รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 104 รู้ขอบเขต รู้จังหวะรุกรับ

บทที่ 104 รู้ขอบเขต รู้จังหวะรุกรับ

บทที่ 104 รู้ขอบเขต รู้จังหวะรุกรับ

‘ทำไมรู้สึกว่าบรรยากาศมันทะแม่ง ๆ กันนะ…’

หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ ท่าทางหลิงอินกับเซี่ยเหยียนราวกับว่า กำลังชิงดีชิงเด่นกันอย่างไรอย่างนั้น

สองคนนี้ไม่น่าจะเคยพบกันมาก่อนนะ…

แล้วจะชิงดีชิงเด่นไปเพื่ออะไร!?

คงมิใช่ว่าเพื่อเขากระมัง… หรือว่าตอนนี้ทั้งคู่กำลังหึงหวงเขากันอยู่หรือ!

‘ไม่ขนาดนั้น ไม่ขนาดนั้น ข้ามิได้ดีปานนั้นเสียหน่อย!’

หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ ทั้ง ๆ ที่อีกความรู้สึกคือยินดีปรีดาสุด ๆ

สองโฉมสะคราญเมืองชิงดีชิงเด่นหึงหวงในตัวเขา จะมิให้เขามีความสุขได้อย่างไร เป็นผู้ชายคนไหนก็ต้องมีความสุขอย่างยิ่งยวดทั้งนั้น!

เซี่ยเหยียนหน้าดำคร่ำเครียด ไม่กล้ารับคำท้าจริง ๆ

ขืนนางเผยฝีมือเล่นกู่ฉินออกมา คงได้ขายหน้าแย่เป็นแน่

ไม่เห็นหรือว่าหลิงอินอุ้มกู่ฉินล้ำค่าที่ผู้อาวุโสมอบให้ไว้ในอก นี่เป็นการบ่งบอกว่าฝีมือเล่นกู่ฉินของหลิงอินนั้นไม่ธรรมดาแน่นอน อย่างน้อยก็ได้รับการยอมรับจากผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่

มิฉะนั้น ผู้อาวุโสจะไม่มีทางมอบกู่ฉินให้นางเป็นแน่

เป็นเหตุผลเดียวกับที่ผู้อาวุโสมอบคันศรราชันให้นาง นั่นเพราะนางมีฝีมือด้านการยิงธนู หลังจากได้รับการยอมรับจากผู้อาวุโส เขาถึงมอบคันศรราชันให้นาง

‘ลำพังสตรีปุถุชนเพียงคนเดียว ไฉนกลอุบายถึงแยบคายเยี่ยงนี้ ใช้จุดแข็งโจมตีจุดอ่อนของข้า ทีเดียวเล่นงานข้าจนเป็นฝ่ายตั้งรับไม่ไหว…’

เซี่ยเหยียนหงุดหงิดใจอย่างที่สุด

เฮ้อ นางไม่ทันได้เป็นฝ่ายรุกก่อน หากนางเป็นฝ่ายรุกก่อนได้ และเสนอให้ทุกคนไปล่าสัตว์ที่เนินเขาเขียว นางต้องข่มหลิงอินไว้ได้แน่!

แขนขาผอมแห้งเช่นนี้ของหลิงอิน ซ้ำยังเป็นปุถุชน ไฉนเลยจะสู้วิชายิงคันศรธนูของนางได้!

“เหมียว!”

ลั่วสุ่ยเองก็อยู่ที่นี่ด้วยตลอด นางเห็นเซี่ยเหยียนเจอตอเสียบ้าง พลันรู้สึกจิตใจเบิกบานยิ่งนัก

‘เหอะ บัดนี้เจ้าเองก็รู้ซึ้งถึงความรู้สึกนี้แล้วใช่หรือไม่ ก่อนหน้าข้าต้องรู้สึกอย่างนี้มาโดยตลอด…’

‘ฮิฮิ พวกเจ้าห้ำหั่นกันไป ข้ารอรับประโยชน์อย่างเดียว พวกเจ้าแก่งแย่งกันไปเถิด ส่วนข้า…ขอนั่งรอชมอยู่ตรงนี้!’

“เรื่องนั้น…ข้าไม่ถนัดด้านการดนตรี ร่ำเรียนมาตั้งแต่เด็กจวบจนบัดนี้ยังไม่เห็นผล ข้าไม่ขอแสดงฝีมือแล้วกัน”

เซี่ยเหยียนแข็งใจเอ่ยออกมา

เฮ้อ ถึงคราวควรยอมแพ้ก็ต้องยอมแพ้ ใครใช้ให้นางไม่มีพรสวรรค์ด้านดนตรีกันเล่า…

ไม่ยอมแพ้ตอนนี้ ขืนต้องเล่นจริง ๆ ได้ขายหน้ากว่านี้แน่ กู่ฉินที่นางเล่นไม่ต่างจากเสียงโหยหวนของภูตผีวิญญาณ ฟังไม่ได้เลยจริง ๆ…

‘อย่าเพิ่งได้ใจนัก ไว้ข้าสบโอกาสเมื่อใด ข้าจะข่มเจ้าให้หนักบ้าง!’

นางพูดในใจ สั่งสมพลังเต็มที่เพื่อรอคอยโอกาสอันเหมาะสม!

“ดีแล้ว…”

หลังหลี่จิ่วเต้าได้ยินคำตอบของเซี่ยเหยียน ก็โล่งอกขึ้นมาทันที

เขาไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน กลัวแต่เซี่ยเหยียนเล่นกู่ฉิน เสียงกู่ฉินที่นางเล่นนั้น… เฮ้อ อย่าให้ต้องพูดไปมากกว่านี้เลย คนตายได้ฟังยังต้องกระโดดขึ้นมาจากโลงเพื่อหลบหนี…

ยังดีที่เซี่ยเหยียนรู้ตัวเอง ไม่คิดฝืนเล่นกู่ฉิน

“แม่นางเซี่ยเหยียนถ่อมตนเกินไปแล้ว”

หลิงอินยิ้มรับ ไม่ยืนกรานให้เซี่ยเหยียนเล่นกู่ฉินต่อ

นางรู้ขอบเขต รู้จังหวะรุกรับ อยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่จะทำอะไรไม่เข้าเรื่องไม่ได้เด็ดขาด เอาแค่พองามก็พอ

ถึงอย่างไรแม่นางน้อยผู้นี้ก็ยังอ่อนหัดเกินไป…

นางดูออกว่าเซี่ยเหยียนอัดอั้นตันใจ คล้ายยังผูกใจเจ็บอยู่บ้าง

ทว่าผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่อยู่ที่นี่ เมื่อถึงคราวหยุดก็ควรหยุด เกินขอบเขตไปจะกลายเป็นความผิดมหันต์แทน…

เห็นได้ชัดว่าเซี่ยเหยียนคิดไม่ถึงจุดนี้ ท่าทางของนางเต็มไปด้วยความเจ็บใจ คิดอยากข่มนางต่อ

เช่นนี้คงไม่เป็นการดีแน่…

“นายท่าน ช่วงนี้ข้าหมั่นฝึกฝนฝีมือเล่นกู่ฉินมาตลอด ที่มาวันนี้ก็เพราะอยากให้นายท่านช่วยดูว่าข้าพัฒนาขึ้นบ้างหรือไม่”

นางเอ่ยต่อผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ด้วยรอยยิ้ม

เซี่ยเหยียนยังอ่อนหัดนัก ไตร่ตรองได้ไม่ถี่ถ้วนและไม่แตกฉาน นางไม่กล้าประชันกับหลินอินต่อ จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

ขืนประชันกันอยู่เยี่ยงนี้ จนสร้างความไม่พอใจแก่ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ นางคงต้องซวยไปด้วย…

“ดีสิ”

หลี่จิ่วเต้าสนอกสนใจเป็นอย่างมาก

หลิงอินเล่นกู่ฉินได้ไม่เลว อาจจะพูดได้ว่ามีพรสวรรค์ เขาเองก็อยากเห็นว่าตอนนี้หลิงอินเล่นกู่ฉินเป็นอย่างไรแล้วบ้าง

“ข้าขอไปยกโต๊ะ!”

ผู้เฒ่าเมิ่งจีอาสายกโต๊ะเก้าอี้มาให้

เขาออกมานานแล้ว และได้เห็นภาพเหตุการณ์ ‘แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น’ ระหว่างเซี่ยเหยียนกับหลิงอินอย่างครบถ้วน

ชายชรารำพันในใจว่าหลิงอินนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ รู้ขอบเขตดีมาก ซ้ำยังรู้จักดูจังหวะรุกรับด้วย

เดิมเขาคิดว่าหลิงอินจะประชันกับเซี่ยเหยียนต่อไป ทว่าหลิงอินกลับหยุดได้ทันท่วงที เอาแค่พอเหมาะพองาม นับว่าเกินความคาดหมายของเขาแล้ว

กลับมามองเซี่ยเหยียน หาได้มีจิตสำนึกเช่นนี้ไม่

เด็กสาวปุถุชนกลับรู้ขอบเขตยิ่งกว่าผู้ฝึกตนอย่างเซี่ยเหยียน รู้จังหวะรุกรับ นับว่าไม่ธรรมดาจริง ๆ

เขายังไม่รู้ว่าตัวตนของหลิงอินคือจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาล และเขายังไม่รู้ว่าหลิงอินก้าวสู่เส้นทางฝึกตนนานแล้ว

หลิงอินในฐานะจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาล รู้ดีว่าไม่อาจเปิดเผยตื้นลึกหนาบางของตัวเองให้ผู้อื่นรู้ได้ง่าย ๆ เมื่อครั้งเพิ่งก้าวสู่เส้นทางฝึกตน นางจึงหมั่นฝึกวิชาอำพรางลมปราณและพลังปราณอยู่ตลอด

วิชานี้เป็นวิชาโบราณ ทรงพลังแกร่งกล้ายิ่ง แม้แต่ผู้เฒ่าเมิ่งจียังจับสัมผัสไม่ได้สักนิดว่า แท้จริงแล้วหลิงอินก้าวเข้าสู่เส้นทางผู้ฝึกตนมานานแล้ว

ด้วยเหตุนี้ ผู้เฒ่าเมิ่งจีจึงยังเห็นหลิงอินเป็นเพียงเด็กสาวปุถุชนคนหนึ่งเท่านั้น…

‘ฟื้นตัวได้ดีเยี่ยมเลยนี่ แต่ทำไมผู้เฒ่าถึงไม่ออกปากว่าจะไปแล้วล่ะ…’

หลี่จิ่วเต้ามองผู้เฒ่าเมิ่งจีที่สาละวนอยู่พลางคิดในใจ

เดี๋ยวนี้ผู้เฒ่าเมิ่งจีดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เหลือวี่แววคลุ้มคลั่งแม้แต่น้อย เขารู้สึกว่าผู้เฒ่าเมิ่งจีฟื้นตัวจนใกล้เป็นปกติแล้ว

ทว่าผู้เฒ่าเมิ่งจีไม่มีทีท่าจะออกจากที่นี่ไปเลยสักนิด…

หรือผู้เฒ่าเมิ่งจีตั้งใจจะอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตกันแน่…

มิใช่ว่าเขารังเกียจผู้เฒ่าเมิ่งจี ตัวเขาอยู่คนเดียวอย่างสงบจนชิน การมีคนมาอยู่เพิ่มด้วย เขากลับไม่ชินเท่าไหร่

‘หากไม่ได้จริง ๆ ข้าจะเช่าบ้านอีกหลังให้ผู้เฒ่าอยู่แล้วกัน นั่นมิได้เป็นภาระสำหรับข้า…’

ชายหนุ่มคิดในใจ

หลังจากถูกส่งมายังโลกของผู้ฝึกตน เขาก็อยู่คนเดียวมาโดยตลอด อยู่คนเดียวถือว่าสบายมาก อยากทำอะไรก็ได้ แต่พอต้องอยู่สองคนย่อมรู้สึกอึดอัดอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

เมื่อยกโต๊ะเข้ามาแล้ว หลิงอินก็วางเฟิ่งหมิงกู่ฉินไว้บนโต๊ะ ส่วนตัวนางไปนั่งที่เก้าอี้

เด็กสาวยื่นสองมือเรียวยาวออกไป และเริ่มบรรเลงเฟิ่งหมิงกู่ฉิน

เสียงกู่ฉินที่ไพเราะเสนาะหูดังขึ้น บทเพลงที่นางบรรเลงก็คือบทเพลงสร้างชื่อของนาง และเป็นบทเพลงที่ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ช่วยปรับให้ดีขึ้น [เซียนโบยบินในห้วงนภา]!

‘โอ้…เก่งจริง ๆ ด้วย มิน่าเล่าผู้อาวุโสถึงมอบกู่ฉินล้ำค่าให้นาง’

เซี่ยเหยียนเคลิบเคลิ้มไปกับบทเพลง สะท้อนใจว่าตนนั้นสู้นางไม่ได้จริง ๆ

เสียงกู่ฉินระดับนี้ นอกจากผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่แล้ว หลิงอินนับเป็นคนที่บรรเลงกู่ฉินได้ไพเราะที่สุดเท่าที่นางเคยพบมา!

‘เฮ้อ อิจฉาไปก็เท่านั้น ตาแก่อย่างข้า ฝึกทั้งชาติก็คงฝึกไม่ได้!’

ผู้เฒ่าเมิ่งจีทอดถอนใจ

หลิงอินมีพรสวรรค์มากจริง ๆ บทเพลงที่บรรเลงนั้นไพเราะหาใดเปรียบ นับเป็นปรมาจารย์เพลงกู่ฉินได้อย่างแท้จริง!

“ไม่เลวเลย…”

หลังบทเพลงจบลง หลี่จิ่วเต้าก็กล่าวออกมาพร้อมกับยิ้มให้ หลิงอินพัฒนาขึ้นมาก บรรเลงเพลงนี้ได้ไพเราะกว่าเมื่อก่อนมากนัก

“ขอบคุณนายท่านที่ชม!”

หลิงอินคลี่ยิ้มยินดี แค่ได้การยอมรับจากผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ นางก็ดีใจมากแล้ว

“ไม่ถือเป็นคำชม เจ้าเล่นได้ไม่เลวจริง ๆ”

หลี่จิ่วเต้ายิ้ม “ได้ยินเจ้าเล่นแล้ว ข้าเองก็คันไม้คันมือเกินทน อยากจะเล่นสักบทเพลงเสียหน่อย”

“ดีเลย นายท่านเชิญเล่น!”

หลิงอินเอ่ยอย่างตื่นเต้น

นางคิดในใจ ครั้งนี้นางมีวาสนาอีกแล้ว นี่ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่จะประทานวาสนาการเปลี่ยนแปลงให้อีกแล้วหรือ!

ก็วาสนาการเปลี่ยนแปลงน่ะสิ!

ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่เล่นกู่ฉิน เสียงกู่ฉินนั้นเจือไว้ซึ่งแก่นแท้แห่งฟ้าดิน ผู้ใดได้ฟังย่อมได้ประโยชน์ยิ่งกว่าการบำเพ็ญเป็นร้อยเป็นพันปี!

เซี่ยเหยียน ผู้เฒ่าเมิ่งจี และลั่วสุ่ยต่างก็ตื้นตันใจมากเช่นกัน

พวกเขาต่างรู้ดีว่า วาสนาการเปลี่ยนแปลงกำลังจะหล่นทับพวกเขาแล้ว!

หลี่จิ่วเต้านั่งลงและไม่ได้เปลี่ยนกู่ฉินแต่อย่างใด เขาบรรเลงต่อด้วยเฟิ่งหมิงกู่ฉินของหลิงอิน

“เช่นนั้นข้าขอบรรเลงเพลง ‘ผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน’ แล้วกัน”

ชายหนุ่มคิดไปคิดมา และตัดสินใจเลือกบทเพลงนี้

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท