หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – ตอนที่ 583

ตอนที่ 583

บทที่ 583 ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน!
ระหว่างที่เซี่ยไห่หยางกำลังลิงโลดใจ และระหว่างที่ฝูงชนที่จับตาดูอยู่ถึงกับทึ่งในความสามารถของเขา เสียงระฆังก็ยังคงดังกังวาน และเมื่อเฟิ่งชิวหรันประกาศผลสรุป การทดสอบก็จบลงอย่างเป็นทางการ

ลำดับต่อไปก็จะเป็นการเดินทางไปสู่ตำหนักวังบูชา แต่ทว่า ตำแหน่งที่ตั้งของตำหนักวังบูชานั้นอยู่ลึกเข้าไปในตัวกระบี่ที่ห่างไกลจากตำแหน่งปัจจุบันของพวกเขาอย่างยิ่ง แม้จะมีวงแหวนปราณในสำนักวังเต๋าไพศาลที่สามารถจะเคลื่อนย้ายพวกเขาไปที่นั่นได้ในชั่วพริบตา แต่ก็ยังต้องอาศัยการเตรียมการก่อนจะเปิดใช้ พวกเขายังคงต้องรอไปอีกระยะกว่าที่วงแหวนปราณจะพร้อมใช้การ

แต่ถึงกระนั้น หวังเป่าเล่อ ผู้ที่บัดนี้ถือครองใบไฮยาซินสามใบ ก็มีสถานะใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมในสำนักวังเต๋าไพศาลหลังจบการทดสอบ!

แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่บนเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลนานนัก หลังจากที่เฟิ่งชิวหรันประกาศผลการทดสอบ เขาก็จากมาทันที การทดสอบนั้นอันตรายร้ายแรงแม้กับหวังเป่าเล่อก็ตาม หากเขาไม่สามารถที่จะปลดปล่อยพลังออกมาได้ในวินาทีสุดท้าย ก็คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะตู้กูหลินมาได้

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหวังเป่าเล่อเพิ่งจะบรรลุขั้นการฝึกปราณ เขาจึงยังต้องทำให้ปราณคงที่เสียก่อน เฟิ่งชิวหรันเข้าใจข้อนั้นเป็นอย่างดี จึงปล่อยให้ชายหนุ่มจากไป นางยังมอบโอสถที่จะช่วยเขาควบคุมพลังปราณมาให้อีกขวดหนึ่งอีกด้วย

โอสถเหล่านั้นราคาแพงระยับแถมยังใช้ได้ทั้งกับเพื่อฝึกปราณและรักษาการอาการบาดเจ็บ หวังเป่าเล่อกล่าวขอบคุณก่อนจะจากมาพร้อมจั่วอี้ฟาน เจ้าเยี่ยเหมิง และกงเต๋า บรรดาพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐอีกหลายคนเดิมตามพวกเขามาติดๆ

หลังจากที่ทักทายผู้คนหน้าประตูวังเต๋าไพศาลเรียบร้อย หวังเป่าเล่อหันหลังก่อนจะก้าวขึ้นไปบนอากาศ และเดินทางออกจากเกาะหลักของวังเต๋าไพศาลมุ่งหน้าไปยังเกาเพลิงเขียว พันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐทุกคนมาส่งเขาด้วย

เจ้าเยี่ยเหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็แยกย้ายกันกลับถ้ำที่พักของตนเองหลังจากที่หวังเป่าเล่อไป แม้จะจากกันมาแล้ว การทดสอบก็ยังคงเป็นที่พูดถึงกันในหมู่ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลไปอีกพักใหญ่

หวังเป่าเล่อไม่สนใจเรื่องเหล่านั้นอีกต่อไป ขณะนี้ ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าเต็มที่เพื่อกลับไปยังเกาะเพลิงเขียว ก่อนจะเข้าไปยังถ้ำที่พักและมุ่งหน้าไปถือสันโดษทันที เขานั่งขัดสมาธิทำสมาธิเพื่อฝึกปราณและตรวจสอบเมล็ดดูดกลืนในกายไปพร้อมๆ กัน

ดอกบัวเขียวหายไปแล้ว แก่นในอัสนีและแก่นในแห่งความมืดก็ด้วย…หวังเป่าเล่อเริ่มรู้สึกยุ่งยากใจเมื่อนึกไปถึงการแปรสภาพของเมล็ดดูดกลืนครั้งล่าสุด ในช่วงสุดท้ายของการทดสอบ แม้ชายหนุ่มจะสัมผัสได้ว่าการแปรสภาพนั้นเป็นผลดีกับตัวเขาเอง แต่ก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้เมื่อมาคิดใคร่ครวญดูดีๆ หลังจากนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจใช้จิตสัมผัสวิญญาณเพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมล็ดดูดกลืนกันแน่

