“แล้วมันทำไมกันแน่ ฉันเลือกชเวอินซอบมากับมือเลยนะ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่”
“ครับ ตามเรซูเม่แล้วก็เหมือนจะเป็นแบบนั้น”
ชเวอินซอบในเรซูเม่ดูธรรมดามากพอที่จะถูกเสนอให้เป็นมาตราฐานของชายชาวเกาหลี เขาเป็นลูกชายคนที่สองจากบรรดาลูกชายสองคนและลูกสาวหนึ่งคน เขาเกิดที่โซลและเรียนจบจากมหาวิทยาลัยในโซลภายในสี่ปี แม้จะมีความพิเศษตรงที่ได้เข้าทำงานและเรียนภาษาที่อเมริกาอยู่พักหนึ่งเพราะได้คะแนนโทอิกแปดร้อยคะแนนก็ตาม
“การทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวมันไม่ดูน่าเสียดายไปหน่อยเหรอครับ”
“เดี๋ยวนี้การได้งานทำก็เหมือนกับการคว้าดาวในท้องฟ้านั่นแหละ มีคนที่เรียนรู้งานจากที่นี่แล้วไปเปิดบริษัทฝึกสอนการเป็นผู้จัดการส่วนตัวด้วยเหมือนกันนะ”
“แล้วชเวอินซอบจะเป็นคนแบบนั้นหรือเปล่าครับ”
เขาไม่แม้แต่จะจินตนาการเลยว่าคนที่ดูเจียมเนื้อเจียมตัวและเงียบๆ คนนั้นจะไปทำธุรกิจ
“ไม่หรอก เด็กนั่นไม่ใช่คนแบบนั้น อืม ถึงเขาจะดูพิเศษอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้แย่อะไรนี่ แล้วเขาทำงานเป็นยังไงบ้างล่ะ เขาทำงานดีไหม”
“ครับ”
“โอเค ใช้เขาดีๆ ล่ะ เพราะดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่ใช้ได้เลย แล้วไหนๆ ก็มาแล้ว นายเอาบทที่มีคนเสนอเข้ามาไปดูหน่อยสิ”
“บทเหรอครับ นั่นมันเป็นเรื่องที่กรรมการผู้จัดการต้องเลือกให้ผมไม่ใช่เหรอครับ”
อีอูยอนมอบอำนาจในการเลือกบทให้กรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงมานานแล้ว เพราะสายตาของอีกฝ่ายที่ใช้ดูผลงานนั้นต่างจากคนอื่น
“ก็มันมีบทดีๆ เข้ามาเยอะเลยนี่ ชอบบทไหนบ้างไหมล่ะ”
“บทตัวร้ายครับ”
อีอูยอนยิ้มก่อนที่จะตอบ กรรมการผู้จัดการคิมปฏิเสธอย่างเฉียบขาด
“ไม่ได้ ถ้านายเล่นบทนั้นล่ะก็ มันจะน่ากลัวมากๆ เพราะนายจะเปิดเผยนิสัยจริงๆ ของนายออกมา เห็นได้ชัดเลยว่าคนที่หูตาไวบางคนเขาเริ่มรู้ถึงนิสัยของนายแล้ว”
อีอูยอนที่มีภาพลักษณ์นุ่มนวลอยากจะรับบทตัวร้าย และทุกๆ ครั้งกรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงก็จะส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด เขายืนกรานว่าเพราะมันเป็นความจริงมากเกินไป ตัวตนที่แท้จริงจะต้องโผล่ออกมาแน่ๆ
“ถ้าเล่นแต่บทคนดีมากๆ ภาพลักษณ์ของผมก็จะน่าเบื่อนะครับ บทนี้เป็นไงครับ บทฆาตกรต่อเนื่อง ดูน่าสนุกนะครับ”
อีอูยอนหยิบบทที่กรรมการผู้จัดการคิมคัดออกขึ้นมาและพูด
“…เหมาะมาก”
“ฮ่าๆๆ กรรมการผู้จัดการก็เป็นไปกับเขาด้วยเหรอครับ ผมจะไปฆ่าใครเขาได้ล่ะ บทนี้ก็ดูใช้ได้นะครับ บทฆาตกรโรคจิตที่รักนางเอกมากๆ จนเป็นบ้า”
“บอกว่าอย่าเล่นบทฆาตกรยังไงล่ะ พอนายเล่นบทแบบนั้นครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นมันก็จะมีบทฆาตกรเข้ามาอีกเรื่อยๆ แล้วงานโฆษณาก็จะหายไปหมดนะ”
“ผมก็หาเงินได้มากเท่าที่จะถูกลงโทษแล้วนี่ครับ ถ้าโฆษณามันจะหายไปบ้างแล้วมันจะยังไงล่ะครับ”
“พอแล้ว หยุดพูดจาไร้สาระสักที แล้วก็เอาบทพวกนี้ไปเลือก”
กรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงว่าพลางเลื่อนบทที่ตนเลือกเอาไว้แล้วไปตรงหน้าอีอูยอน
อีอูยอนไล่สายตามองหน้าปกของบทและหยิบขึ้นมาอันหนึ่ง
“อันนี้ดูใช้ได้เลยครับ ทั้งโปรดิวเซอร์ทั้งนักเขียนก็ไม่เลว แล้วกระแสตอบรับก็น่าจะไม่แย่ด้วย เพราะมันเป็นละครที่มีเซทติ้งเป็นยุคปัจจุบัน”
“ใช่ไหมล่ะ ฉันก็ว่าเรื่องนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน นักเขียนคนนี้เขาบอกว่าอยากจะทำงานกับนาย ก็เลยส่งบทนี้มาให้ก่อนใครเลย”
“แล้วคุณก็เชื่อคำโกหกประเภทนั้นเหรอครับ กรรมการผู้จัดการคิมนี่อ่อนต่อโลกต่างจากที่เห็นเลยนะครับเนี่ย”
เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วว่าต่อให้พวกเขาส่งบทให้นักแสดงคนอื่นๆ แล้วถูกปฏิเสธกลับมา พวกนักเขียนก็จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น และบอกว่าฉันนึกถึงคุณก็เลยเขียนมันขึ้นมากันทั้งนั้น
“ไอ้นี่หนิ เวลานายไปหาใคร ก็ต้องได้ยินข่าวลือนั้นมาบ้างไม่ใช่หรือไง เขาพูดจริงๆ นะ นี่นายจะต้องสงสัยคำพูดของคนอื่นเอาไว้ก่อนเหรอ”
“ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกครับ”
อีอูยอนแสยะยิ้มและมองบทอย่างผ่านๆ ทุกครั้งที่เขาแสยะยิ้ม กรรมการผู้จัดการคิมจะขนลุกขึ้นมา พวกผู้หญิงที่ไม่รู้ตัวตนของเขาชื่นชมว่าฟันที่เรียงตัวเป็นระเบียบของอีอูยอนนั้นสวย แต่กรรมการผู้จัดการคิม กลับไม่สามารถคิดแบบนั้นได้
“งั้นก็เล่นบทนี้แล้วกันครับ ยังไงบทมันก็ไม่แย่อยู่แล้ว”
“โอเค เข้าใจแล้ว ฉันจะติดต่อเขาไปนะ”
“ขอบคุณครับ”
อีอูยอนลุกขึ้น ในมือของเขายังคงถือเรซูเม่ของชเวอินซอบเอาไว้
“แล้วนั่นจะเอาไปไหน”
“จะเอาไปอ่านหน่อยน่ะครับ”
“อย่าทำแบบนั้นเลย มันน่ากลัวนะ ถ้าจะเขี่ยทิ้งก็เขี่ยไปเฉยๆ ก็พอ…ไม่สิ ห้ามเขี่ยทิ้งเด็ดขาดเลยนะ ได้โปรด แค่อ่านเรซูเม่ฉันก็เบื่อจะแย่แล้ว”
“ผมไม่เคยเขี่ยใครนะครับ”
อีอูยอนพูดทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนจะออกไป จากนั้นหัวหน้าทีมชาที่จัดการเอกสารอยู่เงียบๆ คนเดียวตรงมุมห้องก็เปิดปากพูด
“ก็ถูกของเขานะครับ หมอนั่นไม่เคยเขี่ยใคร พวกเขาออกไปเองกันทั้งนั้น”
“มีใครไม่รู้บ้างล่ะ! ยังไงก็ตามคราวนี้หัวหน้าทีมชาก็ช่วยระวังไม่ให้อีอูยอนแสดง ‘ผลงานชิ้นเอก’ ออกมาหน่อยนะ แล้วก็ช่วยชเวอินซอบเขาด้วย เข้าใจไหม”
“ครับ ผมจะทำตามนั้นครับ”
“ถ้าหัวหน้าทีมชาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนก็จบแล้ว แต่ดันยืนกรานว่าต่อให้ตายก็จะไม่ทำซะได้ มันถึงได้เหนื่อยอย่างนี้ไงล่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงแผดเสียงออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ทันทีที่เขาทำแบบนั้นหัวหน้าที่ชาที่เรียงเอกสารอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมา
“…เห็นผมแล้วยังอยากให้ผมไปเผชิญกับนรกขุมนั้นอีกเหรอครับ คุณเห็นสภาพที่ผมกระอักเลือดออกมาแล้ว คุณยังจะพูดแบบนั้นอีกเหรอครับ”
“…”
***
วันต่อมาหลังจากที่พวกเขารู้นิสัยที่เน่าเฟะของอีอูยอน กรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงก็เรียกหัวหน้าทีมชาให้มาหา และฝากฝังอีอูยอนให้เขาดูแล ตอนนั้นหัวหน้าทีมชาพยักหน้ารับอย่างมีมารยาท เพราะเขาคิดว่าถ้านิสัยที่แท้จริงของเจ้านั่นถูกเปิดเผยขึ้นมาต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ แต่ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเดือนดีคนที่เกิดเรื่องใหญ่กลับเป็นหัวหน้าทีมชาเสียเอง อีอูยอนไม่จำเป็นต้องเสแสร้งต่อหน้าหัวหน้าทีมชาจึงแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวของตนออกมา และในที่สุดหัวหน้าทีมชาก็สำลักเป็นเลือดและล้มลงไปกอง หลังจากวันนั้นหัวหน้าทีมชาก็ประกาศว่าเขาจะไม่ทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนอีกแล้ว
“ถ้าให้ผมเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนอีกรอบ ผมก็ไม่ใช่คนแล้วครับ ถ้าหากทำถึงขนาดนั้น วันที่ผมคงตัดสินใจลาออกจากวงการนี้ แล้วเรียกนักข่าวของหนังสือพิมพ์กีฬามาฟังแถลงข่าวต้องมาถึงแน่ๆ เพราะฉะนั้นคุณเอาไปทำเองเถอะครับ”
“ไม่ทำ บอกว่าไม่ทำไงล่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมมองกระจกและจัดแต่งทรงผมที่ยุ่งเหยิงของตัวเองก่อนจะเขาบ่นพึมพำ
“จิ๊ คนที่น่าจะรับนิสัยที่แท้จริงของอีอูยอนได้ทั้งหมดมันไม่มีอยู่บนโลกหรือไงกันนะ โธ่เว้ย”
หัวหน้าทีมชาวางเอกสารที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะอย่างแรงและตะโกนขึ้นมา
“ถ้ามีคนเสียสติแบบนั้นอยู่บนโลก ผมจะเรียกเขาว่าท่านพี่และติดตามเขาไปชั่วชีวิตเลยครับ! ว่ากันว่าความหวังมันก็เป็นได้แค่ความหวัง ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะครับ ให้ตายสิ!”
“ไม่มีก็ไม่มีสิ ทำไมจะต้องตะโกนด้วยเล่า”
กรรมการผู้จัดการคิมโต้กลับ หัวหน้าทีมชาพยายามควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองและออกไปเข้าห้องน้ำ กรรมการผู้จักการคิมกลืนความขมขื่นลงไปและจัดการบทที่อีอูยอนวางทิ้งไว้ เขานึกถึงชเวอินซอบ ผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ที่นิสัยดีและมีความสามารถขึ้นมาในหัว
“ถ้าเขาเป็นแบบนั้นได้ก็คงจะดี…แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
เขาส่ายหน้าและไล่ความคิดที่ผุดขึ้นมาเมื่อกี้ออกไปจากหัว
***
“นี่เป็นเนื้อหาที่จะสัมภาษณ์ในวันนี้นะครับ ส่วนคำตอบผมใช้เนื้อหาที่คุณเคยให้สัมภาษณ์ไว้เขียนเอาไว้คร่าวๆ แล้วครับ”
นี่เขาเอาเวลาที่ไหนมาเตรียมของแบบนี้ทั้งๆ ที่ทำงานตัวติดกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำนะ เขาถึงกับสงสัยว่าเวลาของชเวอินซอบไม่ได้แบ่งเป็นยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่แบ่งเป็นสามสิบหกชั่วโมงหรือเปล่า
“…คุณไม่ต้องการเหรอครับ”
ดวงตากลมโตกะพริบซ้ำๆ และชเวอินซอบก็เอ่ยถาม
“เปล่าครับ ขอบคุณนะครับ”
อีอูยอนรับเอกสารมาถือเอาไว้และไล่สายตาอ่านคำถามและคำตอบที่อีกฝ่ายคาดเอาไว้ ปกติแล้วพวกนักข่าวจะส่งคำถามที่จะถามในวันนั้นมาก่อนสัมภาษณ์ นักข่าวที่จะสัมภาษณ์เขาวันนี้โด่งดังในเรื่องของการโยนคำถามที่ทำให้ลำบากใจใส่พวกดารา เพราะฉะนั้นบริษัทต้นสังกัดจึงเรียกร้องให้มีการส่งคำถามมาล่วงหน้า
“ดูเหมือนจะใช้เวลาในการสัมภาษณ์ประมาณหนึ่งชั่วโมงสี่สิบนาทีนะครับ”
อีอูยอนอ่านกระดาษคำถามพลางประเมินเวลาและพึมพำ เขาวางแผนเอาไว้ว่าหลังเสร็จจากตารางงานนี้แล้ว เขาจะกลับบ้านไปพักผ่อน
“วันนี้น่าจะเลิกเร็วนะครับ”
“ครับ ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น”
“ถ้าเสร็จงานแล้วคุณจะทำอะไรเหรอครับ ไปเดตเหรอ”
“เอ่อ ไม่มีหรอกครับ เรื่องแบบนั้นน่ะ”
“ทำไมล่ะครับ คุณไม่มีแฟนเหรอ”
“…ครับ”
เขาเห็นว่ามือที่กำลังจับพวงมาลัยอยู่นั้นเกร็งขึ้น อีอูยอนเอนตัวพิงเบาะและพูดต่อ
“ถ้าอย่างนั้นคุณทำอะไรในวันหยุดเหรอครับ”
“ก็แค่…พักอยู่บ้านครับ”
ทันทีที่คำตอบซึ่งไร้ซึ่งความสนุกถูกตอบกลับมา อีอูยอนก็ล้มเลิกความสนใจที่มีต่อผู้จัดการส่วนตัวไปและหลับตาลง ชเวอินซอบนึกกังวลว่าเขาควรจะตอบคำถามอื่นเพิ่มไปด้วยไหมก่อนจะตรวจดูให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายหลับตาลงไปแล้วและถอนหายใจออกมา ชเวอินซอบจอดรถลงตรงหน้าคาเฟ่ย่านชองดัมดงซึ่งเป็นสถานที่นัด เขาหันกลับไปถามอีกฝ่าย
“ถึงแล้วครับ จะให้ผมไปรอที่ไหนดีครับ”
“เข้าไปดื่มชาด้วยกันสักแก้วสิครับ”
“ครับ? ผมว่า…”
แม้แต่คำพูดที่ไม่ได้สำคัญอะไร ชเวอินซอบก็ยังทำสีหน้าจริงจังและโบกไม้โบกมือปฏิเสธ อีอูยอนบอกว่าเขาล้อเล่นและลงไปจากรถ ชเวอินซอบกดมืออีกข้างลงกับฝ่ามือของตัวเอง มันเป็นนิสัยที่เพิ่งเกิดขึ้นช่วงนี้ เอาล่ะ ตั้งสติซะ!
“สู้ๆ”
ชเวอินซอบเอาฝ่ามือตบเข้าที่แก้มและเรียกพลังกายและใจของตัวเอง เขานึกถึงสุภาษิตเกาหลีที่บอกไว้ว่า ‘ต่อให้ถูกเสือกัด ถ้าหากมีสติเราก็จะสามารถเอาชีวิตรอดได้’
เขาหาที่จอดรถเป็นอันดับแรก พอจอดรถเสร็จแล้วเขาก็เดินออกมาข้างนอก ชเวอินซอบดูให้แน่ใจว่าอีอูยอนกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามกับนักข่าวในคาเฟ่ที่เป็นกระจกบานใหญ่บานเดียว แล้วจับจองที่นั่งบริเวณโซนที่นั่งด้านนอก พนักงานในร้านออกมาด้านนอกและบอกเขาว่าด้านในยังมีที่นั่งอยู่ แต่เขาตอบกลับไปว่าเขาจะอยู่ตรงนี้ เนื่องจากอากาศยังหนาวอยู่ พนักงานผู้ใจดีจึงเอาผ้าคลุมตักมาให้ลูกค้าผู้แสนประหลาดพร้อมกับกาแฟที่เขาสั่ง ชเวอินซอบคลุมผ้าลงบนตักของตัวเองและกุมแก้วกาแฟอุ่นๆ ไว้เพื่อให้นิ้วที่กำลังชาของเขาอุ่นขึ้น
ตามข้อมูลที่เขารวบรวมมาตลอด อีอูยอนไม่ชอบให้ผู้จัดการส่วนตัวตามติดอยู่ข้างๆ ตน การรักษาระยะห่างอย่างเหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญ แม้ใจจริงเขาจะอยากเกาะติดอยู่ข้างๆ และถ่ายรูปอีกฝ่ายสักวินาทีละใบ แต่ตอนนี้เขาทำแบบนั้นไม่ได้ เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ชเวอินซอบรู้ถึงความจริงที่ว่าระยะเวลาที่ตัวเองจะได้อยู่ข้างๆ อีอูยอนในฐานะผู้จัดการส่วนตัวอย่างมากที่สุดก็คือสามเดือน
“อยู่เฉยๆ เถอะ เพราะนี่มันก็เป็นวันที่สิบแล้ว…เฮ้อ”
ชเวอินซอบลองเอานิ้วขึ้นมานับเวลาที่ตัวเองเหลืออยู่และถอนหายใจ
ชเวอินซอบเบนสายตากลับไปที่อีอูยอนด้วยความเคยชิน
ภาพของอีอูยอนที่กำลังพูดคุยกับนักข่าวอยู่ตรงหน้าต่างช่างงดงามราวกับภาพวาด เขามองภาพของอีอูยอนผู้มีใบหน้าสุภาพอ่อนโยนและงดงามถือแก้วกาแฟเอาไว้ในมือราวกับมองภาพวาดที่ถูกศิลปินผู้มอบวิญญาญให้ซาตานวาดขึ้น
“…เอ๊ะ?”
ชเวอินซอบที่แอบมองภาพด้านข้างของอีอูยอนอยู่นั้นลุกขึ้นอย่างไม่ลังเล