หลินเยวียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย “จริงสิ ระบบ เงินที่ได้จากการสั่งทำเพลง นายคิดว่าจะเอาไปทำอะไร”
หรือว่าระบบจะใช้เงินอัปเลเวล?
แน่นอนว่าผลลัพธ์ไม่ใช่แบบนั้น คำตอบของระบบออกจะอยู่เหนือความคาดหมาย “บริจาคให้คนที่ขาดแคลนบนโลกนี้”
ที่แท้ก็เอาเงินไปทำการกุศล
หลินเยวียนพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมาก
วันเวลาต่อมายังเหมือนเดิมทุกประการ จวบจนวันที่ 18 เดือนเมษายน ก็เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์อีกครั้งหนึ่ง ในที่สุดหลินเยวียนก็แจ้งซุนเย่าหั่วไป “เตรียมเข้าบริษัทนะครับ วันนี้เราจะเริ่มอัดเสียงกัน”
“ไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
เดิมทีซุนเย่าหั่วจะออกไปเที่ยวกับแฟนสาว ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทาง ทว่าเมื่อได้รับโทรศัพท์ของหลินเยวียน ก็เลี้ยวรถกลับโดยไม่ลังเล เหยียบคันเร่งมิดตรงดิ่งไปที่บริษัท
“ไม่ค่อยสบายหรือเปล่าครับ”
เมื่อหลินเยวียนเห็นซุนเย่าหั่วที่หน้าปากประตูห้องอัดเสียง อีกฝ่ายกำลับหอบโกยอากาศเข้าปอด ราวกับเพิ่งออกกำลังกายอย่างหนักมา
“ไม่…เป็นไร”
ซุนเย่าหั่วกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก พยายามเค้นรอยยิ้มออมา เขาไม่มีทางบอกว่าตนกลัวว่าหลินเยวียนจะต้องรอนาน ดังนั้นทันทีที่มาถึงบริษัทก็สับเท้าวิ่งมาตลอดทาง
“ร้องได้หรือยังครับ”
หลินเยวียนเอ่ยถาม ไม่กี่วันก่อนหน้านี้เขาส่งเพลงกุหลาบแดงให้ซุนเย่าหั่วไปแล้ว ช่วงนี้อีกฝ่ายจึงฝึกซ้อมพอได้แล้ว
“ให้ร้องกลับหลังยังได้เลย”
ซุนเย่าหั่วพูดอย่างจริงจัง
ก่อนหน้านี้เขาได้รับเนื้อเพลงกุหลาบแดงและเดโม หลังจากฟังเดโมจบ ความรู้สึกเดียวในใจก็คือ
‘สมแล้วที่เป็นหลินเยวียน!’
เพลงที่ดีขนาดนี้ ถ้าตนร้องแล้วไม่ดัง ก็คงไม่ได้ร้องเพลงของรุ่นน้องไปอีกตลอดชีวิต!
เพราะนั่นหมายความว่าตนไม่คู่ควร!
หลินเยวียนพยักหน้า เดินเข้าไปในห้องควบคุมของสตูดิโออัดเสียง เจ้าหน้าที่ทางนั้นเตรียมพร้อมอยู่แล้ว หยิบหูฟังขึ้นสวมอย่างคล่องแคล่ว
ห่างกันเพียงกระจกกั้น
ซุนเย่าหั่วในห้องอัดเสียงพยักหน้าให้หลินเยวียน หลังจากปรับอุปกรณ์เรียบร้อยแล้วก็ทดสอบเสียงเป็นครั้งแรก “ความฝันในฝันที่ไม่ตื่นจากฝัน สีแดงถูกเหนี่ยวรั้งในด้ายแดง ตื่นเต้นเหลือเพียงความเจ็บปวดไร้เรี่ยวแรงแล้วก็ไม่แยแส…”
หลินเยวียนไม่ได้ขัดจังหวะ
จนกระทั่งร้องจบทั้งเพลงรอบหนึ่ง ซาวด์เอนจิเนียร์จึงกล่าวแนะนำขึ้นมาก่อน ส่วนหลินเยวียนซึ่งอยู่ด้านข้างก็พูดเสริมความคิดเห็นขึ้นมา “ความคุ้นเคยไม่มีปัญหาครับ แต่เสียงของพี่เปิดกว้างเกินไป ภาพรวมของเพลงนี้เสียงค่อนข้างเศร้า หาความรู้สึกเจ็บช้ำอย่างเดียวไม่พอ ตอนร้องพี่เก็บไว้ข้างในหน่อยครับ พวกเรามาลองกันอีกรอบ”
ซุนเย่าหั่วพยักหน้า
ร้องเพลงครั้งที่สอง เขาใช้วิธีที่ค่อนข้างเก็บเสียงไว้ ทว่าหลินเยวียนเอ่ยขัดขึ้นมา “เพลงนี้โดยพื้นฐานแล้วมีความเศร้าอยู่นะครับ แต่ความเศร้าก็แบ่งเป็นหลายระดับ ระดับของท่อนเปิด พี่เข้าใจว่าเป็นความเสียใจก็ได้ครับ”
“เสียใจ?”