เมื่อสัมผัสวิญญาณของเขาเข้าไปถึงด้านในของเมล็ดดูดกลืน ชายหนุ่มก็มองเห็นความมืดดำอันเวิ้งว้างอยู่ตรงหน้า มันทั้งเงียบงันทั้งกว้างใหญ่ เขาไม่รู้เลยว่ามันกว้างไกลเพียงไหน มีเพียงดอกบัวเขียวหนึ่งเดียวที่สั่นระรัวอยู่ในความมืดดำสนิท…

เมื่อมองไปยังดอกบัวเขียว ที่มีทั้งแก่นในอัสนีและแก่นในแห่งความมืดวางอยู่ด้านบน หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ทว่า เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะพาพวกมันออกไปได้อย่างไร ชายหนุ่มสัมผัสได้อยู่ลางๆ ว่าทั้งสามได้หลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับเมล็ดดูดกลืนไปแล้ว ราวกับว่าทุกอย่างได้กลายสภาพมารวมกันจนเป็นหนึ่ง

หวังเป่าเล่อไม่อาจจะเข้าใจอะไรได้เลยแม้จะครุ่นคิดอย่างหนักแล้วก็ตาม ชายหนุ่มจึงยอมแพ้ในที่สุดก่อนจะดึงเอาจิตสัมผัสวิญญาณกลับมา เขาใช้ผนึกมือเรียกร่างอวตารอัสนีออก หลังจากที่เพ่งมองมันอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงนึกได้ว่ามีบางสิ่งผิดแผกไปจากที่เคย

การแปรสภาพนั้นเปลี่ยนแปลง…พลังการดูดกลืนของมัน!

พลังนั้นปรากฏขึ้นพร้อมๆ กับที่ร่างอวตารถูกปล่อยออกมา ขณะนี้ ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อสามารถดูดกลืนปราณวิญญาณเพื่อนำมาฝึกปราณได้

หัวใจของชายหนุ่มเต้นระรัว นัยน์ตาของเขาเบิกโพลงขณะที่จ้องมอง หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ก็มีแสงประหลาดสะท้อนในตาชายหนุ่ม ขณะที่เขายกมือขวาขึ้นชี้ ทันใดนั้นเอง กระบี่เหาะเหินก็ปรากฏขึ้นมาจากในกำไลคลังเก็บ ก่อนจะพุ่งตรงไปยังร่างอวตารอัสนีของเขาเอง กระบี่นั้นไม่ได้พุ่งทะลุร่างอวตาร แต่กลับบาดไปถากๆ แล้วฝากรอยแผลไว้ให้แทน

รอยแผลนั้นหายไปเองในชั่วพริบตา ทำเอาหวังเป่าเล่อหยุดนิ่งครุ่นคิด นัยน์ตาของเขาลุกโชน

พลังในการฝึกปราณนี้เกี่ยวข้องกับเมล็ดดูดกลืนแน่นอน ในขณะเดียวกัน การที่ร่างอวตารของข้าทั้งแข็งแกร่งและมีพลังการฟื้นฟูที่สุดยอดเช่นนี้หมายความว่า…มันจะต้องเกี่ยวข้องกับดอกบัวเขียวอย่างแน่นอน! หวังเป่าเล่อหัวใจเต้นแรงขึ้นอีก ชายหนุ่มตั้งสมมติฐานว่าร่างอวตารนั้นได้รับพลังส่วนหนึ่งไปจากแก่นในแห่งความมืด แต่ไม่มีวิญญาณที่หวังเป่าเล่อจะนำมาใช้ทดสอบสมมติฐานนี้ได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ค่อนข้างมั่นใจทีเดียว

น่าสนใจนี่…ถ้าเป็นเช่นนี้ พลังการยุทธของร่างอวตารอัสนีของข้าจะต้องแข็งแกร่งไร้เทียมทานเป็นแน่…หวังเป่าเล่อจมอยู่ในความคิด จากนั้นจึงปล่อยพลังกายพร้อมๆ กันกับพลังของเปลวไฟสีดำ ชายหนุ่มคิดขึ้นได้ว่าต่อให้เมล็ดดูดกลืนนั้นจะกลืนกินทุกสิ่งเข้าไป ก็ยังไม่มีผลกระทบในแง่ลบกับตัวเขาแม้แต่น้อย กลับกัน ตัวเขากลับพัฒนาขึ้นไปอีก เมื่อคิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มจึงวางใจและปล่อยวางเรื่องนี้ไปในที่สุด เขากลับหยิบเอาแผ่นหยกเคล็ดลับการฝึกปราณออกมาอ่านเรื่องกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงขั้นที่สาม

กระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงขั้นแรกทำให้หวังเป่าเล่อมีพลังสายฟ้าแทรกอยู่ในทุกๆ กระบวนท่าของเขา และยังมีผลกับพลังกายของชายหนุ่มอีกด้วย ขั้นที่สองทำให้สร้างร่างอวตารที่ช่วยเหลือเขาได้เป็นอย่างมาก แต่ทว่า ขั้นที่เขาอยากจะไปถึงที่สุดก็คือขั้นที่สามนี้!

เมื่อไปถึงขั้นที่สามของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงได้ หวังเป่าเล่อจะสามารถสลับตำแหน่งของอวตารอัสนีได้อย่างฉับพลัน แม้จะไม่ถึงขนาดไร้ที่ติ แต่ก็ใกล้เคียง ทำให้ชายหนุ่มสามารถจะใช้ทักษะการต่อสู้ได้ตามใจมากขึ้น และช่วยให้คาดเดารูปแบบการต่อสู้ของเขาได้ยาก ในแง่หนึ่ง อาจจะพูดได้ว่ามันจะช่วยพัฒนาให้สมรรถภาพทางการยุทธของเขาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากทีเดียว

ยกตัวอย่างเช่น ในการต่อสู้ระหว่างตัวเขากับตู้กูหลิน หากอวตารอัสนีของชายหนุ่มสามารถที่จะสลับตำแหน่งกับร่างต้นได้ ความยืดหยุ่นนั้นจะทำให้เขาสามารถโต้ตอบกับตู้กูหลินได้โดยยังไม่ต้องบรรลุขั้นแม้อีกฝ่ายจะใช้ผนึกขั้นที่สองก็ตาม

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เปลวไฟโชติช่วงก็ลุกไหม้อยู่ในใจของหวังเป่าเล่อ เขาพร้อมที่จะค้นคว้ากระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงขั้นที่สามและพยายามฝึกให้สำเร็จ แต่ทว่า ยิ่งกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงขั้นสูงขึ้นเท่าใด การฝึกก็ยิ่งท้าทายขึ้นมากเท่ากัน เป็นการยากอย่างยิ่งที่จะฝึกให้สำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้รีบร้อน เขาค่อยๆ ฝึกปราณไปอย่างช้าๆ ไปพร้อมๆ กับการพยายามทำให้ปราณขั้นใหม่ของเขาคงที่ไปในการถือสันโดษนั้น

ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็ไม่ได้ลืมวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิลักอัคคี หวังเป่าเล่อจัดเวลาทุกๆ วันเพื่อฝึกขั้นที่สองของวิชาสืบทอดนี้ ขั้นที่สองของเกราะจักรพรรดิลักอัคคี เกราะที่ออกจะแปรสภาพเป็นเกราะจักรพรรดิกระดูกที่ดูเหมือนกับโครงกระดูกมนุษย์

เมื่อฝึกฝนสำเร็จแล้ว พลังของมันก็จะแข็งแกร่งขึ้นมากมาย แต่ทว่า เฉกเช่นเดียวกับขั้นที่สามของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลง ความคืบหน้าในการฝึกนั้นค่อนข้างช้า สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว วิชาหลังฝึกยากกว่าวิชาแรกเสียอีก

นอกเหนือไปจากความชาญฉลาดและความเข้าใจแล้ว ชายหนุ่มยังต้องการทรัพยากรปริมาณมาก แม้ว่าเฟิ่งชิวหรันจะเพิ่งให้ขวดโอสถราคาแพงมา ก็ยังไม่พอ

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อจึงตั้งเป้าหมายว่าจะไปตำหนักวังบูชาก่อน ชายหนุ่มคิดว่าเขาไม่ได้ต้องเร่งรีบเพื่อจะกลับมา หลังจากไปสลักนามที่วังเต๋าแล้ว ก็จะอ้อยยิ่งอยู่ที่ตัวกระบี่สักหน่อยเพื่อหาเงิน

ยิ่งสถานะของข้าสูงขึ้นเท่าใด ข้าก็เข้าไปในสถานที่ได้หลากหลายขึ้นเท่านั้น แถมยังสามารถละเลยกฎเกณฑ์ได้มากขึ้นอีกด้วย…เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมา ชายหนุ่มเริ่มสังเกตฝักกระบี่ภายในกายไปพร้อมๆ กัน

ขณะนี้นั้นเขาเชื่อเรื่องที่แม่นางน้อยเคยพูดไว้เกี่ยวกับพลังของฝักกระบี่แล้ว แต่ทว่าหากเขาจะต้องชักกระบี่ออกมาอีกครั้งก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายอีกแล้ว คงจะทำได้อีกครั้งหลังจากพักไปอีกสักพักใหญ่

แต่ทว่า พลังอันยิ่งใหญ่ของกระบี่นั้น ไหนจะความสำคัญของอาวุธเวทระดับเจ็ดในกาย ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งมุ่งมั่นที่จะหลอมมันให้เป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดให้ได้โดยเร็วที่สุด

ข้าจะต้องเดินทางเข้าไปในตัวกระบี่! หวังเป่าเล่อมีสายตามุ่งมั่น แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าเขาจะรีบร้อนไม่ได้ เพราะฉะนั้น หลังจากที่ถือสันโดษอยู่ครึ่งเดือนและใช้โอสถจนหมด เขาจึงตัดสินใจเดินทางเข้าไปยังวังเต๋าไพศาลเพื่อใช้แต้มการรบซื้อโอสถอื่นๆ ที่ช่วยในการฝึกปราณเพิ่ม

ก่อนจะจากไป หวังเป่าเล่อหยิบเอากระจกในกำไลคลังเก็บออกมาส่องดูใบหน้าที่ได้รูปและไม่คุ้นตา ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอ่อนไหวขึ้นมา

“จู่ๆ ข้าก็หล่อขึ้นมามากเสียจนหลงตัวเองเสียแล้ว…” เขากระซิบ ก่อนจะยกมือขึ้นตบพุงอย่างเคยชิน แต่ทว่ากลับไม่พบพุงแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อก้มหน้าลงมองและเพิ่งรู้สึกตัวว่าท้องเล็กลงอย่างมาก

“หวังเป่าเล่อเอ๋ย ทั้งๆ ที่เจ้าก็หล่อเสียจนไม่ต้องทำอะไรแล้ว แต่เจ้าก็ยังคงเลือกเลิกจะสั่งสมเพิ่มพูนความสามารถและทำงานหนักไม่หยุดหย่อน!” หวังเป่าเล่อคุยโม้ ก่อนจะทอดถอนใจหนึ่งครั้ง ก่อนจะตั้งท่าแล้วถ่ายรูปตัวเองไว้หนึ่งรูป ก่อนจะส่งเข้าไปยังกลุ่มพูดคุยหลักของพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐในพื้นที่ ก่อนจะจากเกาะเพลิงเขียวมาด้วยใจรื่นเริง

เมื่อก้าวเข้ามาในวังเต๋าไพศาลในคราวนี้ หวังเป่าเล่อได้รับการปฏิบัติไม่เหมือนก่อน ผู้คนมองเห็นเขาทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นบนเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล และเข้ามาประชิดตัวทันทีเพื่อทักทาย

พวกเขาไม่เพียงแต่ทักทายเท่านั้น แต่ยังเดินตามเขาไปทั่ว ผู้ฝึกตนทุกคนที่มองเห็นเขาเป็นเช่นนี้กันไปหมด ความชื่นชมและเคารพที่พวกเขามีต่อหวังเป่าเล่อทำเอาชายหนุ่มประหม่า ราวกับว่าเขาได้กลับไปเยือนสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งกระนั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชายหนุ่มไปถึงบริเวณแผ่นหินรับภารกิจที่คลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกตนจำนวนมาก เกิดความโกลาหลขึ้นทันทีที่เขาปรากฏตัว บรรดาผู้ฝึกตนพากันทักทายและพากันหลบทางให้หวังเป่าเล่อเดิน ราวกับเขาเป็นศิษย์เอกคนหนึ่งกระนั้น

ปรากฏการณ์นี้ถูกใจหวังเป่าเล่อเป็นอย่างยิ่งและเขายิ่งภาคภูมิใจขึ้นไปอีกเมื่อระหว่างทางมีศิษย์สาวสวยของสำนักวังเต๋าไพศาลหลายคนที่มองเห็นเขาแล้วก็ส่งสายตายั่วยวนมาให้ มอบความรู้สึกอิ่มเอมใจยิ่งให้กับชายหนุ่ม

ข้าสงสัยนักว่าผู้ฝึกตนสตรีบนกระบี่สำริดเขียวโบราณนี้จะมีเรือนร่างเหมือนกันกับสตรีบนสหพันธรัฐหรือไม่…หวังเป่าเล่อกะพริบตาทีหนึ่งก่อนจะเริ่มครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท