ที่ข่งอันมาในครั้งนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะเรื่องหลินเยวียน
หลินเยวียนลงแรงเพียงครั้งเดียว ก็ยกระดับฝีมือของสาขาจิตรกรรมทั้งสาขา!
อัจฉริยะระดับนี้ ข่งอันจะปล่อยให้อยู่ในสาขาการประพันธ์เพลงต่อไปก็เสียดายพรสวรรค์
ทว่าเดิมทีข่งอันไม่ได้อยากมาหาซือเฉิงเร็วถึงขนาดนี้ เพราะอย่างไรเสียการย้ายสาขาก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากพอดู อีกทั้งภาคการศึกษานี้ก็กำลังจะจบลงแล้ว
เขารออยู่หลายเดือน ไม่สนใจเรื่องนี้ไปสักพัก
แต่ในวันนี้ คณะวิจิตรศิลป์มีการสอบปลายภาคครั้งใหญ่ ทำให้ข่งอันเปลี่ยนความคิด!
เขารอไม่ไหวแล้ว!
เขาจำเป็นต้องดึงตัวหลินเยวียนมาที่คณะวิจิตรศิลป์ให้ได้ เพื่อไม่ให้เรื่องยืดเยื้อและเลวร้ายลง!
ทำไมน่ะเหรอ!
ก็เพราะในการสอบปลายภาคครั้งนี้ของคณะวิจิตรศิลป์ ได้ปรากฏผลลัพธ์ที่ชวนให้ตกตะลึงน่ะสิ
ทั้งคณะวิจิตรศิลป์!
นักศึกษาที่ได้ 50 อันดับแรก 22 คนในนั้นเป็นคนที่หลินเยวียนสอนในชมรมจิตรกรรม!
อัตราส่วนในครั้งนี้เหลือเชื่อยิ่งกว่าการสอบของสาขาจิตรกรรมในครั้งก่อนซะอีก!
สำหรับเรื่องนี้ ข่งอันคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้ว ไม่ถึงกับทำให้เขาตื่นอกตกใจได้ เพราะฝีมือในการสอนของหลินเยวียนระดับนั้น แม้แต่อาจารย์สอนสเก็ตช์ของคณะวิจิตรศิลป์ก็ยังต้องยอมรับ
ความน่ากลัวที่แท้จริงก็คือ ไม่เพียงการสอบสเก็ตช์
ครั้งนี้แม้แต่การสอบสีกวอช ในบรรดานักศึกษา 50 คน ก็มี 33 คนที่หลินเยวียนสอน!
สเก็ตช์ภาพอย่างเดียวก็ว่าไปอย่าง
ข่งอันนึกไม่ถึงว่า ความสามารถในการสอนสีกวอชของหลินเยวียนก็ยังน่ากลัวถึงขนาดนี้
ดูท่าหนังสือพิมพ์กระดานดำครั้งก่อนของหลินเยวียนนั้นไม่ใช่ความสามารถด้านสีกวอชทั้งหมดที่หลินเยวียนมี
นี่มันปราดเปรื่องทั้งการสเก็ตช์และสีกวอชนี่นา!
ฉะนั้นแล้วข่งอันจึงอดทนไม่ไหวอีกต่อไป ตรงไปหาเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของตน ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องดึงคนมาที่คณะวิจิตรศิลป์ให้ได้
“บอกมาเถอะ มีเรื่องอะไร”
ซือเฉิงนั่งดื่มชาอยู่ฝั่งตรงข้ามกับข่งอัน บรรยากาศเป็นใจแก่การเอ่ยปากขอร้อง
ข่งอันยิ้มกล่าว “ไม่โกหกนายก็แล้วกัน สำหรับนายแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย ฉันถูกใจนักศึกษาคนหนึ่งของสาขาการประพันธ์เพลงของนาย อยากให้เขาย้ายมาอยู่ที่คณะวิจิตรศิลป์
“แค่นี้?”
ตอนนี้ซือเฉิงอารมณ์ดีสุดๆ จึงโพล่งไปว่า “อย่าว่าแต่นักศึกษาคนเดียวเลย ถ้านายอยากได้สามคน ทางฉันก็จะเห็นด้วย แต่เรื่องของทางผู้ปกครองของนักศึกษา นายต้องไปจัดการเอง ถึงยังไงนี่ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงถึงอนาคตของนักศึกษา จะมาล้อเล่นไม่ได้”
“งั้นฉันว่า ทางผู้ปกครองฉันไปคุยเอง”
ข่งอันเอ่ยอย่างจริงจัง “ฉันทำไปเพื่ออนาคตของนักศึกษานี่แหละ ถึงได้บากหน้ามาหานาย พรสวรรค์ของนักศึกษาคนนี้ไม่ธรรมดา รอให้เขามาที่คณะวิจิตรศิลป์ของพวกเรา ฉันว่าจะสอนด้วยตนเอง!”
“ถูกอกถูกใจขนาดนั้นเลย?”
ซือเฉิงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ด้วยตำแหน่งของข่งอันในวงการจิตรกรรม นักศึกษาทั่วไปไม่มีทางเข้าตาสหายเก่าแก่ของตนหรอก
“งั้นฉันก็ยิ่งต้องช่วยนาย!”
ซือเฉิงพูดอย่างจริงจังมาก เรื่องนี้ถ้าหากไม่ช่วย ตัวเขาเองจะต้องรู้สึกผิดอย่างแน่นอน “นักศึกษาที่นายพูดถึงชื่ออะไรล่ะ ฉันจะได้เรียกเขามาคุยต่อหน้า”
“นายอาจไม่รู้จัก ถึงยังไงนักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงก็มีเยอะแยะยิ่งกว่าขนวัว เด็กคนนี้อยู่เซคห้า”
“เซคห้า…”
ซือเฉิงหัวใจกระตุกวาบ ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกว่าตนเป็นกระต่ายตื่นตูมเกินไป
จะไปบังเอิญขนาดนั้นได้ยังไง
เขายังคงยิ้มแย้ม “ไม่ได้ถามเซค เอาชื่อมา”
ข่งอันพูดออกมาสองคำ “หลินเยวียน”
รอยยิ้มของซือเฉิงนิ่งค้าง
ข่งอันไม่เห็นสีหน้าของซือเฉิง
เขาดื่มน้ำชา ตบไหล่ของซือเฉิงเบาๆ “เพื่อนเก่าเพื่อนแก่อย่างนายคุยง่ายดี เรื่องนี้ฉันต้องขอบคุณนายล่วงหน้า มีหัวหน้าของสาขาการประพันธ์เพลงเอ่ยปากเองแบบนี้ หลินเยวียนไม่มีทางปฏิเสธแน่”
ซือเฉิงกล่าว “ฉันรับปากแล้ว?”
ข่งอันชะงักไป “นายรับปากแล้วไง”
ซือเฉิงโบกมือ “นายอย่ามาพูดจาเหลวไหล มิตรภาพก็เป็นเรื่องของมิตรภาพ เรื่องการย้ายคณะนี่ฉันไปรับปากตั้งแต่เมื่อไหร่!”
“นายนี่ชักจะพูดไม่รู้เรื่อง!”
ข่งอันไม่สบอารมณ์แล้ว “หลินเยวียนอยู่ที่นี่ออกจะน่าเสียดายพรสวรรค์”
ซือเฉิงได้ฟังคำประโยคนี้ก็มีโทสะขึ้นมา “หลินเยวียนไปคณะวิจิตรศิลป์ของนายน่ะสิถึงน่าเสียดายพรสวรรค์!”
“เฮ้ย มันจะมากเกินไปแล้วนะ!” ข่งอันลุกขึ้นยืน
ซือเฉิงก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน “ฉันทำไม ที่มากไปน่ะนายชัดๆ มาถึงก็จะดึงตัวหลินเยวียน ฉันไม่ให้หลินเยวียนไปหรอกว้อย!”
“ทำไม”
“ไม่ทำไม”
“แล้วทำไมนายถึงมาพูดแบบนี้”
“ก็เขาเป็น…เอาเป็นว่านายไม่เข้าใจหรอก หลินเยวียนเป็นอัจฉริยะของสาขาการประพันธ์เพลง ไม่มีเขา สาขาการประพันธ์เพลงของก็สู้วิทยาลัยศิลปะฉินตงไม่ได้!”
“ถ้านายเป็นแบบนี้ฉันจะโกรธจริงๆ แล้วนะ!”
“โกรธไปก็ไร้ประโยชน์ นายจะดึงตัวใครไปก็ได้ แต่ไม่ใช่หลินเยวียน ต่อให้วันนี้นายพูดให้ตาย ฉันก็ไม่ปล่อยเขาไปหรอก”
ซือเฉิงสีหน้าเดือดดาล
หมอนี่ มาถึงก็ขอเซี่ยนอวี๋ไปเลย เหล่าข่งนายอยากตัดญาติกับสาขาการประพันธ์เพลงของฉันใช่ไหม!
“พวกเราสองคนเป็นเพื่อนกันมากี่ปี ขอคนเดียวก็ไม่ได้” ข่งอันถลึงตาใส่ซือเฉิง
ซือเฉิงขึ้นเสียงสูง “เพื่อนสนิทกัน มีเรื่องอะไรต้องคุยให้ชัดเจน นายต้องการตัวหลินเยวียน เคยนึกถึงความรู้สึกฉันบ้างไหม”
ข่งอันขู่ “ถ้านายไม่ปล่อยคนมา ก็ไม่ต้องเป็นเพื่อนกันแล้ว!”
ซือเฉิงแค่นหัวเราะเย็นเยียบ “เพื่อนอะไร ไม่ต้องปงไม่ต้องเป็นมันแล้ว!”
ข่งอันอึ้งไป
ไม่เป็นเพื่อนกันแล้วด้วย?
เขาเดือดดาลสุดขีด “มิตรภาพหลายปีของพวกเรา สู้หลินเยวียนคนเดียวไม่ได้?”
“เรื่องนี้ต้องถามนายมากกว่า ทำไมนายต้องมาดึงตัวหลินเยวียน ตอนนี้ฉันชักจะสงสัยแล้วว่านายเป็นสายลับจากวิทยาลัยศิลปะฉินตงหรือเปล่า ที่จริงแฝงตัวเข้ามาในวิทยาลัยเรา ถึงยังไงหลินเยวียนก็เป็นคนสาขาการประพันธ์เพลงของเรา ใครก็มาดึงตัวเขาไปไม่ได้”
“นาย…”
ทั้งสองคนทะเลาะกันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ช่วยของทั้งสองรุดเข้ามาช่วย แต่กลับถูกทั้งสองตวาดใส่ ไล่ไปกระเจิดกระเจิง
ทั้งสองมองหน้ากัน ทำได้เพียงถอนหายใจ
“ไปคุยกับอธิการ?”
“คงต้องอย่างนั้นละ”
สิบนาทีให้หลัง ซือหวายหนานอธิการบดีรุดมาถึงที่ ทันทีที่เข้ามาก็เอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น พวกเขาสองคนก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทกันหรือไง ทำไมจู่ๆ ถึงทะเลาะกันขึ้นมาได้”
ผู้ช่วยทั้งสองคนยิ้มขื่น “ถ้าท่านไม่มา ก็คงตีกันจริงๆ แล้วครับ”
ซือหวายหนานกล่าวอย่างหัวเสีย “เหลวไหล!”
เขาผลักประตูเข้าไปในห้องทำงาน ก็เห็นซือเฉิงกับข่งอันถลึงตาใส่กัน ไม่มีใครไว้หน้าใคร
เขาพูดอย่างจนปัญญา “เกิดอะไรขึ้น”
สองคนนี้นับว่าอยู่ในตำแหน่งที่สูงของสถาบัน ซือเฉิงมีศักดิ์เป็นถึงลูกพี่ลูกน้องของเขา ในฐานะอธิการบดีก็ไม่สามารถด่ากราดไม่ไว้หน้า จะต้องกระจ่างเสียก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น
“เรื่องของหลินเยวียนน่ะครับ”
ข่งอันเอ่ยด้วยความโมโห “ครั้งก่อนผมเคยบอกกับอธิการฯไปแล้ว ว่าหลินยวียนจากสาขาการประพันธ์เพลงเป็นอัจฉริยะด้านจิตรกรรม เขาต้องมาอยู่ที่คณะวิจิตรศิลป์ ผมเชื่อว่าเขาจะยกระดับคณะวิจิตรศิลป์ของวิทยาลัยเราได้แน่!”
“เก่งขนาดนั้นเชียว?”
ซือหวายหนานตกตะลึง เขาจำได้ว่าครั้งก่อนข่งอันประเมินนักศึกษาที่ชื่อหลินเยวียนคนนี้ไว้สูงมาก นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้จะสูงกว่าเดิมอีกขั้นหนึ่งแล้ว!
นี่ยังเป็นนักศึกษาอยู่หรือ?
ข่งอันกล่าว “ผมไม่ได้พูดเกินจริงนะครับ”
ซือหวายหนานมองไปยังซือเฉิง “หรือว่า…”
ซือเฉิงเอ่ยปาก “พี่ครับ”
ซือหวายหนานโบกมือรัว “นายหยุด เรียกอธิการฯ”
อกของซือเฉิงกระเพื่อมชั่วขณะหนึ่ง ขยับเข้าไปกระซิบข้างหูซือหวายหนาน
ซือหวายหนานสีหน้าเปลี่ยนทันใด “อะไรนะ! จริงเหรอ”
ซือเฉิงตอบอย่างหนักแน่น “จริงแท้แน่นอน! เหล่าโจวบอกกับผมเอง!”
ซือหวายหนานสีหน้าเปลี่ยนไม่หยุด ในใจกำลังปั่นป่วน ท้ายที่สุดแล้วก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมาดังลั่น
ทำไมถึงหัวเราะแบบนั้นล่ะ
ข่งอันเอ่ยถามด้วยความคลางแคลง “อธิการคงไม่ได้ลำเอียงหรอกใช่มั้ยครับ”
ซือหวายหนานแทบจะอยากต่อยเขาสักหมัด “ผมเป็นคนแบบนั้นหรือ?”
ข่งอันฮึดฮัดในคอ ไม่ได้ตอบอะไร
ซือหวายหนานครุ่นคิด ก่อนจะกล่าว “ให้เขาอยู่ที่สาขาการประพันธ์เพลงก็แล้วกัน เหล่าข่งนายไม่ได้บอกหรือว่าแม้หลินเยวียนจะอยู่สาขาการประพันธ์เพลง แต่ปกติแล้วเขาก็ไปสอนวาดรูปที่ชมรมจิตรกรรม”
“แต่ว่า…”
ซือหวายหนานกล่าวอย่างเด็ดขาด “ไม่มีแต่ว่า วิทยาลัยนี้ฉันเป็นคนตัดสินใจ แต่ซือเฉิงนายเองก็ระวังด้วย ถ้าหลินเยวียนเกิดเรื่องอะไรในสาขาการประพันธ์เพลง ต่อไปนายก็อย่าคิดจะเข้ามายุ่ง”
“อธิการบดีวางใจได้เลยครับ!”
ซือเฉิงตบอกเสียงดัง
ขณะที่ข่งอันกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง อธิการบดีก็รีบร้อนออกไป ไม่รู้ว่าจะรีบอะไรถึงขนาดนั้น
“ไม่ส่งนะ”
ซือเฉิงแทบไม่ได้มองข่งอัน
ข่งอันส่งเสียงในคอ “เรื่องของนายเถอะ”
เขาสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป
เรือแห่งมิตรภาพลำน้อยก็มาพลิกคว่ำด้วยประการฉะนี้
…………………………………………………….