ซุนเย่าหั่วพยักหน้าอีกครั้ง
เมื่อเขาร้องถึงท่อนคอรัส หลินเยวียนถึงได้เอ่ยถึงสิ่งที่ตนต้องการเป็นครั้งที่สาม “ไม่ได้มาครอบครองก็ต้องมืดมัว ได้รับความรักไปก็ไม่ต้องกลัว นี่เป็นความเศร้าในระดับที่สองของเพลง จัดอยู่ในการคร่ำครวญหลังจากรู้สึกเสียใจ”
คำแนะนำในการแบ่งมาจากระบบ
การแบ่งมาจากความเข้าใจของหลินเยวียน
ในการอัดเพลงก่อนหน้านี้ หลินเยวียนก็ใช้วิธีการประเภทนี้ เขาไม่ต้องการให้ซุนเย่าหั่วเลียนแบบต้นฉบับ ในการร้องเพลง แต่ละคนต่างก็มีวิธีการที่เหมาะสมกับตนเอง จางปี้เฉิน[1]ในโลกเดิมก็เคยร้องเพลงกุหลาบแดง ให้คนละความรู้สึกกับเวอร์ชันต้นฉบับเลย แต่ฟังแล้วก็เพราะเหมือนกัน ถึงแม้ว่าซุนเย่าหั่วจะมีช่วงเสียงเหมือนกับต้นฉบับ แต่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องถึงขั้นเลียนแบบ
การแต่งเสียงหลังจากนี้ก็เหมือนกัน
หลินเยวียนกับทางห้องอัดเสียงได้เสนอความต้องการไปแล้ว และซุนเย่าหั่วก็ปรับใช้และทำความเข้าใจกับคำแนะนำนี้ ปรับการร้องของตนเองไปเรื่อยๆ การร้องในสตูดิโออัดเสียงกับการร้องสดนั้นยังไม่เหมือนกัน หลังจากปล่อยเพลงออกไป เวอร์ชันที่มีอิทธิพลมากที่สุดก็คือเวอร์ชันสตูดิโอ
“หลังจากนี้เป็นความเศร้าชั้นที่สามนะครับ”
“ยามที่โอบกอดเธอจากด้านหลัง ที่คาดหวังกลับไม่ใช่ใบหน้าเธอ ถ้าพี่ร้องไปพร้อมกับเนื้อเพลง ก็จะเห็นว่าอารมณ์ที่เพลงส่งมาเป็นการเยาะเย้ยตัวเองแบบราบเรียบ ไม่ต้องใส่อารมณ์มากครับ แบบนี้จะช่วยเวลาเปลี่ยนลมหายใจ”
“เทคนิคไม่ต้องใส่มากเกินไป”
“หลายเพลงต้องใช้ปากร้อง ใช้ความรู้สึกเข้าเสริม แต่เพลงนี้ใช้ความรู้สึกร้อง ปากช่วยเสริม ผ่อนลมหายใจเรื่อยๆ แต่อย่าเพิ่มเสียงนะครับ ทำให้วิธีการหายใจค่อยๆ เปลี่ยนเป็นการคร่ำครวญที่มีเสียงสั่นแทน…”
ซาวด์เอนจิเนียร์ด้านหน้าให้คำแนะนำเยอะมาก
ทว่าคำพูดด้านหลังเป็นสิ่งที่หลินเยวียนเข้าใจ
ซาวด์เอนจิเนียร์อธิบายในมุมมองทางเทคนิค ส่วนหลินเยวียนอธิบายในมุมมองของดนตรี คำพูดด้านหน้าค่อนข้างเป็นภววิสัย และความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้สึกนั้นเป็นอัตวิสัย ดังนั้นสิ่งที่ทำให้ซุนเยาหั่วเป็นทุกข์ที่สุดคือจุดนี้ของหลินเยวียน
“ไร้ความหมาย…”
“หมดความหมาย…”
หลินเยวียนเพียงแค่พูดยังไม่พอ บางครั้งบางคราวก็ร้องเป็นตัวอย่าง ปัญหาเรื่องคอของเขาทำให้เขาไม่ได้เป็นนักร้องมืออาชีพ แต่ร้องเพลงสั้นๆ และไม่ได้เสียงสูงย่อมไม่ใช่เรื่องยาก
เมื่อร้องด้วยเสียงตนเองจบแล้ว
หลินเยวียนพูด “จับจุดได้หรือยังครับ ก่อนร้องหายใจก่อนนะครับ ร้องจบหนึ่งประโยคแล้วหายใจใหม่ หายใจเข้าออกไปตามจริงเลย ถ้าอารมณ์ถึง ผมก็โอเคถ้าพี่จะหายใจได้ไม่สมบูรณ์แบบ”
ซุนเย่าหั่วทำได้เพียงพยักหน้า
นักประพันธ์เพลงส่วนใหญ่ไม่มีทางเข้มงวดเหมือนหลินเยวียน และการขับร้องของนักร้องนั้นจะยึดจากความเห็นของซาวด์เอนจิเนียร์เป็นหลัก แต่สิ่งที่หลินเยวียนต่างจากนักประพันธ์เพลงคนอื่นๆ ก็คือเขาเคยเรียนการขับร้องมาเป็นปีๆ ถ้าการเปล่งเสียงไม่เกิดข้อบกพร่อง ก็อาจเป็นนักร้องที่ยอดเยี่ยม ฉะนั้นมาตรฐานและความเข้าใจที่เขามีต่อการขับร้อง ก็เป็นสิ่งที่นักแต่งเพลงคนอื่นส่วนมากเทียบไม่ได้
กล่าวโดยความหมายคือ
เจ้าหน้าที่ในสตูดิโออัดเสียงก็คือผู้ช่วยงาน
คนที่ทำเนื้อเพลง ดนตรี และเรียบเรียงเพลงอย่างหลินเยวียน ขณะเดียวกันนักประพันธ์เพลงที่เชี่ยวชาญการขับร้องก็มีน้อยเหลือเกิน ถ้าหากนักประพันธ์เพลงทุกคนเป็นแบบหลินเยวียน เจ้าหน้าที่ในสตูดิโอจำนวนมากคงต้องตกงานแล้ว
“พอก่อนแล้วกันครับ”
ง่วนอยู่หลายชั่วโมง ในที่สุดหลินเยวียนก็บอกให้พัก ในตอนนั้นซุนเย่าหั่วยังคงไม่สามารถแสดงเวอร์ชันที่แตะถึงมาตรฐานของหลินเยวียน แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายของหลินเยวียน “ช่วงนี้ก็ฝึกเยอะๆ นะครับ”
“ได้”
ซุนเย่าหั่วเตรียมตัว ‘เก็บตัวฝึกซ้อม’
สิ่งที่เรียกว่าเก็บตัวฝึกซ้อมก็คือการฝึกซ้อมในห้องอัดเสียงเป็นเวลานาน
ในบ้านก็ฝึกร้องเพลงได้ ตอนไหนก็ฝึกร้องเพลงได้ แต่ในห้องอัดเสียงนั้นได้ผลลัพธ์ดีที่สุด
เพราะอุปกรณ์ในห้องอัดเสียงสามารถฟีดแบ็กรายละเอียดของเสียงได้ดี มิหนำซ้ำยังมีเจ้าหน้าที่ของห้องอัดเสียงคอยดูแลอยู่ สามารถฟีดแบ็กประสิทธิภาพในการร้องของนักร้องได้ตลอดเวลา
หลินเยวียนออกไปแล้ว
หลังจากช่วงนี้ เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องการอัดเพลง
การอัดเพลงอย่างเป็นทางการจะต้องรอให้ซุนเย่าหั่วเข้าใจเพลงนี้ได้อย่างลึกซึ้งเสียก่อน ถึงอย่างไรหลินเยวียนก็ไม่ได้รีบร้อน
ทว่าในตอนนี้
ครั้นเวลาล่วงเลยเข้าสิ้นเดือน
เซกชันวรรณกรรมของแพล็ตฟอร์มปู้ลั่ว ศึกในครั้งนี้ที่นักเขียนทั้งสามสิบชีวิตใช้นิยายสั้นเป็นอาวุธ ในที่สุดก็ประกาศผลแล้ว!
ถึงขั้นมีคนแซวว่า
นี่เป็นช่วงเวลาเผยโฉมหน้าราชา!
………………………………………..
[1] จางปี้เฉิน (张碧辰) นักร้องชาวจีน เป็นผู้ชนะการประกวดรายการ The Voice of China ในปี 2017 และได้ร้องเพลงกุหลาบแดง (《红玫瑰》) ของเฉินอี้ซวิ่น (Eason Chan) ในการแข่งขันรอบ Knock Out