“ดูเหมือนคุณจะเหมาะกับความทุ่มเทมากเลยนะครับ”
อีอูยอนจิบไวน์และพูดต่อ
“คุณปรับตัวเข้ากับงานได้ดี มีไหวพริบ และทุ่มเท…คุณมีคุณสมบัติที่ผมน่าจะชอบครบเลยล่ะครับ”
“ครับ?”
“กรรมการผู้จัดการเขาพูดเอาไว้น่ะครับ”
“อ๋อ ครับ…”
ชเวอินซอบถอนหายใจออกมา เขานึกว่าอีอูยอนจะบอกว่าถูกใจเขาในฐานะผู้จัดการส่วนตัวเสียอีก และเขาก็นึกว่าตัวเองจะใจหายซะแล้ว
เขาจะต้องรักษาความเป็นกลางเอาไว้ เขาจะอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็ทำตัวเป็นผู้จัดการส่วนตัวที่ไม่น่าประทับใจพอที่จะอยู่ในความทรงจำ ชเวอินซอบรวบรวมสติและเงยหน้าขึ้น แต่ไม่ยอมสบตากับอีอูยอน
“คุณบอกว่าคุณอายุเท่าไรนะครับ”
“…ยี่สิบหกปีครับ”
“ดูเด็กกว่าอายุมากเลยนะครับ”
“ผมได้ยินคนพูดแบบนั้นเยอะอยู่เหมือนกันครับ”
ชเวอินซอบไม่ยินดีกับการพูดคุยแบบนี้ ท่ามกลางสถานการณ์นับร้อยที่เขาสร้างขึ้นมาในหัว การพูดคุยเรื่องส่วนตัวหรือคุยกันอย่างเป็นส่วนตัวกับอีอูยอนเป็นเส้นทางที่เขาไม่ต้องการมากที่สุด
ความจริงแล้วชเวอินซอบอายุยี่สิบสี่ปี ชเวอินซอบในวัยยี่สิบหกปีเป็นชื่อที่เขาใช้เงินซื้อมา แม้เขาจะรู้ว่ามันเป็นคำพูดที่อีอูยอนพูดขึ้นมาโดยไม่คิดอะไร แต่ชเวอินซอบกลับรู้สึกว่าหัวใจของเขาจะระเบิดออกมา เขาดื่มน้ำเย็นๆ ลงไปและทำให้ใจตัวเองสงบลง
อีอูยอนจมอยู่ในความคิดของตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ ขณะกำลังจะเปิดปากพูด พนักงานเสิร์ฟก็นำอาหารเข้ามาในห้อง เป็นอาหารที่ไม่ต้องถามก็ดูออกว่าราคาแพง ชเวอินซอบคิดว่าเหตุผลที่อีอูยอนเลี้ยงอาหารแพงๆ แบบนี้ให้เขาที่เป็นแค่ผู้จัดการส่วนตัวคืออะไรกันแน่พลางหยิบส้อมขึ้นมา
“คุณชเวอินซอบครับ”
“ครับ?”
ชเวอินซอบหันหน้าไปสบตาอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว อีอูยอนกำลังยิ้มด้วยใบหน้าที่เขาเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนตามหน้าจอหรือรูปภาพ
“ผมน่ะ…”
ชเวอินซอบเหม่อมองภาพของอีอูยอนที่จับมีดไว้ในมือข้างหนึ่งและหั่นสเต็กอย่างน่าทึ่ง การกระทำของอีอูยอนเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดสายตาเขา การดื่มน้ำ การขยับมือ การจับมีด แม้แต่การกระทำเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นงดงามถึงขนาดทำให้อีกฝ่ายหยุดหายใจไปชั่วขณะและดึงดูดสายตาให้จ้องมอง
“จริงๆ แล้วไม่ว่าใครก็…”
อีอูยอนที่พูดจนถึงตรงนั้นก็เงียบไป
“มีปัญหาอะไรเหรอครับ…”
“เปล่าครับ ช่วยรอสักครู่หนึ่งนะครับ”
อีอูยอนเรียกพนักงานเสิร์ฟมา อีอูยอนถามกับพนักงานเสิร์ฟที่ถามว่าเขามีปัญหาอะไรหรือเปล่าว่าเชฟที่เป็นคนทำอาหารจานนี้ชื่ออะไร ทันทีที่พนักงานเสิร์ฟที่ถูกทำให้ลำบากก้มตัวลงและตอบว่าเชฟชื่ออะไรออกมา อีอูยอนก็ลุกขึ้น
“ขอตัวสักครู่นะครับ”
อีอูยอนเดินออกไปด้านนอก ชเวอินซอบที่ถูกทิ้งไว้ลำพังลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นตาม แต่พอเขาเปิดประตูออกไปสำรวจด้านนอก เขากลับไม่เห็นแม้แต่มดสักตัวตรงทางเดิน ชเวอินซอบเดินกลับไปยังที่นั่งของอีอูยอนอย่างรวดเร็ว เขาเริ่มสำรวจโทรศัพท์มือถือที่อีกฝ่ายทิ้งเอาไว้ โชคร้ายที่โทรศัพท์มือถือถูกล็อกเอาไว้ เขาพยายามนึกถึงตอนที่อีกฝ่ายกดรหัสประตูหน้าบ้านและลองกดเลขสี่ตัวนั้นอย่างรวดเร็ว
หลังจากลองผิดลองถูกได้สองสามรอบ เขาก็ปลดล็อคหน้าจอโทรศัพท์มือถือได้ ชเวอินซอบมือไม้สั่น ตอนที่เขาเก็บโทรศัพท์มือถือของอีอูยอนได้ในรถคราวก่อน เขานึกไม่ออกเลยว่ารหัสผ่านจะเป็นเลขแบบไหน และมันก็คงเหลือไว้แต่เพียงความทุกข์ใจอันยาวนาน เพราะเขาทำได้แค่ส่งโทรศัพท์มือถือคืนอีกฝ่ายเท่านั้น
มาสำรวจประวัติการโทรกันก่อนเถอะ
“…เฮ้อ”
ชเวอินซอบมองประวัติการโทรและถอนหายใจออกมา ในโทรศัพท์มือถือของอีอูยอนมีเพียงประวัติการโทรของตัวเขาเอง กรรมการผู้จัดการคิม หัวหน้าทีมชา และบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเท่านั้น ส่วนการโทรอื่นๆ ได้ถูกลบไปจดหมายเกลี้ยง ในสมุดโทรศัพท์ของเขาก็เหมือนกัน มันมีแค่เบอร์โทรศัพท์ของคนที่เกี่ยวข้องกับงานเท่านั้น เขาไม่เจอชื่อของผู้หญิงเลย
แล้วเขาก็ลองสำรวจแกลลอรี่ในเครื่องของอีกฝ่ายดู
“…”
เขาไม่เจอรูปภาพอะไรเลยนอกจากรูปดอกไม้สองสามรูปที่มีมาอยู่แล้วในตอนที่ซื้อโทรศัพท์
“ไม่มีรูปเซลฟี่เลย อะไรกันเนี่ย ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ…”
ชเวอินซอบบ่นอู้อี้และลองค้นนั่นค้นนี่ไปเรื่อยๆ แต่เขาไม่เจออะไรเลย เขาวางโทรศัพท์คืนกลับไปที่ที่เดิมอีกครั้ง และถึงแม้ว่าเขาจะกลับมานั่งแล้ว อีอูยอนก็ยังไม่กลับเข้ามา
“อะไรกันเนี่ย จู่ๆ ก็ไปไหนของเขา…”
ชเวอินซอบนึกถึงตอนที่อีกฝ่ายเรียกพนักงานเสิร์ฟ และลองใช้ปลายส้อมตัดสเต็กที่อยู่ในจานของอีอูยอนขึ้นมาชิม
“แหวะ!”
เขาคิดว่าต่อให้หมักเนื้อด้วยซีอิ๊วหรือปรุงรสด้วยเกลือมันก็ไม่น่าเค็มขนาดนี้ อินซอบรีบดื่มน้ำเข้าไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเขาจะดื่มน้ำเข้าไปแล้ว แต่รสชาติที่เค็มจนทำให้ลิ้นของเขาแสบก็ยังเหลืออยู่ เขารู้สึกว่าอีอูยอนที่กินสิ่งนี้เข้าไปแล้วไม่ทำหน้าตาเหยเก แถมยังออกไปหาเชฟเงียบๆ ได้น่านับถือมาก
“…จะมีเรื่องกันหรือเปล่านะ”
ชเวอินซอบหยิบมือถือขึ้นมาและเดินออกไปด้านนอก เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะมีโอกาสที่ดีที่สุดที่จะได้เห็นฉากสำคัญนั้นไหม ตัวเขาเองที่ออกมาตรงทางเดินรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก และเขาก็พยายามก้าวเดินเงียบๆ เพื่อหาตัวอีอูยอนให้เจอ เขาเจอพนักงานเสิร์ฟที่เสิร์ฟอาหารให้พวกเขาเมื่อสักครู่นี้ จึงถามว่าอีอูยอนไปทางไหนด้วยเสียงเบาๆ พนักงานเสิร์ฟผายมือไปทางประตูที่อยู่ด้านข้างห้องครัวและจากไป
ประตูฉุกเฉิน
หัวใจเขาเต้นตึกตัก ชเวอินซอบเอามือกดหน้าอกของตัวเองเอาไว้
ชเวอินซอบจับลูกบิดประตูและเปิดประตูอย่างระมัดระวัง
เขาทิ้งความลังเลไว้ข้างหลังและกำลังจะปิดประตูลง เพราะเขาไม่พบอะไรเลยในคราแรก ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ ของผู้หญิง
“…!”
ชเวอินซอบกำลูกบิดประตูไว้แล้วเงี่ยหูฟัง เขาได้ยินเสียงของอีอูยอนเป็นครั้งคราวต่อจากเสียงหัวเราะของหญิงสาว ที่ด้านล่างบันไดเขาเห็นอีอูยอนกับผู้หญิงที่อยู่ในชุดเชฟสีขาวยืนหันหน้าเข้าหากันและคุยกันอยู่ อย่าว่าแต่อีกฝ่ายโกรธเชฟที่ให้เขากินสเต็กหมักเกลือเลย ดูเหมือนอีอูยอนจะตัดสินใจพูดคุยอย่างลับๆ กับหญิงสาวเสียมากกว่า
ชเวอินซอบเอาตัวแนบประตูและแอบฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่
“เพราะอย่างนั้นคุณก็เลยทำสเต็กหมักเกลือให้ผมกินเหรอครับ”
“ใช่แล้ว เพราะฉันได้ยินมาว่าเธอมาถึงนี่ แต่เข้าห้องไปเลยโดยไม่ยอมไปทักทายฉันน่ะสิ ฉันไม่คิดเลยนะว่าเธอจะมากับผู้จัดการส่วนตัวแค่สองคน”
“ขอโทษด้วยนะครับ ผมคิดว่าผมจะไปทักทายคุณทีหลัง เพราะผมมากับผู้จัดการส่วนตัวน่ะครับ”
“โกหก เธอไม่ได้คิดที่จะทำอย่างนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ไม่มีทางหรอกครับ”
ทันทีที่อีอูยอนกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างที่หูของเธอ หญิงสาวก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา
ชเวอินซอบถอนหายใจออกมา เขาไม่ค่อยตกใจเท่าไรกับภาพเช่นนี้ เพราะเขารู้ความจริงเรื่องความสัมพันธ์อันซับซ้อนของอีอูยอนดีอยู่แล้ว ในขณะที่เขาแอบสะกดรอยตามอีกฝ่าย เขาถ่ายภาพที่อีกฝ่ายอยู่กับดาราหญิงได้ไม่ใช่แค่สองสามรูป
แล้วมันก็ไม่ใช่ภาพที่ชเวอินซอบอยากได้เช่นกัน
“…แล้วอะไรล่ะ”
ชเวอินซอบใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพที่อีอูยอนยืนคุยอยู่ข้างๆ เชฟสาวเอาไว้ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าเขารวบรวมรูปพวกนี้เอาไว้ มันจะเกิดประโยชน์ขึ้นมาตอนไหน
หลังจากที่เขาถ่ายรูปเสร็จ เขาก็ปิดประตูลงอย่างระมัดระวังอีกครั้ง ชเวอินซอบเดินไปตามทางเดินและเช็ครูปในโทรศัพท์มือถือ เขาถอนหายใจออกมา
“จะเอาไอ้นี่ไปทำอะไรได้นะ”
เขาถ่ายรูป รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอีอูยอน และยังพยายามอย่างมากที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายอารมณ์เสีย ในสายตาของคนอื่นเขาอาจจะเป็นแฟนคลับผู้ชื่นชอบอีอูยอนด้วยใจจริงและได้ยกระดับขึ้นมาเป็นผู้จัดการส่วนตัว
นี่ฉันออกจะโกรธแค้นอีอูยอนถึงขนาดนี้…
ชเวอินซอบเก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋าและเดินไปเข้าห้องน้ำ เขาอยากจะล้างมือสักหน่อย แม้มันจะเป็นพฤติกรรมที่ไม่ได้พิเศษอะไร แต่เขาจะล้างมือทุกครั้งที่เขาอารมณ์ไม่ดี เขาจงใจหมุนก๊อกน้ำไปทางฝั่งสีน้ำเงิน มือของเขาสัมผัสเข้ากับน้ำเย็นๆ และเขาก็เริ่มถูสบู่ แม้เขาจะรู้สึกแสบราวกับนิ้วมือของเขาแข็งเป็นน้ำแข็ง แต่ชเวอินซอบกลับทำฟองสบู่ขึ้นมาอย่างพิถีพิถันและค่อยๆ ล้างมือ ในตอนที่แม้แต่ความรู้สึกเย็นยะเยือกหายไป เพราะประสาทการรับรู้ของเขาด้านชาไปแล้ว ชเวอินซอบก็วางมือที่บวมแดงของตัวเองลงบนแก้ม
เขารู้สึกถึงความอบอุ่นไปพร้อมๆ กับความรู้สึกเย็นวาบที่มากพอที่จะทำให้เซลล์ของเขาชาไปทีละเซลล์ๆ ทุกครั้งที่เขาทำแบบนี้ ชเวอินซอบจะรู้สึกว่าเขายังมีชีวิตอยู่
แก้มกับปลายนิ้วของเขาแดงขึ้นมา ชเวอินซอบจ้องมองภาพของตัวเองที่อยู่ในกระจก ตัวเขาในวัยที่เต็มไปด้วยรอยกระและความหวาดกลัวกำลังมองเขาจากในนั้น และเด็กคนนั้นก็กำลังส่งสายตาเชิงต่อว่ามาถามเขาว่า ‘นี่นายมาทำอะไรที่นี่กันแน่’
เขาส่ายหน้าและมองกระจกอีกครั้ง สายตาที่มีความหวาดกลัวยังคงอยู่ แต่เด็กผู้ชายคนนั้นโตขึ้นกว่าตอนนั้นมากแล้ว เขาโตถึงขนาดที่ว่าถ้าไม่ได้มองอย่างละเอียด ก็จะหารอยกระพวกนั้นไม่เจอ แม้เขาจะยังไม่สามารถสลัดท่าทีที่ดูเป็นเด็กออกไปได้ แต่ถึงอย่างนั้นตัวเขาในตอนนี้ก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว
“สู้ๆ นะ เพื่อเจนนี่”
ทันทีที่ชื่อเจนนี่หลุดออกมาจากปาก หัวใจของเขาก็เจ็บแปลบขึ้นมาด้วยความเคยชิน ไม่ว่าอย่างไรตลอดนะเวลาสองเดือนที่เขาเหลืออยู่ เขาจะต้องหาหลักฐานที่จะขุดคุ้ยตัวตนที่แท้จริงของอีอูยอนออกมาให้ได้
เขารู้ดีถึงตัวตนอีกตัวตนหนึ่งของอีอูยอนที่ไม่ใช่อีอูยอนที่ใครๆ ก็ชอบ และเขาจะต้องประกาศให้คนอื่นๆ รู้ให้ได้ เพราะเขาสัญญาเอาไว้แล้ว
แต่เขายังไม่มีหลักฐานที่จะมายืนยันถึงตัวตนที่แท้จริงของอีอูยอน
เพื่อที่เขาได้หลักฐานมาอยู่ในมือ ชเวอินซอบจะต้องตามติดอีอูยอนอยู่พักหนึ่งและรวบรวมข้อมูล ถ้าหากมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอีอูยอนแล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นอะไรเขาก็จะเก็บรวบรวมไว้ทั้งหมด ถึงขนาดที่ว่าแม้เขาจะโดนเรียกว่าเป็นสตอล์กเกอร์ก็ไม่เป็นไร แต่ข้อเสียเพียงอย่างเดียวที่เขาสามารถหาจากอีอูยอนได้ก็คือปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่แค่นั้นมันยังไม่พอ
หลักฐานที่บอกว่าอีอูยอนเป็นคนเน่าเฟะตั้งแต่แรกนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก หน้าที่ของเขาก็คือจะต้องขุดตัวตนที่ซ่อนอยู่ภายใต้โฉมหน้าที่อ่อนโยน ให้โลกได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วคนคนนั้นมีนิสัยที่โสมมแค่ไหน
เพื่อเจนนี่…เขาจะต้องทำเพื่อเธอคนนั้น
“คอยดูเถอะ ไอ้สารเลวเอ๊ย”
“ทำอะไรอยู่เหรอครับ”
“…!”
เสียงที่ดังขึ้นกะทันหันเรียกให้ชเวอินซอบหันหลังไปมองด้วยความตกใจ อีอูยอนที่เข้ามาในห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เดินมาอยู่ข้างๆ และเริ่มล้างมือ
หัวใจของชเวอินซอบเต้นรัวเหมือนจะระเบิด เขาจะได้ยินที่เราพูดไหมนะ ไม่ใช่ว่าเขาเข้าห้องน้ำมาเพราะรู้อะไรบางอย่างหรอกนะ ไม่ใช่ว่าสถานที่ที่เตรียมเอาไว้ในวันนี้เป็นอุบายที่อีอูยอนซึ่งรู้ความจริงทุกอย่างหมดแล้วสร้างขึ้นมาหรอกใช่ไหม
“ขอโทษนะครับ”
“ครับ?”
“ที่ทำให้รอน่ะครับ กลับไปทานอาหารกันเถอะครับ”
เขาทำสีหน้าเหมือนปกติ ชเวอินซอบก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ เหมือนมันจะยังไม่เป็นอะไรนะ
“วันนี้คุณไม่จำเป็นต้องไปส่งผมที่บ้านหรอกครับ เดี๋ยวผมจะกลับเอง”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
ชเวอินซอบรู้ได้โดยธรรมชาติเลยว่าบทสนทนาที่อีอูยอนคุยกับผู้หญิงคนนั้นตรงบันไดต้องเป็นเรื่องอะไรสักอย่างแน่ๆ ถ้าเขาสามารถทำได้ การถ่ายเซ็กส์เทปของอีกฝ่ายและอัปโหลดลงอินเตอร์เน็ต ก็น่าจะเป็นหนทางหนึ่งเหมือนกัน แต่เรื่องแบบนี้ต่อให้ตายแล้วฟื้นเขาก็ไม่สามารถทำได้…แค่คิดถึงฉากพวกนั้นเขาก็อารมณ์ไม่ดีแล้ว
“ท้องไส้ไม่ดีเหรอครับ”
“ครับ?”
“ก็สีหน้าของคุณน่ะ”
อีอูยอนที่ล้างมือเสร็จแล้วหาผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านหลังและชี้อินซอบจากในกระจก และแล้วชเวอินซอบก็ได้รู้ความจริงว่าเขาเผลอเอามือขึ้นมากดบริเวณกระเพาะและทำหน้านิ่วอยู่
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้เป็นอะไรเลยครับ”
“โล่งอกไปทีนะครับ อืม ไปกันไหมครับ”
ชเวอินซอบรีบดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าของตัวเองและยื่นให้อีกฝ่าย อีอูยอนกล่าวขอบคุณพร้อมกับรับผ้านั้นไป
ชเวอินซอบรับผ้าเช็ดมือที่เปียกชื้นมา ก่อนจะคว้าปลายเสื้อของอีอูยอนเอาไว้
“มีอะไรเหรอครับ”
“ช่วย…ก้มลงมาเดี๋ยวได้ไหมครับ”
อีอูยอนก้มคอลงตามคำขอของผู้จัดการส่วนตัว ชเวอินซอบใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดบริเวณริมฝีปากของอีอูยอน ถึงแม้มันจะเป็นความใจดีที่มากเกินไปหน่อย แต่ถ้าเป็นผู้จัดการส่วนตัวที่ต้องดูแลอีอูยอนแล้วล่ะก็ ชเวอินซอบก็ได้แต่เตือนตัวเองว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องทำ
“มันเลอะลิปสติกน่ะครับ…เรียบร้อยแล้วครับ”
“คุณชเวอินซอบนี่ใจดีจังเลยนะครับ”
เสียงหัวเราะจางๆ เหมือนกับความเค็มที่สัมผัสได้ในลมจากชายหาดปรากฏขึ้นในน้ำเสียงของอีอูยอนที่พูดแบบนั้น
“…ขอบคุณครับ”
ถ้าหากทำได้เขาอยากจะเอาหมัดชกแก้มของอีอูยอนและด่ากราดใส่อีกฝ่ายเสียตอนนี้เลย เขาอยากจะด่าอีกฝ่ายว่า ‘ไอ้ชั่วเอ้ย คนอย่างแกที่หลอกลวงเจนนี่จะต้องตกนรกเท่านั้น’ แต่คำพูดพวกนั้นน่าจะทำอะไรอีอูยอนไม่ได้แม้แต่ปลายผม
“ว่าแต่ที่คุณพูดตอนที่ทานอาหารเมื่อสักครู่นี้น่ะครับ…”
“ผมลืมไปแล้วครับ”
อีอูยอนยิ้มและรีบผายมือให้เขาเข้าไปในห้อง เขาเดินตามอีอูยอนที่เขาแสนจะเกลียดชังไปตามทางเดินและคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา
ถึงแม้จะไม่ได้อะไรมาอยู่ในมือ แต่ถ้ายื่นมือออกไปตอนนี้ มันก็เป็นระยะห่างที่สามารถจับอีอูยอนได้แล้วนี่นา ในตอนนี้แค่เท่านี้มันก็พอแล้วล่ะ
ชเวอินซอบเกลี้ยกล่อมให้ตัวเองพอใจในสิ่งที่มีไปก่อน