“ฉันเจอเจ้าชายเข้าแล้ว”
“หืม อีกแล้วเหรอ”
“ใช่ ฉันเจอเจ้าชายแล้ว คราวนี้เขาต้องเป็นเจ้าชายที่ฉันรอมาตลอดแน่นอน”
พื้นส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่เจนนี่ขยับตัว บริเวณข้อศอกของเสื้อคาร์ดิแกนสีชมพูเก่าๆ เปื่อยจนยากที่จะอยู่ติดกันได้อีกต่อไป และกระโปรงสีดำก็ขึ้นเงาชนิดที่ไม่อาจรู้ได้เลยว่าถูกซักเมื่อไร
เจนนี่ฉีกยิ้มกว้างโชว์ฟันที่ยื่นออกมาเล็กน้อย เธอนั่งอยู่ตรงปลายเตียงของปีเตอร์และประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน
“วันนี้ซานดร้าด่าฉันว่าเป็นยัยตัวน่ารังเกียจด้วย เขาผลักฉัน แล้วก็เรียกฉันยัยตัวน่ารังเกียจ”
เจนนี่แสดงความโกรธออกมาด้วยใบหน้าอึดอัดใจ ปีเตอร์ที่นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงทั้งวันรับฟังเรื่องของเธออย่างสนใจ
“แล้วยังไงต่อ”
“ฉันก็ล้มน่ะสิ กลางทางเดินเลยด้วย แล้วยัยน่ารังเกียจนั่นก็หันไปหัวเราะคิกคักกับเด็กๆ ในทีมฟุตบอล และถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า แต่ไม่ได้ถามฉันนะ ถามพื้น”
“ใช้ไม่ได้เลย เขาจะต้องได้รับโทษจากสวรรค์แน่ๆ”
ปีเตอร์ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางสนับสนุนคำพูดของอีกฝ่าย ผู้หญิงที่ชื่อซานดร้าที่เขาได้ยินจากเรื่องเล่าของเจนนี่เป็นหญิงชั่วร้ายที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก
“คนอื่นๆ ก็หัวเราะด้วย ฉันกำลังเก็บปากการที่หล่นจากกล่องดินสออยู่ จะให้เล่าไหมว่าเป็นปากกาที่ฉันหวงขนาดไหน มันเป็นปากกาที่…”
“เป็นปากกาที่คุณป้าสเปนเซอร์ให้เป็นของขวัญวันเกิด เป็นปากการูปเรือที่มีด้ามเดียวในโลก!”
“ใช่! อันนั้นแหละ”
เจนนี่ยิ้มอย่างสดใส แม้จะเป็นเรื่องที่เขาได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ปีเตอร์ก็ทำสีหน้าดีใจทุกครั้งที่ได้ฟัง เธอเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่มาที่ห้องของตน
“ปากกากลิ้งไปทางด้านโน้น ฉันก็เลยเอื้อมมือออกไปหยิบ!”
สีแดงระเรื่อแต้มอยู่บนแก้มของเจนนี่ เขาเห็นว่าดวงตาสีฟ้านั้นเป็นประกาย ปีเตอร์รอคอยคำพูดด้วยความตื่นเต้นเหมือนกันเป็นเรื่องของตัวเอง
“คนคนนั้นเขาหยิบให้ฉันล่ะ ปากกาของฉัน! ปากกาที่มีด้ามเดียวอันนั้น! นิ้วเขาสวยมากเลย คนคนนั้นมีผมสีดำเหมือนฉัน และเขาก็มีดวงตาสีดำด้วย”
ปีเตอร์รู้สึกคุ้นเคยกับเจ้าชายของเจนนี่จากคำว่าดวงตาและผมสีดำ
“เหมือนฉันน่ะเหรอ”
“ม่าย ไม่เหมือนเลยสักนิด”
“เอ๋…”
“ปีเตอร์ ปีเตอร์ ฉันรักเธอมากกว่าใครนะ แต่เธอไม่เหมือนกับเจ้าชายของฉันเลย เขาเป็นควอเตอร์แบ็ก[1] ด้วย”
“ควอเตอร์แบ็กเหรอ”
โรงเรียนที่เจนนี่เข้าเรียนมีชื่อเสียงในเรื่องทีมฟุตบอล ปีเตอร์ไม่สามารถห้ามความตกใจของตนได้เลยกับความจริงที่ว่าที่นั่นมีคนเอเชียได้เล่นเป็นควอเตอร์แบ็กด้วย
“เขาทั้งสูง ทั้งหล่อ และเสียงก็เพราะมากด้วย ตอนที่เขาถามฉันว่าเป็นอะไรหรือเปล่าพร้อมกับยื่นปากกามาให้นะ เสียงเขานุ่มเหมือนช็อกโกแลตเลย”
“ว้าว มีคนแบบนั้นด้วยเหรอ”
ดูเหมือนเจ้าชายของเจนนี่จะเป็นคนที่โดนเปรียบเทียบกับเขาไปเสียทุกอย่าง เขาที่ทั้งอ่อนแอและผอมจนเหลือแต่กระดูก อีกทั้งยังนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงทั้งวัน
“แล้วเขาก็เรียนเก่งมากด้วย”
“เจ๋งไปเลย”
“และเขาก็ป๊อปในหมู่ผู้หญิงมากด้วย ยัยเฮงซวยซานดร้านั่นก็เป็นหนึ่งในผู้หญิงที่วิ่งไล่เจ้าชายคนนั้นด้วยเหมือนกัน!”
“ว้าว…”
ปกติแล้วผู้ชายเอเชียไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก ถึงจะมีพวกที่บอกว่าผู้หญิงเอเชียมีเสน่ห์น่าพิศวงอยู่บ้าง แต่พวกผู้ชายกลับไม่เป็นแบบนั้น แม้จะไม่ถูกเปรียบเทียบกับชาวตะวันตกในเรื่องเงื่อนไขทางร่างกาย แต่ก็น่าเศร้าที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่นี่ไม่รู้สึกถึงเสน่ห์ของผู้ชายจากพวกเขา
“เขาเป็นคนที่ยิ้มได้อ่อนโยนที่สุดเลย เจ้าชายคนนั้นน่ะ”
ภาพของเจ้าชายที่ปีเตอร์วาดเอาไว้ในหัวค่อยๆ ชัดเจนขึ้นทุกครั้งที่ได้ยินคำบรรยายของเจนนี่
ตัวสูง มือสวย เสียงเหมือนช็อกโกแลต รอยยิ้มที่อ่อนโยน เป็นควอเตอร์แบ็ก
“คอยดูนะ ฉันจะต้องไปงานพรอม[2] กับเจ้าชายคนนั้นให้ได้เลย ฉันจะจูบกับเจ้าชายคนนั้นให้ยัยซาน ดร้า ยัยเรเชล ยัยเคลลี่ และก็ยัยเอมิลี่ดู!”
ไฟลุกโชนในดวงตาสีฟ้าของเจนนิเฟอร์ขณะที่เธอร่ายชื่อของพวกเด็กผู้หญิงที่แกล้งตน ปีเตอร์ระเบิดเสียงหัวเราะ เพราะน้ำเสียงของเจนนี่จริงจังมาก
“ฮ่าๆๆๆๆ”
“ทำไมถึงหัวเราะล่ะ! ตลกเหรอ”
“เปล่า แค่น่าขำเฉยๆ เธอเพิ่งเจอเขาวันนี้เอง แต่คิดไปถึงนู่นแล้วเหรอ”
“งั้นเราจะมีลูกกันห้าคนเลย แล้วฉันจะตั้งชื่อลูกคนเล็กตามชื่อนาย นายต้องมาเป็นพ่อทูนหัวให้ลูกฉันนะ ถ้าลูกออกมามีตาสีดำที่ดูลึกลับของเขาผสมกับดวงตาสีฟ้าของฉันก็คงจะดี!”
เธอประสานมือและพูดเหมือนกับเด็กน้อยช่างฝัน
“เจนนิเฟอร์! เจนนิเฟอร์! ยัยเด็กเหมือนหมูนั่นไปไหนของเขากันนะ เจนนิเฟอร์!”
น้ำเสียงที่เหมือนจะมีเสมหะติดอยู่ในคอเริ่มตามหาเจนนี่จากอีกด้านหนึ่งของหน้าต่าง เป็นเสียงของมาทิลด้า แม่ของเจนนี่เอง มาทิลด้าที่ไม่ได้แต่งหน้าและใส่ชุดวันพีซสีดำแนบตัวนั้นดูเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา เธอจะส่งเสียงเรียกด้วยท่าทีเหมือนจะจับลูกของตนมาฆ่าในตอนห้าโมงตรง ทั้งหมู่บ้านไม่ชอบเสียงตะโกนของมาทิลด้า แต่ไม่มีใครสามารถทำให้เธอหุบปากได้สักคน เธอเป็นผู้นับถือนิกายมอร์มอน และถือว่าการไม่รักษาเวลากินข้าวเป็นเหมือนความผิดที่จะต้องตกนรก สองสามีภรรยาตีลูกสาวที่ทำผิดอย่างไม่ลังเล คนในหมู่บ้านไม่ชอบคู่สามีภรรยาแสนจู้จี้ที่เชื่อในความคิดนอกรีต และไม่มีใครชอบเจนนี่ที่เป็นลูกสาวของพวกเขาเลย
สำหรับเจนนี่ เด็กชายข้างบ้านชาวเอเชียผู้ผอมแห้งและชอบเก็บตัวเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเธอ และเจนนี่เองก็เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของปีเตอร์
“ได้เวลาไปแล้ว”
เจนนี่ยิ้ม เมื่อเธอลุกขึ้น ฟูกนอนบนเตียงของเขาก็กระเพื่อม เธอจูบลาบนแก้มที่ชื่นเหงื่อของปีเตอร์
“อยู่ดีๆ นะ อย่าป่วยล่ะ พรุ่งนี้นายต้องไปโรงพยาบาลใช่ไหม”
“อื้อ ฉันต้องไปตรวจสุขภาพตามเวลาที่หมอกำหนดน่ะ”
“รีบๆ หายนะ นายจะได้ไปโรงเรียนกับฉัน”
“รอหน่อยนะ เดือนมีนาคมฉันก็จะได้กลับไปเรียนแล้ว”
ทั้งคู่รู้ดีว่ามันเป็นคำสัญญาที่ไม่มีกำหนด แต่ไม่มีใครแสดงความรู้สึกออกมา เมื่อไม่นานมานี้ปีเตอร์ชักในระหว่างเดินเล่น เพราะเป็นโรคหัวใจแต่กำเนิด และตอนนี้เขาก็ใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการนอน เขาผ่าตัดมาทั้งหมดสามครั้ง เกือบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ปีเตอร์จะได้กลับไปเรียนอีก
“ถ้าฉันตาย ฉันจะมอบหัวใจให้นายนะปีเตอร์ที่รัก”
เจนนี่ยืนอยู่ตรงประตูและมองปีเตอร์ขณะที่พูด นั่นเป็นคำอำลาที่เธอมอบให้ปีเตอร์ ปีเตอร์ยิ้มพลางตอบ
“หัวใจเธอเข้ากับฉันไม่ได้หรอก ยิ่งไปกว่านั้นถ้าฉันรับมันมา ฉันก็น่าจะตกหลุมรักพวกสมาชิกในทีมฟุตบอลของเธอตามเจ้าของไหมนะ ฉันไม่อยากเป็นเกย์หรอกนะ”
เจนนี่ยิ้ม ฟันที่เหยินออกมาถูกเห็นได้ชัดขึ้นทุกครั้งที่เธอยิ้ม ปีเตอร์ชอบเจนนี่ มันเป็นแรงดึงดูดที่ไม่มีเหตุผล เขาแค่ชอบตัวตนของคนที่ชื่อเจนนี่ เขาคิดเสมอว่ามันเป็นเรื่องไม่ยุติธรรมที่คนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับเสน่ห์ของเจนนี่ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอเสียงดัง ช่างเพ้อฝัน อ้วน และเสื้อผ้าก็สกปรก
ปีเตอร์หยิบสมุดโน้ตที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมา เขามักจะเขียนเรื่องที่เกิดขึ้นในแต่ละวันลงไปจนเป็นนิสัย ช่วงนี้เรื่องที่เขาจดลงในสมุดโน้ตมีแต่เรื่องที่เขาคุยกับเจนนี่ แต่มันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับเขา
“บ๊ายบายเจนนี่”
“บ๊ายบายปีเตอร์”
ขณะเอ่ยลาพร้อมกับถือปากกาไว้ในมือ ปีเตอร์ก็เอ่ยเรียกเจนนี่เพราะความคิดที่แวบขึ้นมา
“เจนนี่!”
เธอหันมาถามว่ามีอะไร
“เจ้าชายของเธอชื่ออะไรเหรอ”
***
“…ลิป”
“ฟื้นแล้วเหรอครับ”
ชเวอินซอบที่ยันตัวขึ้นมารู้สึกเวียนหัว จึงนอนลงไปอีกครั้ง อีอูยอนปิดหนังสือที่กำลังอ่านอยู่
อินซอบมองนิ้วของอีกฝ่ายที่ขยับอยู่อย่างเหม่อลอย เป็นนิ้วที่ยาวและสวยอย่างที่เจนนี่พูด
“ปวดหัวเหรอครับ”
“…ไม่เป็นอะไรแล้วครับ”
“ขอโทษนะครับ ถ้ารู้ว่าคุณกลัวขนาดนั้นผมน่าจะห้ามไว้ ไม่นึกเลยครับว่าคุณจะเป็นลม”
“เป็นลมเหรอครับ ผมเนี่ยนะ”
ชเวอินซอบลองค้นหาความทรงจำของตน เขาไม่เคยเล่นเครื่องเล่นเลยสักครั้งเพราะหัวใจที่อ่อนแอแต่กำเนิดของเขา ถึงตอนนี้เขาจะสามารถทำกิจกรรมเหมือนกับคนทั่วไปได้ แต่การเล่นเครื่องเล่นมันหนักเกินไปสำหรับหัวใจของเขา
“ครับ พอลงมาจากเครื่องเล่นคุณก็เป็นลมไปเลย”
“…”
ชเวอินซอบกัดริมฝีปาก พอลองคิดๆ ดูแล้วแม้มันจะดูไม่ได้ แต่ก็ไม่ถึงกับดูไม่ได้ขนาดนั้น ผู้ชายที่โตแล้วเป็นลมหลังจากเล่นเครื่องเล่นเนี่ยนะ
“โชคดีนะครับที่มีหมออยู่ในกลุ่มคนที่รอเล่นเครื่องเล่นด้วย เขาก็เลยช่วยดูให้ เขาบอกว่าคุณแค่เป็นลมเฉยๆ ผมก็เลยพามาที่รถน่ะครับ ให้พาไปโรงพยาบาลไหมครับ”
“ไม่ครับ ไม่เป็นไร”
อีอูยอนยกมือขึ้นมาห้ามทันทีที่ชเวอินซอบพยายามจะลุกขึ้น
“นอนต่อเถอะครับ หัวหน้าทีมชามาจากต่างจังหวัดน่าจะใช้เวลานานสักหน่อย”
“หัวหน้าทีมชาเหรอครับ”
“ครับ คุณอินซอบเป็นลม หัวหน้าทีมชาเลยบอกว่าจะมาน่ะครับ น่าจะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครับ คุณนอนพักเถอะ”
ชเวอินซอบใช้มือกุมหัว การที่เขาเป็นลมทำให้หัวหน้าทีมชาต้องมาที่นี่เลยเหรอ วันนี้เป็นวันที่เลวร้ายที่สุดเลย
“แล้วการถ่ายทำล่ะครับ”
“เรียบร้อยดีครับ ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว”
“โล่งอกไปทีนะครับ…”
ชเวอินซอบพึมพำอย่างอ่อนแรง อีอูยอนยิ้ม ชเวอินซอบปวดใจทุกครั้งที่มองใบหน้ายิ้มแย้มของอีกฝ่าย ทั้งใบหน้าที่เหมือนกับเจ้าชาย ทั้งรอยยิ้มแสนหวาน
ทุกอย่างเป็นเรื่องโกหก เขาเหมือนจะได้ยินเสียงตวาดของเจนนี่ที่บอกให้เขาเปิดเผยธาตุแท้ของอีกฝ่ายให้คนอื่นรู้ไวๆ ดังอยู่ในหู
อีอูยอนยื่นมือเข้ามาจับหน้าของชเวอินซอบ อินซอบตัวแข็งอยู่กับที่ด้วยความรู้สึกขนหัวลุก
“หน้าแดงมากเลยนะครับ มีไข้หรือเปล่าครับ”
“มะ ไม่ครับ”
ชเวอินซอบยันตัวขึ้น เขาดีขึ้นมากกว่าเมื่อสักครู่แล้ว ต่อให้เขาขยับตัว เขาก็ไม่รู้สึกเวียนหัว
“เดี๋ยวผมจะโทรไปบอกหัวหน้าทีมชาว่าผมจะขับรถกลับเองนะครับ”
“หยุดเลยครับ พักเถอะ ไม่มีเรื่องด่วนอะไรสักหน่อย”
ต่อให้กำลังจะตาย ก็ไม่มีวันที่จะได้ยินคำว่าผมจะขับรถกลับเองดังออกมาจากปากของอีอูยอนแน่นอน ในบรรดาข้อมูลที่ชเวอินซอบรู้มา ดูเหมือนว่าเรื่องที่อีอูยอนไม่ขับรถให้ใครนั่งเด็ดขาดนั้นเป็นเรื่องจริง
“ขอโทษนะครับ…เป็นเพราะผมเอง”
ชเวอินซอบก้มหัวพลางเอ่ยขอโทษ อีอูยอนตอบว่าตอบอย่างไม่ถือสาพลางยิ้มและนิ่งไป ถ้ามองในมุมนี้
อีกฝ่ายก็ดูเป็นคนดีและอ่อนโยนที่สุด
ชเวอินซอบค่อยๆ หมดความมั่นใจ เขาจะสามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากหนาๆ นั่นได้หรือเปล่า
“อ๋อ ใช่แล้ว คุณอินซอบครับ”
“ครับ?”
“ช่วยคืนของที่ผมฝากไว้ก่อนหน้านี้มาหน่อยได้ไหมครับ”
“ก่อนหน้านี้ อ๋อ…หิน หินนำโชค”
ชเวอินซอบค้นกระเป๋ากางเกงพลางตอบ แต่กล่องกลับไม่อยู่ในที่ที่จะต้องอยู่ แม้เขาจะลองดูในกระเป๋ากางเกงอีกข้างแล้ว แต่มันก็ไม่มีเหมือนกัน
“คือว่า…”
ชเวอินซอบลุกขึ้นด้วยความตกใจและชนเข้ากับหลังคารถ
“ทำไมครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าครับ คือเมื่อกี้กล่องมันยังอยู่อยู่เลยนะครับ…ผมเช็คแล้ว…”
แม้เขาจะยุ่ง แต่เขาก็เอามือล้วงกระเป๋าเพื่อเขาตรวจสอบการมีอยู่ของกล่องเป็นระยะๆ รวมถึงก่อนที่เขาจะเล่นเครื่องเล่นด้วย
“หายไปแล้วเหรอครับ”
“…”
กล่องที่เขาใส่กระเป๋ากางเกงไว้คงจะตกลงไปด้านล่างในขณะที่เขาเล่นเครื่องเล่น เขาลืมคิดที่จะฝากกล่องเอาไว้กับใครสักคน เพราะความกลัวเกี่ยวกับโรลเลอร์โคสเตอร์ที่เขาได้ลองเล่นเป็นครั้งแรก
“ดูเหมือนจะหล่นไปตอนเล่นเครื่องเล่นเมื่อสักครู่นี้ครับ”
“อืม งั้นเหรอครับ”
หน้าของชเวอินซอบซีดเผือดขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนมันจะซีดกว่าตอนลงมาจากเครื่องเล่นอีกหนึ่งระดับ
“ขอโทษนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ มันเกิดขึ้นได้นี่นา”
“…ขอโทษครับ เป็นความผิดของผมทั้งหมด”
ไหล่ของชเวอินซอบค่อยๆ ลู่ลง ใบหน้าของเขาหวาดกลัวเหมือนกับเด็กเล็กที่แหย่มือเข้าไปในปากของสิงโต
[1] ควอเตอร์แบ็ก ตำแหน่งผู้เล่นในอเมริกันฟุตบอล เปรียบเสมือนหัวหน้าทีม ทำหน้าที่ในการสั่งการเกมส์บุกคล้ายๆ กองหน้าของฟุตบอล
[2] งานพรอม งานปาร์ตี้หลังเรียนจบไฮสคูลของชาวอเมริกัน