เมื่อยูมินจูตรวจสอบจนแน่ใจกับตาแล้วว่าคนที่อยู่ด้านในเป็นผู้ชายจริงๆ เธอก็พูดอ้ำๆ อึ้งๆ
“ตายแล้ว เป็นผู้จัดการส่วนตัวจริงๆ สินะ ฉัน…ยังไงดีล่ะ ขอโทษด้วยแล้วกันนะคะ เดี๋ยวฉันจะมาบอกกับผู้จัดการส่วนตัวเองอีกที แน่นอนว่าคุณจะให้ฉันทำเป็นว่าเรื่องคราวนี้ไม่เคยเกิดขึ้นใช่ไหมคะ”
“แน่นอนอยู่แล้วครับ”
อีอูยอนยิ้มพลางจับข้อมือของเธอลากออกไปที่ประตูหน้าบ้าน แม้น้ำเสียงของเขาจะดูมีมารยาท แต่การกระทำของเขากลับไม่ได้เป็นแบบนั้น
“จะต้องทำเป็นว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นโดยเด็ดขาดนะครับ”
“ค่ะ ไว้อีกเดี๋ยวฉันจะ…”
อีอูยอนเปิดประตูหน้าบ้านและดันยูมินจูออกไป ยูมินจูไม่รู้แม้กระทั่งความจริงที่ว่าเธอถูกอีกฝ่ายไล่ทั้งๆ ที่ตัวเธอเองยังไม่ได้สวมรองเท้าด้วยซ้ำ เพราะอีอูยอนกำลังทำตายิ้มอย่างอ่อนโยนอยู่
“ให้มันเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นนะครับ คุณยูมินจู”
“เอ่อ คือฉัน…”
อีอูยอนเอ่ยขึ้นพร้อมกับเตะรองเท้าของหญิงสาวที่กองอยู่ที่ปลายเท้าของเขาออกไปอย่างแรง
“เพราะฉะนั้นกลับขึ้นห้องไปดีๆ นะครับ”
แม้จะมีน้ำเสียงหงุดหงิดของหญิงสาวดังมาจากด้านนอกหลังจากที่ประตูถูกปิดลง แต่อีอูยอนก็ไม่สนใจ ชเวอินซอบที่อาบน้ำเสร็จแล้วก็ออกมาข้างนอกหลังจากนั้นไม่นาน อีกฝ่ายมึนงงเพราะเรื่องที่น่าตกใจ และใบหน้าของเขาก็ยังคงแดงอยู่
“ขอโทษด้วยนะครับ เธอห้ามตัวเองไม่ได้เพราะเมาน่ะครับ คุณไม่ต้องไปฟังที่เธอพูดก็ได้”
“ไม่หรอกครับ ผมไม่เป็นอะไร แต่ว่า…เธอไปแล้วเหรอครับ”
ชเวอินซอบมองไปรอบๆ บ้านและเอ่ยน หน้าของเขายังแดงอยู่ เพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ และสีหน้าของเขาดูเหมือนจะร้องไห้ในไม่ช้าถ้าถูกตี
“ครับ เพิ่งกลับเมื่อสักครู่นี่เองครับ”
“…ครับ”
หยดน้ำที่ไม่ได้ถูกเช็ดเพราะความตกใจนองอยู่ตรงไหล่ของชเวอินซอบ อีอูยอนจึงยื่นผ้าเช็ดตัวให้อีกฝ่าย
“เช็ดเสียนะครับ”
“อ๋อ ขอโทษด้วยนะครับ”
ชเวอินซอบรับผ้าเช็ดตัวไปและเริ่มเช็ดน้ำที่หยดอยู่บนพื้น อีอูยอนถึงกับพูดไม่ออก เพราะความไม่น่าเชื่อตรงหน้า
“ไม่ครับ ผมให้คุณเช็ดผมน่ะครับ”
“เอ่อ อะ อันนี้นะครับ”
ใบหน้าของชเวอินซอบแดงขึ้นมาหนึ่งระดับ เขาลุกขึ้นมาอย่างลังเลและเช็ดผมตัวเองด้วยผ้าที่เขาเพิ่งจะเอาไปเช็ดพื้น
อีอูยอนคิดว่าถ้าเป็นถึงขนาดนี้ มันก็ยากที่จะแยกแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนโง่หรือเป็นคนซื่อกันแน่ เขาหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่มาเพิ่มอีกหนึ่งผืนและยื่นให้ชเวอินซอบใช้เช็ดผม ไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้นอีกระหว่างคนทั้งคู่
อีอูยอนอารมณ์ไม่ดีเพราะการบุกรุกของยูมินจู และเขาก็ไม่มีอารมณ์แกล้งทำตัวเป็นคนอ่อนโยนและพูดจาเอาใจใส่อีกฝ่ายด้วย ชเวอินซอบเองก็ปิดปากเงียบ เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะพูดอะไรออกไป ชเวอินซอบที่ค่อยๆ เช็ดหยดน้ำที่อยู่บนผมอย่างพิถีพิถันในขณะที่ยืนอยู่นั้นเป็นฝ่ายพูดก่อน
“งั้นผมกลับก่อนนะครับ”
“ครับ วันนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองเอาแต่รบกวนคุณยังไงก็ไม่รู้นะครับ”
“ไม่หรอกครับ อย่าใส่ใจเลยครับ”
“ช่วยลืมเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ไปทีนะครับ”
อินซอบไม่ใช่คนไม่มีเซ้นส์ถึงขนาดที่ไม่รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้หมายถึงเรื่องอะไร
“ครับ ผมจะทำตามนั้นครับ”
“อย่าบอกกรรมการผู้จัดการคิมนะครับ เพราะเขาน่าจะมีงานเยอะมาก ผมไม่อยากเอาความกังวลไปให้เขาน่ะครับ”
ถ้ากรรมการผู้จัดการคิมรู้เรื่องนี้ เขาจะต้องพุ่งตัวเข้ามาพูดจนน้ำลายแตกฟองอย่างแน่นอน นี่นายจัดการปัญหาเรื่องผู้หญิงยังไง มันถึงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกัน หา
แค่คิดเขาก็ขนลุกแล้ว อีอูยอนเป็นนักแสดงที่เป็นหน้าเป็นตาของบริษัท JN แม้เขาจะไม่สนใจข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ แต่เขาก็ไม่อยากขึ้นหน้าหนึ่งด้วยเรื่องแบบนี้ภายในไม่กี่วันเหมือนกัน ไม่ว่าเขาจะมีนิสัยชอบทำตามใจตัวเองมากแค่ไหนก็ตาม
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
ชเวอินซอบพยักหน้าและตอบรับเหมือนสุนัขเชื่องๆ ที่เชื่อฟังคำสั่ง อีอูยอนไม่ชอบคนปากพล่อยด้วยเหมือนกัน
“…ปิดให้สนิทแล้วค่อยออกไปนะครับ”
“ครับ?”
“เปล่าครับ จะให้เรียกแท็กซี่ให้ไหมครับ”
แม้จะฟังดูเหมือนเป็นความใส่ใจที่อ่อนโยน แต่มันเป็นการไล่แขกที่ชัดเจนพอสมควร ชเวอินซอบโบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร และคว้าข้าวของของตัวเองออกไปข้างนอก
“ ‘ตาไว’[1] เหมือนกันนะ”
ยิ่งคิดก็ยิ่งอดรู้สึกไม่ได้ว่าอีกฝ่ายอาจเป็นผู้จัดการส่วนตัวที่เหมาะกับเขา
มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาคนที่เงียบ เสียสละ ตาไว ไม่ปากพล่อย และมีความจริงใจ
มาลองดูกัน ถึงจะแค่สามเดือน แต่อีกฝ่ายจะได้ทำงานอย่างหนักได้ตลอดระยะเวลานั้นแน่นอน
“ไปพาคนแบบนั้นมาจากไหนกันนะ”
การที่อีกฝ่ายเข้ามาได้อย่างเหมาะเจาะทันทีที่หัวหน้าทีมคิมลาออกไปช่างสมบูรณ์แบบ ระหว่างที่คิดแบบนั้น เรือนร่างของชเวอินซอบที่เขาเห็นเพราะยูมินจูพยายามจะเปิดประตูห้องน้ำก็โผล่เข้ามาในหัว ดูเหมือนยูมินจูที่เมาเหล้าจะเห็นความจริงเพียงว่าเจ้าของร่างเปลือยเปล่าคือผู้ชาย เพราะไอน้ำที่มีอยู่เต็มห้องน้ำ แต่สำหรับอีอูยอนที่ภูมิใจกับค่าสายตาที่ปกติ เขามองเห็นรอยแผลเป็นที่เหลืออยู่บนหน้าอกอย่างชัดเจน แม้จะเห็น แต่อีอูยอนก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป ตอนนี้มันไม่สำคัญหรอกว่าผู้จัดการส่วนตัวที่มีใบหน้าเรียบร้อยจะมีอดีตแบบไหน หลังจากที่อีอูยอนพิจารณายี่ห้อของไวน์ที่ยูมินจูถือมาแล้ว เขาก็เทไวน์ลงอ่างล้างจานอย่างไม่ลังเล
***
“อะไรกันเนี่ย ลมอะไรหอบมาล่ะ ถึงได้มาหาฉันที่ห้องทำงานได้”
กรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงที่เห็นอีอูยอนนั่งอยู่บนโซฟาขมวดคิ้วราวกับเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น
“ว่าจะมาทักทายด้วยน่ะครับ ไม่ได้มานานแล้ว”
“แล้วนั่นกำลังอ่านอะไรอยู่ล่ะ”
“เรซูเม่ของผู้จัดการส่วนตัวครับ”
“ว่าไงนะ ของใคร”
“ของคุณชเวอินซอบครับ”
“เจ้านั่นทำไมอีกล่ะ เขาเป็นอะไร นี่นายพยายามจะทำอะไรกันแน่ หา!”
“ผมจะไปทำอะไรล่ะครับ ถ้าคนอื่นมาได้ยิน เขาจะเข้าใจผิดเอานะครับท่านกรรมการผู้จัดการ”
คำพูดนี้ไม่ใช่คำโกหก อีอูยอนไม่เคยทำอะไรเลย ผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ปรับตัวได้เร็วจนน่าตกใจ อีกฝ่ายเตรียมอาหารที่เขาชอบเอาไว้ แม้แต่เพลงที่อีกฝ่ายเลือกเปิดในระหว่างทางกลับบ้านก็ดี อีกฝ่ายรู้แม้กระทั่งความชอบในเรื่องกาแฟของเขาที่มักจะดื่มอเมริกาโน่ในเวลาปกติ และดื่มลาเต้ในวันที่ฝนตก
แม้แต่ความสามารถในการเลือกเสื้อผ้าของอีกฝ่ายก็ดีพอที่จะทำให้โคดี้ประทับใจ เขาเลือกเสื้อผ้าที่น่าจะเข้ากับอีอูยอนได้ราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญ ไม่เพียงเท่านั้นอีกฝ่ายยังแสดงออกว่าเขาอ่านสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว และจะถอยออกไปในตอนที่อีอูยอนอารมณ์เสียทันที ผู้จัดการส่วนตัวของเขาสมบูรณ์แบบสมบูรณ์แบบเสียจนเขาหงุดหงิด เพราะอีกฝ่ายสมบูรณ์แบบเกินไป
“แล้วทำไมนายถึงมาอ่านเรซูเม่ของเจ้าเด็กอินซอบนั่นล่ะ”
“ก็เขาเป็นคนที่ทำงานกับผมนี่ครับ ผมก็ต้องมีเรื่องให้สงสัยอยู่แล้ว”
“มันก็ฟังดูมีเหตุผลนะ แต่จนถึงตอนนี้นายเคยอ่านเรซูเม่ของผู้จัดการส่วนตัวสักครั้งหรือยัง”
“แล้วผมจะอ่านบ้างไม่ได้เลยเหรอครับ”
อีอูยอนไม่ยอมเงยหน้าขึ้น เขาอ่านจดหมายแนะนำตัวของชเวอินซอบพลางเอ่ยถาม หลังจากที่ตัวตนแท้จริงอันแสนเน่าเฟะของเขาถูกจับได้ เขาก็เลยแสดงนิสัยเดิมของตัวเองออกมาต่อหน้ากรรมการผู้จัดการคิม
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอกนะ…”
“อย่างนั้นมันก็เท่ากับได้สินะครับ”
อีอูยอนไล่สายตาอ่านเรซูเม่ของชเวอินซอบอย่างละเอียด
“ทำไมล่ะ มีปัญหาอะไรกันแน่”
“ไม่ได้มีปัญหาอะไรครับ”
“แล้ว?”
“เพราะมันไม่มีเลยนี่แหละครับปัญหา”
“มีปัญหาก็ว่า ไม่มีปัญหาก็ว่า โอ๊ย นี่นายเป็นคนยังไงกันแน่เนี่ย”
กรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงส่งเสียงร้องที่เจ็บปวดออกมา และนั่งลงตรงข้ามกับอีอูยอน อีอูยอนมองเสื้อผ้าของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าวันนี้เขาใส่ใจตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็หัวเราะหึออกมา
“แต่งตัวแบบนี้เหมือนกรรมการผู้จัดการเป็นดาราซะเองเลยนะครับ”
“ฉันเหรอ ก็เคยเป็นแล้วนะ เมื่อก่อนฉันเป็นนายแบบไง”
“อย่างนั้นเหรอครับ ผมไม่รู้เลยแหะ”
“…ใช่สิ นายรู้อะไรบ้างล่ะ นายมันไม่ค่อยจะสนใจคนอื่นนี่”
“เปล่านะครับ ผมสนใจคนอื่นจะตาย”
“ก็ได้ๆ นายนี่สมกับนักแสดงฝีมือดีนี่นะ อย่ามาพูดโกหกไปหน่อยเลย”
อีอูยอนก้มลงอ่านเรซูเม่ของชเวอินซอบอีกครั้งในขณะที่ฟังเสียงก่นด่าของกรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงไปด้วย
[1] ตาไว สำนวนเกาหลีหมายถึงการรับรู้ถึงบรรยากาศรอบข้างได้อย่างรวดเร็ว หรืออ่านบรรยากาศออกไว