“ครับ? อ๋อ คือผมได้ดูหนัง…”
ชเวอินซอบรู้สึกสับสน แม้เขาจะเคยคิดว่าอาจเจอคำถามประเภทนี้ แต่เขาไม่แม้แต่จะฝันเลยว่าคนถามจะเป็นตัวอีอูยอนเอง
“หนังเป็นไงเหรอครับ”
“ดีครับ”
“แล้ว?”
เป็นคำถามที่เขารู้สึกถึงความดื้อดึงโดยไม่รู้ที่มาที่ไป ชเวอินซอบใช้เล็บนิ้วโป้งกดลงบนปลายนิ้วและพยายามตอบอย่างสุขุม
“ผมคิดว่ามันดีเพราะ…สายตาที่คุณมองทะเล…กับสีหน้าที่คุณแสดงออกมาได้เป็นอย่างดี…มันทำให้เหมือนกับคุณอยู่ตัวคนเดียว”
คำพูดนี้เป็นความจริง ชเวอินซอบย้อนดูภาพยนตร์ที่อีกฝ่ายแสดงเป็นสิบเป็นร้อยรอบเพื่อที่จะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับนักแสดงที่ชื่ออีอูยอน ผลงานที่เขาดูบ่อยมากที่สุดคือภาพยนตร์นอกกระแสที่อีกฝ่ายเล่นเป็นเรื่องแรก
ภาพยนตร์เรื่องนั้นเริ่มต้นด้วยการที่เขาโปรยเถ้าของผู้หญิงที่เขารักลงทะเล และมีฉากหลังเป็นทะเลตลอดทั้งเรื่อง เป็นผลงานที่เขาได้รับคำชมว่าแสดงถึงความเศร้าที่อยู่ในชีวิตประจำวันเล็กๆ น้อยๆ และธรรมดาได้อย่างโดดเด่น ชเวอินซอบไม่สามารถลืมฉากสุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนั้นได้เลย
ใบหน้าของอีอูยอนที่มองทะเลลำพังโดยไม่พูดอะไรนั้นเปล่าเปลี่ยวอย่างร้ายกาจ เขาแสดงสีหน้าของคนที่อยู่ลำพังออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบราวกับว่าทุกคนในโลกหายไปและเขาเป็นคนเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่บนโลก
คนที่อยู่ลำพัง เขาไม่รู้ว่าคำนี้เป็นคำอธิบายที่ถูกหรือเปล่า แต่ชเวอินซอบมักจะนึกถึงคำนี้ขึ้นมาในหัวทุกครั้งที่เขาเห็นอีอูยอน
“ก่อนหน้านี้ผมว่าจะถาม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถาม”
น้ำเสียงอ่อนโยนของอีอูยอนเรียกให้ชเวอินซอบกลับมาสู่ความเป็นจริง
“เมื่อไหร่ และคือคำพูดอะไรเหรอครับ”
“วันที่เราทานข้าวด้วยกันน่ะครับ”
ชเวอินซอบพยักหน้า เขานึกขึ้นได้ว่าวันนั้นอีกฝ่ายพยายามจะพูดอะไรบางอย่างกับเขา แต่ก็ลุกออกไปเพราะอาหารของเชฟ
“ที่ผ่านมาผมเจอแฟนคลับที่บอกว่าชอบผมมาเยอะมากเลยนะครับ”
“…ครับ”
ภายในปากที่เอ่ยตอบออกไปแห้งผาก แม้ชเวอินซอบจะพยายามทำตัวเป็นแฟนคลับ แต่เขากลับกังวลว่าท่าทีของตนดูน้อยเกินไปหรือเปล่า
“ความจริงแล้วผมเหนื่อยกับการเผชิญหน้ากับคนที่บอกว่าชอบผมนิดหน่อยน่ะครับ”
“…ครับ”
“ผมไม่รู้เลยว่าเขาชอบส่วนไหนของผม แล้วก็คิดว่าพวกเขาจริงใจหรือเปล่า ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกชอบคุณแฟนๆ ที่ชอบและคอยให้กำลังใจผมอยู่เสมอก็ตาม”
