รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 147 โลกนี้มีเรื่องราวนับร้อย ไฉนเลยจะสมหวังไปเสียทุกอย่าง!

บทที่ 147 โลกนี้มีเรื่องราวนับร้อย ไฉนเลยจะสมหวังไปเสียทุกอย่าง!

บทที่ 147 โลกนี้มีเรื่องราวนับร้อย ไฉนเลยจะสมหวังไปเสียทุกอย่าง!

หลังกลับมาถึงนิกายลับสวรรค์ ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์และอวิ๋นกู่พูดคุยเป็นการส่วนตัว เพื่อบอกเล่าสถานการณ์ของลัทธิไท่เสวียนและกลุ่มอำนาจลับอื่น

“เป็นอย่างนี้นี่เอง ข้าก็ว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับกลุ่มอำนาจลับเลย!”

อวิ๋นกู่เข้าใจถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้แล้ว

“สหายวางใจได้ เรื่องของลัทธิไท่เสวียนจักไม่มีทางแพร่งพรายออกไปข้างนอกอย่างแน่นอน!”

เขารับประกันด้วยสีหน้าจริงจัง

แพร่งพรายออกไปแล้วย่อมไม่เป็นผลดีต่อทุกฝ่าย เขาทราบข้อนี้ดี หลังจากนี้เขาจะกำชับกลุ่มอำนาจที่เดินทางมาสนับสนุน

“ขอบคุณมาก!”

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนพยักหน้าขอบคุณ ก่อนจะบอกลาอวิ๋นกู่ และไปจากที่นี่พร้อมหูช่วง เขาต้องนำตู้เย็นไปรายงานท่านเซียน

ณ แดนบูรพาทิศ

ท่ามกลางขุนเขาสูงใหญ่ ภายในถ้ำแห่งหนึ่ง

ประกายเจิดจ้าทิ่มแทงออกจากถ้ำ พร้อมกับลมปราณหยินหยางที่แผ่ขยายออกมา สัตว์น้อยใหญ่ในเขาต่างตกใจจนไม่กล้าเข้าใกล้

“ในที่สุดปัญหาของข้าก็คลี่คลายแล้ว!”

สือเฟิงน้ำตานองหน้า เป็นน้ำตาแห่งความดีใจที่เกิดจากความตื้นตันยินดีถึงขีดสุด

เขาไม่ติดปัญหาใดอีกต่อไป ขอบเขตไร้ซึ่งการติดชะงัก เขาเพิ่งบำเพ็ญได้ไม่กี่วัน ก็บรรลุจากขอบเขตกงล้อชะตาสู่ขอบเขตนิพพานได้แล้ว!

ทุกขอบเขตใหญ่มีขั้นย่อยเก้าขั้น

เหนือขอบเขตกงล้อชะตาคือขอบเขตสุญญตา เหนือขอบเขตสุญญตาจึงจะเป็นขอบเขตนิพพาน!

ในเวลาเพียงไม่กี่วัน เขาบรรลุไปสองขอบเขตใหญ่ สิบแปดขั้นย่อย นับเป็นความเร็วที่น่าหวาดหวั่นเหลือแสน!

แม้กระทั่งบรรดาโอรสสวรรค์เลื่องชื่อแห่งภาคกลางก็ไม่อาจบรรลุจากขอบเขตกงล้อชะตาสู่ขอบเขตนิพพานได้ในเวลาไม่กี่วัน!

พรสวรรค์น่าทึ่งของเขาเมื่อหกปีก่อนกลับมาแล้ว!

ไม่สิ!

เขาในยามนี้น่าทึ่งกว่าเมื่อหกปีก่อนเสียอีก!

หลังจากเปิดกายาศักดิ์สิทธิ์นำร่องแล้ว การฝึกฝนของเขาราวกับมีเทพคอยช่วย ความเร็วในการดูดกลืนพลังปราณจากฟ้าดินไวจนจินตนาการไม่ถึง!

ยามเขาฝึกฝน พลังปราณจากฟ้าดินในรัศมีร้อยลี้หลั่งไหลเข้าสู่ตัวเขาอย่างบ้าคลั่งโดยมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แข็งแกร่งกว่าเขาเมื่อหกปีก่อนมากโข!

“ขอบคุณท่านเซียน!”

เขาคำนับไปยังทิศเมืองชิงซาน คุกเข่ากราบไหว้ด้วยความจริงใจ

ที่เขามีทุกอย่างนี้ได้ ล้วนเป็นสิ่งที่ท่านเซียนประทานให้!

หากไม่มีท่านเซียน จนบัดนี้เขาคงยังเป็นสือเฟิงที่ขอบเขตชะงักงัน ไม่อาจบรรลุต่อไปได้…

เขาจักจดจำบุญคุณของท่านเซียน ไม่ลืมเลือนชั่วชีวิต ท่านเซียนคือผู้มีพระคุณที่สร้างเขาขึ้นมาใหม่!

คุกเข่ากราบไหว้เสร็จแล้วเด็กหนุ่มก็ผุดลุกขึ้น แต่ทันใดนั้น คิ้วก็ขมวดหากัน

“เกิดเรื่องกับศิษย์พี่ฉินซิน!”

ป้ายหยกในอกเสื้อเขาส่องแสง ซ้ำยังสั่นไหวรุนแรงด้วย

นี่คือป้ายหยกที่ฉินซินตั้งใจมอบให้เขาก่อนมาแดนบูรพาทิศ เมื่อพบพานอันตราย สามารถส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือผ่านป้ายหยกได้

เขาไม่ลังเล กระโจนตัวมุ่งหน้าไปทางทิศนั้นด้วยความเร็วสูงสุด!

ณ เมืองชิงซาน

ภายในลานเล็กของหลี่จิ่วเต้า

“ขอบคุณคุณชาย!”

“ตุ๊กตุ่นที่คุณชายปั้นสวยจัง!”

เด็ก ๆ ได้รับตุ๊กตุ่นที่หลี่จิ่วเต้าปั้นให้พวกเขาแล้วหน้าตาชื่นบาน ดีใจเหลือแสน

“พวกเจ้าชอบก็ดีแล้ว”

หลี่จิ่วเต้าเห็นสีหน้ายินดีของเด็ก ๆ แล้วตัวเขาก็มีความสุขเช่นกัน

“คุณชาย พวกเราต้องไปเข้าร่วมการสอบคัดเลือกศิษย์ของพรรคจื่อเสียแล้ว!”

“พวกเราต้องก้าวสู่เส้นทางฝึกตนให้ได้!”

เด็ก ๆ บอกกับหลี่จิ่วเต้าด้วยความมั่นใจ

“อยากฝึกตนกันหรือ…”

หลี่จิ่วเต้าลูบหัวเด็ก ๆ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณชายขออวยพรให้พวกเจ้าสำเร็จกันถ้วนหน้า!”

โลกการฝึกตนย่อมนิยมการฝึกฝน ใคร ๆ ต่างก็ใฝ่ฝันถึงการฝึกตน

หลี่จิ่วเต้ามองเหล่าเด็ก ๆ แล้วพลันรู้สึกสะท้อนใจยิ่งนัก

เขาเองก็อยากฝึกตน แต่เขาทำไม่ได้ เมื่อไม่มีพรสวรรค์ในการฝึก ย่อมไม่อาจก้าวสู่เส้นทางฝึกตน…

‘ไม่มีพรสวรรค์และเป็นได้เพียงปุถุชน…’

หวนนึกถึงเมื่อครั้งเขาเข้าร่วมการสอบคัดเลือกศิษย์ของสำนักไท่หัวแล้วเซ็งสุด ๆ

เขามั่นใจว่าความสามารถแต่ละด้านของเขาไม่แย่ แต่สุดท้ายกลับไม่มีวาสนาในการฝึกฝนเลยสักนิด ผลประเมินออกมาปรากฏว่า เขาเป็นปุถุชนที่ไร้ซึ่งพลังปราณแม้แต่น้อยนิด…

การที่ผู้ฝึกตนคิดฝึกฝนจำต้องมีพลังปราณ

เมื่อเป็นปุถุชนแล้วก็ต้องเป็นปุถุชนตลอดไป

ยามนั้นเขาสะเทือนใจอย่างมาก ใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะฟื้นสภาพจิตใจกลับมาได้

‘โลกนี้มีเรื่องราวนับร้อย ไฉนเลยจะสมหวังไปเสียทุกอย่าง ผู้ฝึกตนมีข้อดีของผู้ฝึกตน ปุถุชนมีข้อดีของปุถุชน ไม่จำเป็นต้องเอาไปเปรียบเทียบกัน…’

หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ

เขาในตอนนี้ปล่อยวางได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว

เป็นผู้ฝึกตนไม่ได้แล้วจะตายหรือ

เขาในตอนนี้เป็นปุถุชนก็ดีอยู่แล้วมิใช่หรือ สะดวกสบายเป็นอิสระและไม่มีผู้ใดคอยบงการ

เด็ก ๆ บอกลาหลี่จิ่วเต้าด้วยท่าทียิ้มแย้ม ต่างคนต่างกลับบ้านของตน

พวกเขาคุยกับที่บ้านไว้แล้ว และได้รับความยินยอมจากคนที่บ้านเป็นที่เรียบร้อย

“พวกเราไปกันเถิด!”

พ่อแม่ของพวกเขาเก็บสัมภาระเรียบร้อย รอแต่พวกเขากลับมาเท่านั้น

หลังจากพวกเขากลับมา พ่อแม่พวกเขาก็พาพวกเขามารวมตัวกัน ก่อนจะรุดหน้าไปยังที่ตั้งของพรรคจื่อเสีย

พรรคจื่อเสียค่อนข้างไกลจากเมืองชิงซาน พวกเขาต้องเดินทางร่วมสองเดือนเป็นอย่างน้อย ยังดีที่พรรคจื่อเสียยังไม่เปิดรับคนสมัครเข้าสอบคัดเลือกศิษย์อย่างเป็นทางการ

พวกเขายังมีเวลาพอ

แต่ขืนช้าไปกว่านี้ ต่อให้พวกเขาอยากเข้าร่วมการสอบคัดเลือกก็คงไม่ทัน

พ่อแม่ของพวกเขาไตร่ตรองไว้ดีแล้ว หากผลประเมินออกมา ลูกของพวกเขาเป็นปุถุชน พวกเขาจักเลิกพิจารณาเส้นทางฝึกตน

เพราะเส้นทางฝึกตนนั้นโหดร้ายเป็นอย่างมาก

ปุถุชนไม่มีโอกาสก้าวสู่เส้นทางฝึกตนได้เลย

หากผลประเมินออกมาลูกของพวกเขามิใช่ปุถุชน แต่มีพลังปราณ ต่อให้ลูกของพวกเขาไม่ผ่านการสอบคัดเลือก พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ แต่ขอยึดมั่นต่อไป

พลังปราณมีทั้งข้อดีข้อเสีย

สำนักฝึกตนยิ่งเก่งกาจ ยิ่งตั้งเงื่อนไขรับลูกศิษย์ไว้สูง

พรรคจื่อเสียมิใช่กลุ่มอำนาจเล็ก ๆ เงื่อนไขคงไม่ต่ำเท่าใด ซ้ำแล้วพลังปราณระดับธรรมดาย่อมไม่มีทางผ่านเข้าไปได้

ทว่าพวกเขาสามารถพาลูกไปลองดูที่สำนักฝึกตนซึ่งมีคุณภาพรองลงมาได้

ไม่ว่าอย่างไร หากมีพลังปราณก็ย่อมมีความหวังในการฝึกฝน แต่หากไม่มีพลังปราณย่อมหมายถึงไม่อาจฝึกตนได้

สือเฟิงได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือ จึงมุ่งหน้าด้วยความเร็วสูงสุดทั้งทาง สุดท้ายแล้ว เขาก็มาอยู่ท่ามกลางภูเขาลูกใหญ่ลูกหนึ่ง และได้พบพวกฉินซิน

“ยังดีที่ไม่เกิดเรื่องอันใด!”

นี่ทำให้เขาโล่งอกขึ้นมาบ้าง

ก่อนหน้านี้เขาเป็นห่วงฉินซินอย่างมาก กลัวว่าตัวเองจะมาไม่ทัน และกลัวว่าจะเกิดเรื่องกับฉินซิน!

ในใจของเขา ฉินซินสำคัญต่อเขามาก

เพราะช่วงเวลาหกปีอันยากลำบากที่ผ่านมา เป็นฉินซินที่อยู่เคียงข้างเขาเสมอมา หากไม่ได้ฉินซิน เขาไม่รู้แล้วว่าตนเองจะมีชีวิตต่อไปได้หรือเปล่า

บางทีเขาคงเสียสติไปนานแล้ว…

ฉินซินกับลูกศิษย์นิกายอวี้ซวีคนอื่น ๆ อยู่ทางนั้นหมด เบื้องหน้าพวกเขา มีชายหนุ่มผมสีฟ้าขี่สัตว์อสูรสีทองคนหนึ่งกำลังมองพวกฉินซินอย่างผู้เหนือกว่า

ข้างกายชายหนุ่มผมสีฟ้ามีข้ารับใช้เฒ่าสองคนยืนอยู่

“เกิดอะไรขึ้นหรือ ศิษย์พี่”

สือเฟิงเข้ามาใกล้

“อ๊ะ สือเฟิง เจ้ามาได้อย่างไร!?”

ฉินซินได้ยินเสียงของสือเฟิงจึงรีบหันไปมอง แล้วสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

นางนึกได้ว่านางส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือผ่านป้ายหยก และสือเฟิงคงมาเพราะป้ายหยก!

เรื่องนี้ทำให้นางนึกเสียใจอย่างมาก!

เหตุใดนางถึงลืมว่านางให้ป้ายหยกนี้กับสือเฟิงด้วย

นี่คือป้ายหยกใช้เอาตัวรอดของนิกายอวี้ซวี เมื่อส่งกระแสจิตเข้าไป จักสามารถขอความช่วยเหลือผ่านป้ายหยก ผู้ใดที่มีป้ายหยกในครอบครองจักได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือนี้

ลัทธิอวี้ซวีไม่ได้มีแค่พวกเขาที่มา มียอดฝีมือจำนวนหนึ่งตามมาที่แดนบูรพาทิศในภายหลังเช่นกัน

นางส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปหายอดฝีมือเหล่านั้น!

ที่นางมอบป้ายหยกให้สือเฟิงเพราะกลัวจะเกิดเรื่องกับสือเฟิง หากสือเฟิงพบพานอันตรายสามารถขอความช่วยเหลือจากนางผ่านป้ายหยกได้…

แต่บัดนี้กลับเป็นสือเฟิงที่มาที่นี่…

นางสำนึกเสียใจแทบแย่!

พวกเขายังเอาตัวรอดไม่ได้เลย การที่สือเฟิงมาที่นี่ย่อมอันตรายยิ่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย!

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท