พอสองคนนั้นออกไปแล้วภายในห้องจึงเหลือแค่อีอูยอนกับพนักงานนวดที่กำลังนวดไหล่ของเขาอยู่และชเวอินซอบเท่านั้น เวลาผ่านไปไม่นานพนักงานนวดที่นวดเสร็จแล้วก็เอ่ยถามอีอูยอนเบาๆ
“มีตรงไหนที่รู้สึกไม่สบายอีกไหมคะ”
“ไม่มีแล้วครับ”
“งั้นจะขอจบการนวดนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
อีอูยอนยันตัวขึ้น ร่างกายท่อนบนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อปรากฏแก่สายตา อินซอบนึกถึงเพลงสรรเสริญไหล่กว้างๆ นั่นที่เขาเคยแต่งกับเจนนี่ขึ้นมาได้ในทันทีที่เห็นไหล่กว้างๆ ของอีกฝ่าย
เจนนี่ชอบไหล่กว้างๆ ของเจ้าชายเป็นพิเศษ เธอยืนกรานว่าจะต้องแต่งเพลงเกี่ยวกับความยิ่งใหญ่นั่นและส่งต่อเป็นมรดกจากรุ่นสู่รุ่น เจนนี่ชื่นชอบการเขียนกลอนหรือการแต่งเพลง เธอมักจะเขียนผลงานเพื่อเจ้าชายกับตนออกมาเสมอ แน่นอนว่าผลงานเหล่าไม่เคยส่งไปถึงเจ้าชายเลย
ไหล่ของควอเตอร์แบ็ก
เจนนี่มักจะเรียกไหล่ของเจ้าชายแบบนั้นเสมอ
“ว่าไงครับ คุณจะถามอะไรหรือเปล่า”
อีอูยอนที่สวมเสื้อคลุมอยู่รู้สึกถึงสายตาของเขาและเอ่ยถาม
“เปล่าครับ”
ชเวอินซอบรีบเบือนหน้าหนี ดูเหมือนเขาจะเหม่อลอยและจ้องมองไหล่ของอีอูยอนโดยไม่ตั้งใจ หัวใจเขาเต้นตึกตัก หัวใจของเขาเป็นไปอย่างที่ตัวมันเองต้องการแค่เพราะเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำที่เขานึกถึงเพียงชั่วครู่
อินซอบเอามือกดลงบนหน้าอกและพยายามทำให้หัวใจของตนกลับมาสงบ
“งั้นผมขอออกไปรอข้างนอกก่อนนะครับ”
ชเวอินซอบลุกขึ้น คำพูดของหัวหน้าทีมชาที่ว่าแค่นวดเท้าความเหนื่อยก็หายเป็นปลิดทิ้งไม่ใช่คำพูดเกินจริงเลย เพราะเท้าของเขารู้สึกเบาขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด
นี่คงเป็นศาสตร์การเยียวยาบำบัดด้วยพลังงานที่น่าพิศวงของเกาหลีสินะ
แม้เขาจะใช้ภาษาเกาหลีได้เหมือนเป็นภาษาแม่ เพราะโตมาภายใต้การเลี้ยงดูของพ่อบุญธรรมที่เป็นคนเกาหลี แต่ในด้านวัฒนธรรมส่วนใหญ่มักเป็นสิ่งที่เขาเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก
ชเวอินซอบเพียงแต่ไม่ได้พูดออกไป แต่ที่จริงสำหรับเขาแล้วทุกๆ วันล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราวแปลกใหม่
ในขณะที่เขากำลังเรียบเรียงเนื้อหาที่เขาจะกลับบ้านไปจดลงในสมุดโน้ตเสียใหม่อยู่ในใจ ใครบางคนก็แตะไหล่เขา พอเขาหันหลังไปก็พบกับผู้หญิงที่คุ้นหน้าอย่างประหลาดกำลังยิ้มหวานอยู่
“สวัสดีครับ”
ชเวอินซอบเป็นฝ่ายก้มหัวทักทายก่อน แม้ตัวเขาจะจำไม่ได้ แต่ถ้าฝ่ายนั้นรู้จักเขา ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าน่าจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน
“ผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนใช่ไหมคะ”
“ครับ ใช่แล้วครับ”
“จำฉันไม่ได้เหรอคะ”
ในระหว่างที่ชเวอินซอบกำลังคิด ผู้หญิงคนนั้นก็ยิ้มแปลกๆ และไล่มองเขาจากด้านล่างขึ้นด้านบน
“แต่ฉันจำวันนั้นได้แม่นเลยนะคะ”
“…อ๋อ”
ชเวอินซอบหน้าเครียด เธอคือหญิงสาวที่เขาเคยเจอที่บ้านของอีอูยอนแค่ครู่เดียวจริงๆ ตอนนั้นเขาไม่ได้มองอีกฝ่ายให้ดี เพราะตนกำลังเปลือยร่างอาบน้ำอยู่ แต่รูปร่างหน้าตาโดยรวมยังคงหลงเหลืออยู่ในความทรงจำ
“คุณอูยอนอยู่ที่ไหนเหรอคะ มาด้วยกันใช่ไหม”
“…”
เกิดความขัดแย้งขึ้นในใจ จากที่เขาเห็นบรรยากาศในวันนั้นอีกฝ่ายไม่น่าจะแยกกับอีอูยอนด้วยดี เขาจึงไม่มั่นใจว่าเขาควรบอกอีกฝ่ายดีหรือไม่ว่าว่าอีกเดี๋ยวอีอูยอนคงออกมา
“ไม่ได้มาที่นี่พร้อมกับคุณอูยอนเหรอคะ”
“มาด้วยกันครับ”
“งั้นเขาอยู่ที่ไหนล่ะคะ”
“…”
ชเวอินซอบที่เงียบไปครู่หนึ่งก็กล่าวขอโทษพร้อมกับก้มหัวลง
“ขอโทษเรื่องอะไรเหรอ”
“เรื่องที่ผมไม่มีคำพูดอะไรจะให้ครับ”
ใบหน้าของยูมินจูที่กำลังยิ้มพลันแดงขึ้นมา ดูเหมือนตอนนี้เธอจะเข้าใจแล้วว่าผู้จัดการส่วนตัวกำลังพูดถึงอะไรอยู่
“นี่ นายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร”
“…”
“ฉันคือยูมินจูนะ ไม่รู้จักยูมินจูหรือไง”
“ขอโทษครับ”
ชเวอินซอบกล่าวคำเดิมซ้ำๆ ยูมินจูที่โกรธจนควันออกหูเพราะท่าทีที่ดื้อรั้นของตนเริ่มแผดเสียง
“นี่ นายเป็นบ้าหรือไง ผู้จัดการส่วนตัวอย่างแกพูดอะไรออกมา หา!”
“…”
“อีอูยอนอยู่ที่ไหน”
“ขอโทษครับ”
“ไอ้นี่ ล้อกันเล่นหรือไง”
เขาตาลายไปพักหนึ่ง ชเวอินซอบหน้ามืดและรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกระทบหน้าของเขา แต่เขาไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วตัวเองโดนตบแก้ม
“อวดดีนักนะแก”
ยูมินจูใช้ฝ่ามือฟาดแก้มของชเวอินซอบติดต่อกันอยู่หลายที คนที่อยู่ตรงเคาท์เตอร์วิ่งมาเพราะคิดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ไม่มีใครสามารถห้ามเธอได้เลย เพราะเธอทำให้ข่าวลือพวกนั้นเป็นจริงไปแล้วที่นี่ จึงเป็นเรื่องยากที่จะหาเงินได้จากนิสัยไม่ดีเหล่านั้น
“แกไม่มีปากเหรอ ผู้จัดการส่วนตัวโง่ๆ อย่างแกกล้า…!”
ใครบางคนจับมือของเธอไว้จากทางด้านหลัง
“อ้อ คุณอูยอน”
“มีเรื่องอะไรกันครับ”
เสียงของอีอูยอนถูกกดให้ต่ำอย่างประหลาด ชเวอินซอบแค่ยืนอย่างเหม่อลอยในขณะที่ก้มหน้าอยู่
“เปล่าค่ะ คือฉันกำลังคุยกับเด็กนี่…”
“ผู้จัดการส่วนตัวของผมครับ”
“ก็ได้ เพราะอย่างนั้นฉันก็เลย…”
อีอูยอนหัวเราะหึ เขาเอาหน้าเข้ามาใกล้หูของยูมินจูและกระซิบเบาๆ
“ถ้าทำแบบนี้ที่นี่ ภาพลักษณ์ของคุณจะดูไม่ดีเอานะครับคุณมินจู”
“ฉันก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้วนี่…คุณอูยอนเมินสายของฉัน…”
อีอูยอนเพิ่มแรงลงไปที่มือที่กำรอบข้อมือของเธอเอาไว้ ยูมินจูร้อง โอ๊ย ออกมาเบาๆ
“ดูเหมือนคุณจะกินเหล้ามานะครับ ให้ผมช่วยนะครับ”
“ไม่ ฉัน…โอ๊ย ปล่อยมือฉันเถอะคุณอูยอน…”
อีอูยอนโบกมือให้กับพนักงานตรงเคาท์เตอร์ที่กำลังมองมาทางด้านนี้ พนักงงานคนนั้นวิ่งมาหาเขา
“ดูเหมือนคุณมินจูจะเมามากเลยครับ งั้นผมขอรบกวนคุณหน่อยนะ”
“อ๋อ ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”
“พาเธอไปส่งถึงบ้าน แล้วก็ช่วยทำเป็นไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ด้วยนะครับ ผมรบกวนด้วย”
พนักงานหน้าแดงเพราะคำขอร้องอย่างสุภาพของอีอูยอน เธอตอบว่า ‘ดิฉันจะทำอย่างนั้นแน่นอนค่ะ’ แม้การรักษาความลับจะเป็นกฎเหล็กของร้านที่เหล่าดารามาใช้บริการอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็มักจะมีคำพูดรั่วไหลออกไปได้อยู่ดี เขาคิดว่ายูมินจูตกอยู่ในข่าวลือที่ไม่ดีเพียงข่าวเดียวก็พอแล้ว และอีอูยอนก็โยนเธอให้กับพนักงานของร้าน
“คุณอูยอนช่วยฟังฉัน…”
อีอูยอนมองยูมินจูที่ไม่คิดจะหุบปากพลางทำสีหน้าน่ากลัวออกมาแวบหนึ่ง ฉันเป็นคนโง่ที่ไม่รู้ความจริงเหี้ยๆ นั่นตั้งแต่แรกเองสินะ
“กลับเข้าไปเถอะครับ ผมฝากด้วยนะ”
อีอูยอนตบไหล่ของพนักงานร้านสปาพลางส่งสายตาบอกให้พาเธอออกไปเร็วๆ ยูมินจูกรีดร้องอย่างหงุดหงิดไปตลอดทางจนกระทั่งเธอออกนอกประตูไป ชเวอินซอบดูให้แน่ใจว่าเธอลงลิฟต์ไปด้านล่างแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมา
“ขอโทษนะครับ เป็นความไม่รอบคอบของผมเอง”
“อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ”
อีอูยอนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าและช่วยซับจมูกของชเวอินซอบ เขาคงถูกตบเยอะมากแก้มถึงบวมแดง และมีเลือดกำเดาไหลออกมาจากจมูกข้างหนึ่งด้วย
“ไม่ต้องไปโรงพยาบาลแน่เหรอครับ”
“ครับ ผมไม่เป็นอะไรครับ”
“ขอโทษนะครับ เป็นเพราะผมแท้ๆ”
อีอูยอนสำรวจใบหน้าของชเวอินซอบพลางพูดต่อ
“ไม่มีรอยช้ำนะครับ…แต่มีแผลตรงนี้นี่”
อีอูยอนนึกถึงมือของยูมินจูที่สวมแหวนเพชรเม็ดใหญ่พลางเดาะลิ้น
“แค่ทายาก็พอครับ ผมไม่เป็นอะไรหรอก”
“ไปที่รถกันครับ ผมจะทายาให้เอง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมทาเองได้”
“พอแล้วครับ อย่าดื้อสิ”
อีอูยอนจับมือของชเวอินซอบเอาไว้ และลากอีกฝ่ายไปหน้าลิฟต์ เขาไม่ลืมที่จะบอกลาพวกพนักงานอย่างนุ่มนวลในขณะที่ก้าวออกมาจากประตู
อีอูยอนพาชเวอินซอบมาที่รถตู้แล้วจับให้อีกฝ่ายนั่งที่เบาะหลัง
“กล่องยาอยู่ที่ไหนนะ…อ๋า อยู่ตรงนี้เอง”
เขาที่หยิบกล่องยามานั่งลงตรงหน้าชเวอินซอบ ชเวอินซอบไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้และกำลังจิกเล็บอย่างแรง
“เงยหน้าขึ้นมาหน่อยครับ”
“…”
“ถ้าไม่เงยหน้าทายาไม่ได้นะครับ”
“…ผม”
อีอูยอนใช้นิ้วเชยคางของชเวอินซอบและบังคับให้อีกฝ่ายเงยหน้า สายตาของคนทั้งคู่สบกัน อีอูยอนบีบยาลงบนปลายนิ้วและทาลงไปบนแก้มของอินซอบที่เป็นแผล สัมผัสของนิ้วที่งดงามของอีอูยอนส่งต่อความเจ็บปวดมายังอินซอบ
“ทำไมถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะครับ”
“ครับ?”
“ก็ผู้หญิงคนนั้นน่าจะถามถึงผมนี่ คุณบอกว่าเดี๋ยวผมก็ออกมาก็ได้นี่ครับ”
“…ก็ดูเหมือนคุณจะไม่ชอบ”
อีอูยอนยิ้ม มีคนที่โง่อะไรอย่างนี้อยู่ด้วยเหรอเนี่ย
“ต่อให้ตายคุณก็จะไม่ทำเรื่องที่ผมไม่ชอบเหรอครับ”
“ก็อาจจะ”
“อาจจะเหรอครับ”
“ไม่ทำหรอกครับ”
คำตอบของอีกฝ่ายเหมือนคำตอบของเด็กเล็กที่ให้สัญญาว่าจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง อีอูยอนยิ้ม ความรู้สึกที่ว่าอีกฝ่ายเหมือนลูกหมาที่เชื่อฟังคำสั่งก่อตัวขึ้น เขารู้สึกว่าท่าทางที่อีกฝ่ายแกล้งทำเป็นหลอกล่อในขณะที่ร่างกายเล็กๆ สั่นเทาด้วยความกลัวนั้นน่าสนุก ปัญหาก็คือไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้อีอูยอนก็เกลียดลูกหมา
“คุณผู้จัดการส่วนตัวของผมเนี่ย มีความจงรักภักดีมากเลยนะครับ”
อีอูยอนหยอกพลางหยิบพลาสเตอร์ออกมาติดบนหน้าของอินซอบ
“ถ้าผมสั่งให้ตาย คุณก็คงจะตายสินะครับ”
อีอูยอนมองไปทั่วใบหน้าที่ปูดบวมและพูดออกไปแบบนั้น ชเวอินซอบที่ลังเลอยู่สักพักก็ตอบมาว่า ‘ผมจะทำแบบนั้นครับ’
“ครับ?”
“ถ้าคุณสั่งให้ตาย ผมก็จะตายครับ”
“…”
“ผมจะทำแบบนั้นครับ ถึงผมจะไม่รู้ว่าเรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม”
อีอูยอนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา การที่เขาหัวเราะออกมาจริงๆ ไม่ใช่ฝืนใจหัวเราะนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานมากแล้ว
อีอูยอนอยากจะถามจริงๆ
นี่นายคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงทำแบบนี้
“ทำไมถึงจะต้องตายด้วยล่ะครับ คุณไม่รู้เหรอว่าผมพูดเล่น”
เขาใช้ฝ่ามือตบแก้มของชเวอินซอบเบาๆ เขาอดคิดถึงอายุจริงๆ ของชเวอินซอบที่อีกฝ่ายเขียนลงในเรซูเม่ไม่ได้ เพราะสัมผัสของแก้มที่นุ่มเหมือนกับผิวเด็ก บอกว่าอายุยี่สิบหกอย่างนั้นเหรอ คงไม่ใช่เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะหรอกใช่ไหม
“อ๋อ…ครับ ผมก็ล้อเล่นเหมือนกัน”
ชเวอินซอบรีบสนับสนุนคำพูดของอีอูยอน อีอูยอนเห็นว่าอีกฝ่ายยิ้มเจื่อนๆ และจู่ๆ ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นในใจของเขา
“คุณอินซอบ”
“ครับ?”
ชเวอินซอบที่จัดเรียงกล่องยาอยู่หันหน้ามา
“ที่ที่จะไปตกปลากันตอนสุดสัปดาห์น่ะ คือทะเลตะวันออกใช่ไหมครับ”
อีอูยอนยิ้มจางๆ อย่างน่ารักราวกับแมวในฤดูใบไม้ผลิและเอ่ยถาม
***