ความจริงใจของอีอูยอนในคำพูดที่เขาพูดออกมาจากหมดเปลือกมีไม่ถึงปลายเล็บด้วยซ้ำ อีอูยอนรำคาญพวกแฟนคลับ เขาเกลียดคนที่วิ่งตามเขาอย่างไม่มีมารยาทบนถนน และเกลียดพวกเด็กผู้หญิงที่กรี๊ดออกมาอย่างไม่รู้จักอายด้วย สำหรับอีอูยอนแล้วแฟนคลับเป็นเพียงหนทางเพื่อยืนยันอันดับของตนเท่านั้น
“คือมันเป็นอย่างนี้นะครับ ถ้าคนคนหนึ่งบอกว่าชอบเรา เราก็จะสนใจกับการกระทำของตัวเองมากขึ้น และเราก็จะกังวลว่าเราจะทำให้เขาผิดหวังหรือเปล่า”
“ครับ”
แม้เขาจะตอบรับอยู่ตลอด แต่ชเวอินซอบกลับไม่รู้ถึงจุดประสงค์ที่อีอูยอนมาพูดแบบนี้กับตนเลยสักนิด …อย่าบอกนะว่าเขาพยายามจะพูดอ้อมๆ ว่ารำคาญ เพราะเราแกล้งทำตัวเป็นแฟนคลับมากเกินไป ชเวอินซอบคิดว่าคืนนี้เขาจะกลับบ้านไปจดโน้ตว่าตนเองสามารถแสดงได้ดีเกินคาด
“คุณอินซอบชอบผมหรือผลงานที่ผมแสดงกันแน่ครับ”
คำถามที่เหนือความคาดหมายทำให้ชเวอินซอบเบิกตาโพลงและมองผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ และคำถามนั้นทำให้เขาเผยสีหน้าไม่พร้อมรับมือออกมา
“ผมอยากรู้น่ะครับว่าคุณชอบอะไร”
“เอ่อ คือผม…”
เกิดปรากฏการณ์บิ๊กแบง[1] ขึ้นในหัวเล็กๆ ของเขา
บอกว่าชอบเขาหรือชอบแค่ผลงานของเขาจะดีกว่ากันนะ เขาคิดว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไรถ้าบอกว่าผมไม่ค่อยชอบคุณ แต่ชอบผลงานของคุณ แต่ถ้าหากใครสักคนมาบอกว่าชอบตนตรงหน้า อีอูยอนจะต้องแสดงความไม่สบายใจออกมาอย่างแน่นอน ความกังวลที่ว่าต้องเลือกทางไหนถึงจะสามารถช่วยเรื่องงานของเขาได้ในอนาคตผุดขึ้นเต็มหัวสมองของชเวอินซอบ
“ผมว่าผม…น่าจะเป็นแฟนคลับของคุณอีอูยอนในฐานะนักแสดงครับ”
ถ้าจะให้พูดตรงๆ เขาน่าจะใกล้เคียงกับแอนตี้แฟนของอีอูยอนมากที่สุด แต่ตอนนี้เขาทำดีที่สุดแล้วกับการพูดแบบนั้นออกไป
“ดังนั้นผมเลยอยากช่วยอยู่ข้างๆ เพื่อให้คุณสามารถถ่ายผลงานที่ดียิ่งขึ้นได้น่ะครับ ตอนนี้ผมก็เลย…เป็นแบบนี้”
ชเวอินซอบฝึกหน้ากระจกมานับครั้งไม่ถ้วนเพื่อวันนี้ การที่เขาซึ่งไม่เคยโกหกคู่สนทนาเลยสักครั้งต้องมาหลอกใครสักคนเป็นเรื่องยากกว่าที่คิด แต่เขาก็จะต้องทำให้ได้
“เป็นแฟนคลับของนักแสดงอีอูยอนน่ะเหรอครับ”
“ครับ”
อีอูยอนระเบิดหัวเราะเสียงดังให้กับคำตอบที่ไม่มีความลังเลของชเวอินซอบ อินซอบมองภาพที่อีกฝ่ายหัวเราะจนหัวเอนไปทางด้านหลังอย่างเหม่อลอย
หรือว่าเขาจะตอบผิด
“โล่งอกไปทีนะครับ”
“…!”
