี่จิ่วเต้าก็รู้สึกสบายอกสบายใจอย่างยิ่งแล้ว

‘สวยกว่าดาราสาวที่เขาเคยเห็นจากโทรทัศน์ตอนอยู่ที่ดาวเคราะห์สีฟ้าเสียอีก…’

ชายหนุ่มกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ การศึกษาศาสตร์และศิลป์ให้ดีนับว่ามีประโยชน์มากทีเดียว เท่านี้ก็มีสาวงามคอยวนเวียนข้างกายเขาถึงสองคนแล้ว

“ผู้อาวุโส ไม่เจอกันนาน ข้าคิดถึงผู้อาวุโสเหลือเกิน!”

เซี่ยเหยียนเอ่ย

“ข้าก็คิดถึงเจ้า ช่วงก่อนข้าไปหาเจ้าที่สำนักไท่หัวมาด้วย น่าเสียดายนักที่ตอนนั้นเจ้ายังไม่กลับ”

หลี่จิ่วเต้ากล่าว

“ฮิฮิ ข้าคิดแล้วว่าผู้อาวุโสยังไม่ลืมข้า”

เซี่ยเหยียนมีความสุขจนหัวเราะออกมา สายลอบชำเลืองหลิงอินอย่างลำพองใจ

‘ดูให้เต็มตาเสีย ในใจผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่มีข้าอยู่!’

ไฉนเลยหลิงอินจะมองสายตาโอ้อวดของเซี่ยเหยียนไม่ออก นางยิ้มน้อย ๆ บอกกับผู้อาวุโสว่า “ข้าได้ยินนายท่านกล่าวถึงแม่นางเซี่ยเหยียนอยู่เป็นประจำ บอกว่าแม่นางเซี่ยเหยียนชื่นชอบการเล่นกู่ฉินตั้งแต่เยาว์วัย วันนี้มีวาสนาได้พบ พอดีเลย ข้าอยากฟังแม่นางเซี่ยเหยียนบรรเลงกู่ฉินสักบทเพลง เพื่อเพิ่มความรู้ให้กับตนเอง”

มีหรือที่นางจะยอมอ่อนข้อ นางตอบโต้ทันควัน!

แม่นางผู้นี้ไม่มีจรรยาบรรณในการต่อสู้เอาเสียเลย!

ลอบกัดอย่างนั้นหรือ!

ข่มเหงที่ข้าเล่นกู่ฉินไม่เป็น!

ข้าประมาทเกินไป ไม่ทันป้องกัน…

เช่นนี้ดีหรือ?

เช่นนี้ไม่ดีแน่!

แม่นาง เจ้าเอาตัวให้รอดแล้วกัน!

เซี่ยเหยียนหงุดหงิดใจเป็นที่สุด หลิงอินจี้ใจดำนางเข้าเต็มเปา

ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่สอนนางเล่นกู่ฉินอยู่หลายวันนางก็ยังไม่แตกฉาน ฝีมือด้านกู่ฉินนางไม่ไหวจริง ๆ เรียกได้ว่าขาดพรสวรรค์อย่างยิ่ง…

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท