อีอูยอนอารมณ์ดี อีกฝ่ายรู้สึกผิดกับหินที่ไม่สำคัญอะไรขนาดนี้เลยเหรอ ถ้าหากแกล้งผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่อีกแค่นิดเดียว อีกฝ่ายก็คงจะหายไปเหมือนกับกระดาษ อีอูยอนสามารถทำได้ หากเขาตั้งใจแล้วล่ะก็เขาสามารถทำให้คนคนนี้ลาออกไปได้
“ช่วยไม่ได้นี่ครับ ถึงจะเป็นของสำคัญ แต่จะให้ทำยังไงล่ะครับ ในเมื่อมันหายไปแล้ว”
ของสำคัญ
เขาเปลี่ยนของสำคัญไปเรื่อยๆ เขาหยิบหิน ใบไม้ หรือพวงกุญแจใส่ไว้ในกล่องที่อยู่ในตู้เก็บของและบอกว่าเป็นเครื่องรางนำโชคหรืออะไรก็แล้วแต่ก่อนที่จะฝากมันไว้กับผู้จัดการส่วนตัวสักพัก
พอสบโอกาสเขาก็ไม่ลืมที่จะขโมยของพวกนั้นไปทิ้งถังขยะ ปฏิกิริยาของคนที่หลงเชื่อผลงานชิ้นเอกที่เหมือนเด็กเล่นของเขาค่อนข้างคล้ายกัน นั่นคือตกใจในตอนแรก ต่อมาก็รู้สึกผิดและเสียใจตามลำดับ พวกเขามักจะแก้ตัวว่าเช็คดูแน่แล้วและเอาของมาด้วยแล้ว แต่มันกลับหายไป
มันหายไปแน่นอน เพราะฉันเป็นคนเอาไปทิ้งยังไงล่ะ
“ไม่ต้องไปใส่ใจหรอกครับ”
แม้อีอูยอนจะยิ้มในขณะที่พูด แต่ชเวอินซอบกลับไม่พูดอะไรเลย ความเงียบที่น่าอึดอัดใจก่อตัวขึ้นในรถตู้
“ผะ ผมขอไปเข้าห้องน้ำสักครู่นะครับ”
ชเวอินซอบลุกขึ้นพลางพึมพำ อีอูยอนพยักหน้าและเปิดหนังสือที่อ่านค้างไว้เมื่อกี้ขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ชเวอินซอบที่ออกไปนั้นไม่กลับมา อีอูยอนแน่ใจว่าเวลาผ่านไปตั้งยี่สิบนาทีแล้วตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายออกไปจากรถตู้ เขาปิดหนังสือลง
ไปเป็นลมที่ไหนอีกหรือเปล่าเนี่ย
เขานึกถึงใบหน้าซีดๆ ของชเวอินซอบที่ออกไปจากรถตู้ แล้วเดาะลิ้นเบาๆ ถึงเขาจะไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นลมหรือไม่ แต่ถ้าให้บอกว่าเป็นความผิดของใคร ชื่อของอีอูยอนคงถูกพูดถึงในหนังสือพิมพ์อย่างแน่นอน แม้จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ แต่คนที่เห็นชเวอินซอบเป็นลมมีเยอะมาก
“ทำตัวน่ารำคาญจริงๆ เลย”
อีอูยอนสวมหมวกที่อยู่ในรถตู้และออกไปด้านนอก หากจะไปห้องน้ำ ก็จะต้องเดินออกไปพักสักหนึ่ง เพราะเขาสั่งให้อีกฝ่ายจอดรถในที่ที่ไม่ค่อยมีคน อีอูยอนหวังว่าชเวอินซอบจะเป็นลมอยู่บริเวณนี้และเริ่มออกเดิน
แต่ไม่มีร่างของผู้จัดการส่วนตัวที่หมดสติอยู่ในห้องน้ำหรือบริเวณใกล้ๆ เลย คำพูดของชเวอินซอบที่ถามเรื่องโทรหาหัวหน้าทีมชาโผล่ขึ้นมาในหัวของอีอูยอน
“อย่าบอกนะว่า…”
เขาเดินไปทางโรลเลอร์โคสเตอร์ที่ใช้ถ่ายทำเมื่อสักครู่นี้ เนื่องจากเป็นฤดูหนาวที่อากาศเย็น เวลานี้จึงมีลูกค้าไม่มากนัก ลมหายใจที่เป็นไอพร้อมกับคำด่าพรั่งพรูออกมาจากปากของอีอูยอน
“ไอ้โง่เอ้ย ไปทำอะไรอยู่ที่ไหนกันแน่วะ”
ด้านล่างของโรลเลอร์โคสเตอร์มีทะเลสาบเล็กๆ ที่ทางสวนสนุกสร้างเอาไว้ มันเป็นบ่อน้ำที่สร้างขึ้นมาเพื่อเพิ่มความน่ากลัวตอนที่รถไฟเหาะตีลังกา
เป็นไปตามที่อีอูยอนคิด ชเวอินซอบกำลังถกขากางเกงหากล่องอยู่ในบ่อน้ำ ร่างทั้งร่างของอีกฝ่ายสั่นเหมือนจะล้มลงไปในไม่ช้า
อีอูยอนแสร้งยิ้ม มีความจำเป็นตรงไหนไม่ทราบที่ต้องทำถึงขนาดนั้นเพื่อให้ตนดูดีขึ้น
“คุณชเวอินซอบ”
อินซอบยืดหลังขึ้นมาด้วยความตกใจทันทีที่อีอูยอนเรียก ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเสียการทรงตัวและล้มลงไปในบ่อน้ำ เจ้าโง่นี่ทำตัวประหลาดหลายครั้งแล้วนะ
อีอูยอนกดความรำคาญเอาไว้และประดิษฐ์เสียงที่ดูเป็นห่วงขึ้นมา
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“คะ ครับ ไม่เป็นอะไรครับ”
ชเวอินซอบที่พยายามจะลุกขึ้นเซไปเซมาและล้มลงไปอีกครั้ง อีอูยอนยิ้มพลางกลืนคำด่าลงคอ
“ไปทำอะไรตรงนั้นเหรอครับ”
“…กำลังหากล่องอยู่ครับ”
กล่องที่ชเวอินซอบกำลังหาอยู่ในกระเป๋ากางเกงของอีอูยอน เขาหยิบมาใส่กระเป๋าในระหว่างที่ชเวอินซอบนอนหมดสติอยู่ในรถ เขาคิดว่าพอสบโอกาสเขาจะทิ้งมันลงถังขยะ
“พอแล้วครับ รีบออกมาเร็ว”
“ผมจะหาให้เจอครับ”
ชเวอินซอบปิดปากสนิทด้วยความดื้อรั้นและหย่อนมือลงไปในบ่อน้ำอีกครั้ง
“ออกมาเถอะครับ คุณจะเป็นหวัดนะ”
“ไม่เป็นไรครับ คุณกลับเข้าไปก่อนเลย”
เขาดูไม่เหมือนคนที่ไม่เป็นอะไรเลยสักนิด ภาพชเวอินซอบควานหาของในน้ำท่ามกลางความมืดมิดพร้อมกับไหล่บางที่สั่นเทาเข้ามาในสายตาของอีอูยอน
“คุณอินซอบ ผมบอกว่าไม่เป็นไรไงครับ ออกมาได้แล้ว”
แม้เขาจะพูดแบบนั้น ชเวอินซอบกลับไม่แม้แต่จะแกล้งทำเป็นได้ยินด้วยซ้ำ อีอูยอนพิงต้นไม้และรอให้อีกฝ่ายเดินออกมาด้วยเท้าของตัวเอง
แต่ผ่านไปแล้วสิบนาทีชเวอินซอบก็ยังคงพยายามควานหากล่องที่ไม่ได้อยู่ในน้ำ
“ถึงไม่มีก็ไม่เป็นไรหรอกครับ มันก็แค่หินธรรมดา”
“ไม่ได้ครับ”
“ครับ?”
“ถึงจะเป็นหินธรรมดา แต่มันก็เป็นของสำคัญนี่ครับ”
“…”
อีอูยอนถอดรองเท้าและถกขากางเกงขึ้น
“…!”
ชเวอินซอบอ้าปากด้วยความตกใจกับภาพของอีอูยอนที่เดินลงน้ำมา
“จะไม่ออกไปจนกว่าจะหาเจอใช่ไหมครับ”
“…ครับ”
“งั้นก็หาด้วยกันครับ อย่างนั้นน่าจะดีกว่า”
“ผมหาคนเดียว…”
“คุณเปียกไปหมดแล้วนะครับ มันหนาวนะ รีบหาเร็วๆ”
อีอูยอนจุ่มมือลงไปในน้ำพลางพูด
น้ำเย็นจนหนาวไปถึงกระดูก ริมฝีปากของชเวอินซอบซีดด้วยความหนาว ถ้าทิ้งเอาไว้แบบนี้ เขาอาจจะต้องเก็บศพจริงๆ ก็ได้ และนั่นก็จะเป็นข่าวที่เลวร้ายที่สุดที่เขาไม่สามารถควบคุมได้
และสิ่งที่เขาสงสัยมากกว่าอะไรทั้งหมดคือทำไมผู้จัดการส่วนตัวที่โง่งมคนนี้ถึงต้องโกหกว่าเป็นแฟนคลับของเขาและทำจนถึงขนาดนี้ด้วย
อีอูยอนหยิบกล่องออกมาจากกระเป๋าในระหว่างที่ชเวอินซอบหันหลังและโยนไปในที่ที่เหมาะสม เขาแตะไหล่ของชเวอินซอบและชี้ให้ไปใกล้ๆ
“ผมจะไปตรงนั้นนะครับ ส่วนคุณอินซอบก็ไปทางโน้น”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
ในขณะที่ตอบเชวอินซอบก็มองอีอูยอนด้วยสายตาเป็นห่วงไปด้วย เขาอยากจะพูดว่าห่วงตัวเองเถอะ ไอ้โง่เอ๊ย แต่อีอูยอนกลับด่าทางสายตาแทน
“โอ๊ะ!”
ชเวอินซอบตาเป็นประกายและวิ่งเข้าไปทันทีเพราะเขาเจอกล่องแล้ว เขาหยิบกล่องที่เปียกน้ำขึ้นมาและตะโกน
“เจอแล้วครับ!”
“อย่างนั้นเหรอครับ”
อีอูยอนสะบัดน้ำออกจากมือพลางตอบ
“ออกมาเร็วครับ เดี๋ยวจะเป็นหวัดนะ”
“ครับ ขอโทษนะครับ”
ทันทีที่ขึ้นจากน้ำชเวอินซอบก็เช็ดน้ำบนกล่องที่กำลังถืออยู่และตรวจสอบด้านใน
“ปล่อยภัยดีครับ”
“…จริงด้วยครับ”
เขายื่นกล่องให้อีอูยอน อีอูยอนเอากล่องใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงพลางเอ่ยขึ้น
“ขอบคุณนะครับ เป็นเพราะคุณแท้ๆ ถึงหาเจอ”
“ไม่หรอกครับ ถ้าผม…”
หน้าของชเวอินซอบซีดขึ้นไปอีกหนึ่งระดับทันทีที่ขึ้นจากน้ำ ร่างกายสั่นจนทำให้คนที่ผ่านไปมาเหลือบดู อีอูยอนถอดเสื้อคลุมที่ใส่อยู่ออกและห่มลงบนร่างของอีกฝ่าย
“ไม่เป็…”
“หยุดเลยครับ ใส่ไปเถอะ”
เหมือนอีกฝ่ายจะปฏิเสธอยู่ตลอด อีอูยอนจึงสวมเสื้อคลุมให้ด้วยตัวเอง ชเวอินซอบพึมพำว่าขอบคุณในขณะที่ยังก้มหน้าอยู่ อีอูยอนเช็ดน้ำบนเท้าของตนและสวมรองเท้า ร่างของชเวอินซอบไม่หยุดสั่นแม้จะสวมเสื้อผ้าเพิ่มอีกชั้นก็ตาม
“ขอโทษนะคะ…”
มิหนำซ้ำผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่เหมือนจะจำอีอูยอนได้ก็ยืนล้อมคนทั้งคู่ไว้ อีอูยอนดึงหมวกให้ต่ำลงพลางดึงเสื้อของชเวอินซอบเอาไว้ ชเวอินซอบแหวกทางผ่านผู้หญิงกลุ่มนั้น เขาเอ่ยขอโทษพร้อมเอ่ยขอทาง แม้อีอูยอนจะรู้สึกอึดอัดใจกับผู้จัดการส่วนตัวที่มีมารยาทแม้กระทั่งในช่วงเวลาแบบนี้ แต่เขาก็ทำเพียงเดินไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไร
“ใช่พี่อีอูยอนหรือเปล่าคะ”
“ไม่ใช่ครับ”
อีอูยอนลองตอบไปด้วยเสียงต่ำๆ แต่มันก็ไร้ประโยชน์ เหล่าผู้หญิงที่มีตาเหมือนเหยี่ยวล้อมเขาเอาไว้ทันทีพลางส่งเสียงกรี๊ด
“กรี๊ด! ตายแล้ว อีอูยอนจริงๆ ด้วย”
“พี่คะ ขอลายเซ็นหน่อยค่า”
“ถ่ายรูปด้วยกันสักครั้งเถอะนะคะ ฉันเป็นแฟนคลับของพี่ค่ะ”
ผู้หญิงพวกนั้นล้อมเขาไว้และส่งเสียงกรี๊ด แต่อีอูยอนกลับทำเป็นไม่รู้และเดินมองไปข้างหน้าอย่างเดียว ชเวอินซอบรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายกำลังอารมณ์ไม่ดีมาก
“พี่คะ! เดี๋ยวค่ะ พี่!”
เด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งจับชายเสื้อของอีอูยอนพร้อมกับดึงเขาเอาไว้ แล้วผู้หญิงกลุ่มเดียวกันก็ใช้จังหวะนี้เข้าล้อมอีอูยอน คนที่ได้ยินเสียงกรี๊ดของพวกเธออยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและเบนสายตามาทางนี้
“พี่อูยอน ฉันชอบพี่มากเลยค่ะ”
“พี่คะ ขอลายเซ็นหน่อยค่ะ”
คนค่อยๆ เริ่มเข้ามามุง การขยับตัวรวมถึงความสามารถในการตัดสินใจของชเวอินซอบช้าลงเพราะอากาศหนาว เขาจึงไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี
จู่ๆ อีอูยอนก็จับมือของชเวอินซอบเอาไว้ และเริ่มก้าวเร็วๆ พวกผู้หญิงที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังเดินตามพวกเขาไม่หยุดพร้อมกับเรียกอีอูยอนไปด้วย แต่เขาก็ไม่หันกลับไปมองแม้แต่ครั้งเดียว
“คือว่า…”
เขาพยายามจะบอกว่าทางนี้ไม่ใช่ทางไปลานจอดรถ แต่เป็นทางโน้นต่างหาก แต่เพราะอีอูยอนจับมือเขาลากไปอย่างแรง อินซอบจึงทำได้แค่หุบปากเอาไว้ อินซอบต้องเดินจะเหมือนวิ่งเพราะความสูงที่ต่างกัน
ผู้หญิงที่ส่งเสียงกรี๊ดพวกนั้นตกใจกับการกระทำที่เย็นชาของผู้ชายที่พวกเธอเชื่อว่าเป็นอีอูยอนและทำได้แค่วิ่งตามด้วยระยะห่างที่พอดีเท่านั้น
อีอูยอนพาชเวอินซอบเข้าไปด้านในชิงช้าสวรรค์
“เอ่อ คุณลูกค้าคะ ตอนนี้เครื่องเล่นปิดแล้วค่ะ…”
“ช่วยเปิดให้สักรอบเถอะนะครับ”
อีอูยอนถอดหมวกที่ใส่อยู่ออกพลางยิ้ม พนักงานจำเขาได้และแสดงออกทางสีหน้าว่าจะขอให้เขาเซ็นลายเซ็นให้
“รอบเดียวนะครับ แต่หมุนช้าๆ ได้ไหมครับ เพราะผมกำลังโดนตามอยู่”
อีอูยอนชี้ไปทางพวกผู้หญิงที่เดินมาทางนี้จากที่ไกลๆ พลางพูด พนักงานยิ้มให้กับน้ำเสียงขี้เล่นของเขาและช่วยปิดประตูชิงช้าสวรรค์ให้ ชเวอินซอบถอนหายใจออกมาทันทีที่พวกเขาค่อยๆ ห่างจากพื้นและนั่งลง อีอูยอนเองก็นั่งลงตรงข้ามกับเขา
“…ขอโทษนะครับ”
ชเวอินซอบที่ปากซีดเหมือนคนตายเอ่ย
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“เป็นเพราะผมเองครับ ถ้าผมรักษากล่องนั้นไว้ดีๆ ตั้งแต่แรก เรื่องแบบนี้ก็คงเกิดขึ้น…ขอโทษครับ”
อีอูยอนพิงหน้าต่างพลางมองชเวอินซอบที่กำลังก้มหัวอยู่ตรงหน้าตน เขารู้ว่าคำขอโทษที่ออกมาเมื่อสักครู่นั้นถูกกลั่นออกมาจากใจ
เขาจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่อีอูยอนแค่หันหน้าไปเสียเฉยๆ ทำไมตอนนี้เขาถึงไม่มีอารมณ์แกล้งทำตัวเป็นคนใจดีก็ไม่รู้ มีเพียงเสียงฟันของชเวอินซอบกระทบกันกึกกึกเท่านั้นที่ดังขึ้นภายในชิงช้าสวรรค์ที่เงียบสงบ
“หนาวเหรอครับ”
อีอูยอนมองชเวอินซอบที่ตัวสั่นงกๆ พลางเอ่ยถาม
“…ครับ นิดหน่อย”
“มานั่งข้างผมสิครับ”
อีอูยอนชี้ไปที่ที่นั่งข้างตัว แต่ชเวอินซอบกลับส่ายหัวและไม่ยอมขยับไปไหนเลย
“ทำไมล่ะครับ ไม่อยากมานั่งข้างๆ ผมเหรอ”
“ปะ…เปล่าครับ”
อินซอบที่ตัวสั่นเทาเดินมานั่งข้างอีอูยอนอย่างเสียไม่ได้ แม้เขาจะรู้สึกว่าตัวของอีอูยอนอุ่น แต่เขากลับรู้สึกผิดบาป นั่นเพราะอีอูยอนเป็นมนุษย์ที่ไม่มีเลือดอุ่นๆ ไหลเวียนอยู่ในร่างกายตามที่เขาเชื่อหรือเปล่านะ แต่พอถูกจับให้มาอยู่ในสถานที่แคบๆ นี้ด้วยกัน เขาจึงไม่สามารถหลบเลี่ยงอีอูยอนได้ ชเวอินซอบคิดว่าถ้าหากเป็นแฟนคลับหรือผู้จัดการส่วนตัวธรรมดาก็คงจะต้องทำแบบนี้และปรับการกระทำของตนให้เหมาะสม
“คุณชเวอินซอบครับ”
“ครับ?”
จากท่าทางของชเวอินซอบที่ตัวสั่นเทาด้วยความหนาวทำให้อีอูยอนนึกถึงลูกหมาที่เปียกน้ำขึ้นมา แต่เป็นลูกหมาผอมแห้งที่ยั่วยุนิสัยที่โหดร้ายของมนุษย์ ไม่ใช่ลูกหมาตัวอวบอ้วนน่ารัก
อีอูยอนยิ้มให้ชเวอินซอบที่เงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสายตาหวาดกลัว
“ทำไมถึงเป็นแฟนคลับของผมเหรอครับ”