“ผมโล่งอกน่ะครับ เพราะผมคิดว่าถ้าคุณอินซอบคาดหวังในตัวผมมากๆ ผมจะต้องรู้สึกลำบากใจแน่”
อีอูยอนวางมือลงบนบ่าของชเวอินซอบ ท่าทางนั้นดูเป็นธรรมชาติ และการขยับมือก็รักษาระยะห่างกับความชื่นชมเอาไว้ได้อย่างพอดิบพอดี
“ขอให้โชคดีในอนาคตนะครับ”
“…ครับ”
ฝ่ามือของอีอูยอนตบลงบนหลังของชเวอินซอบอย่างร่าเริง เขารู้สึกว่าหลังของเขาไหม้เกรียม ทั้งยังมีความรู้สึกที่เขาไม่รู้จักชื่อปกคลุมไปทั่วทั้งตัว แม้เขาจะพยายามไม่เป็นแบบนั้น แต่ชเวอินซอบกลับตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
รอยยิ้มแปลกๆ หายไปจากใบหน้าของอีอูยอนหลังจากเห็นท่าทางนั้น
“หนาวเหรอครับ”
“…ครับ”
แม้ตัวเขาจะอุ่นขึ้นกว่าเมื่อสักครู่และไม่ได้รู้สึกหนาวขนาดนั้นแล้ว แต่อินซอบกลับมีแค่คำพูดนั้นคำพูดเดียวเป็นคำแก้ตัว
“ขยับเข้ามาใกล้อีกสิครับ”
“ครับ ขอบคุณครับ”
อีอูยอนทอดสายตามองสีหน้าของอีกฝ่ายที่ตึงเครียดขึ้นทุกครั้งที่ไหล่แตะกัน ชเวอินซอบไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี เพราะรู้สึกได้ถึงสายตาของอีกฝ่าย เขาจึงหันหน้าไปทางนอกหน้าต่าง
เขาต้องเกลียดเราแน่นอน
อีอูยอนเท้าคางมองชเวอินซอบและยกยิ้มมุมปาก แม้เขาจะไม่ได้รู้สึกสนุกกับการมองท่าทางสับสนของผู้จัดการส่วนตัวที่ไม่รู้ว่ามีแผนอะไรในใจ แต่อีกใจหนึ่งเขาก็รู้สึกสงสัย
ทำไมเจ้าหมอนี่ถึงแสดง ‘ผลงานชิ้นเอก’ ได้เงอะงะขนาดนั้นนะ
เขาคิดว่าจะลองปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่ข้างๆ ต่ออีกสักหน่อย เขาไม่สนใจอยู่แล้ว ไม่มีใครขี้เบื่อเท่าเขาอีกแล้ว ถ้าเขามองแล้วเบื่อ ก็แค่ไล่ออกเท่านั้นเอง
คนทั้งคู่มองแสงไฟที่ไกลออกไปในขณะที่จมอยู่กับความคิดของตัวเองภายในชิงช้าสวรรค์แคบๆ
***
“รายการที่ช่องเอสจะทำเหรอ ไม่ได้เด็ดขาด”
กรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงที่นอนคว่ำอยู่พูดอย่างเฉียบขาด
“ทำไมล่ะครับ”
อีอูยอนเอ่ยถาม เขานอนคว่ำอยู่เช่นกันบนเตียงข้างๆ ที่ค่อนข้างห่างออกมา
“ก็ที่นั่นเขาจะเชิญแขกรับเชิญไปสาดคำถามใส่แบบตรงไปตรงมาน่ะสิ เสน่ห์ของนายคือความลึกลับนะ นายจะไปที่นั่นเพื่อพูดอะไรล่ะ!”
“พูดแค่พอสมควรก็ไม่ได้เหรอครับ”
“พูดแค่พอสมควรบ้าอะไรล่ะ!…”
กรรมการผู้จัดการคิมพูดถึงตรงนั้น เขาเห็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนหลับตาอยู่ตรงหน้าพลางกัดริมฝีปาก อีอูยอนเป็นคนที่ชอบทำอะไรบ้าๆ เขาน่าจะเป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เพราะสามารถซ่อนนิสัยเสียๆ ของตัวเองได้ดีมาก แม้หัวหน้าทีมชากับกรรมการผู้จัดการคิมจะรู้สึกสังหรณ์ใจว่าหมอนั่นจะไม่สามารถเอาชนะนิสัยเสียๆ นั่นได้และเกิดเรื่องขึ้นในสักวัน แต่มันก็ถูกความเพ้อฝันรบกวนไว้
“ไม่ว่ายังไงก็ไม่ได้เด็ดขาด ไม่มีรายการอื่นแล้วเหรอ”
“ผมไม่จำเป็นต้องไปออกรายการโชว์นี่ครับ”
“ไม่รู้หรือไงว่ามันเป็นมารยาทก่อนที่จะเข้าร่วมละครหรือหนัง”
“งั้นผมจะให้สัมภาษณ์เพิ่มอีกสองสามที่ก็แล้วกัน”
“อันนั้นก็ไม่ได้ โปรดิวเซอร์เพิ่งติดต่อมาเมื่อวานให้เราช่วยโปรโมทให้ได้มากที่สุด ใช่ไหมอินซอบ”
“ครับ ผมเพิ่งได้รับการติดต่อมาเมื่อวานนี้เอง”
ชเวอินซอบที่นั่งอยู่ตรงข้ามตอบ
“ยังไงมันก็ต้องลงทุนเยอะอยู่แล้ว เพราะมันเป็นละครย้อนยุค เขาเลยต้องการให้เราช่วยโปรโมท
“ก็แน่นอนอยู่แล้วล่ะ เพราะเขาโปรยเงินลงไปแล้วนี่ ถ้าเป็นตัวกรรมการผู้จัดการเอง คุณจะไม่ทำแบบนั้นเหรอครับ”
หัวหน้าทีมชาที่นวดเท้าอยู่ข้างๆ พูดเสริม
“ทำไมนายถึงต้องตามมาบ่นถึงที่นี่ด้วย”
“ร่างผมก็ทำงานหนักเหมือนกันนะครับ แล้วผมจะทนมองพวกคุณนวดกันอยู่สองคนได้ยังไง”
ความสนุกในชีวิตของกรรมการผู้จัดการคิมมีอยู่สามอย่าง แฟชั่น ตกปลา และการนวด หัวหน้าทีมชาฉวยโอกาสตามหลังกรรมการผู้จัดการคิมที่ฮัมเพลงระหว่างพาอีอูยอนไปที่สปาระดับสูงที่ต้องจองล่วงหน้าหนึ่งเดือนถึงจะได้ใช้บริการไปเงียบๆ เขายืนกรานว่าคนอื่นเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ต้องพาเขาไปด้วย
แม้อีกฝ่ายจะโวยวายว่าตนจะประชุมทางการกับอีอูยอน ให้เขาออกไปก่อน แต่หัวหน้าทีมชาก็ไม่คล้อยตาม เพราะกรรมการผู้จัดการคิมจะฮัมเพลงแค่ตอนที่จะไปซื้อเสื้อผ้า ตกปลา หรือนวดเท่านั้น
ในที่สุดผู้ชายสี่คนก็ได้นวดในห้องเดียวกัน เพราะอินซอบยืนกรานว่าให้ตายเขาก็จะไม่นวดทั้งตัวเด็ดขาด เขาจึงนั่งนวดเท้าอยู่ข้างๆ หัวหน้าทีมชา
“ไม่มีรายการทอล์คโชว์ที่ใช้ได้บ้างเลยเหรอ”
“อีอูยอนไม่ใช่สไตล์ของทอล์คโชว์เลยครับคุณกรรมการผู้จัดการ”
หัวหน้าทีมชาที่รู้ธาตุแท้ของเขาแสดงความคิดเห็นอย่างระมัดระวัง
“เอ่อ แล้วรายการแบบไหนถึงจะดีล่ะครับ คุณอินซอบคิดว่ายังไงบ้าง”
ทันทีที่สายตาของอีอูยอนหันมาที่ตน ชเวอินซอบก็ยืดตัวขึ้นพลางเอ่ยตอบ
“ผมเห็นด้วยกับหัวหน้าทีมชานะครับ”
“นี่นายกำลังประชุมห้องเรียนอยู่หรือไง”
หน้าของชเวอินซอบแดงขึ้นมาทันทีที่กรรมการผู้จัดการคิมล้อ พอหน้าของเขาแดง รอยกระที่เรียงตัวยาวไปจนถึงตรงสันจมูกก็ชัดขึ้น และมันก็ทำให้อินซอบดูเด็กลงไปอีก อีอูยอนเพิ่งรู้เรื่องนี้เมื่อไม่นานมานี้ บางทีเขาก็รอคำพูดล้อเล่นที่ไม่มีสาระของกรรมการผู้จัดการคิมเหมือนกัน
“เพราะฉะนั้นในความคิดของผม”
ชเวอินซอบหยิบสมุดโน้ตที่อยู่ในกระเป๋าออกมา เขาพลิกกระดาษไปสองสามหน้าก่อนจะพูดต่ออย่างใจเย็น
“มีรายการที่ชื่อว่า ‘ตามทางเดินของประวัติศาสตร์’ ของช่องเคอยู่ครับ รายการนี้ดำเนินรายการเหมือนกับสารคดี แต่จะบอกเล่าถึงเหตุการณ์หรือไม่ก็บุคคลที่สำคัญในประวัติศาสตร์ครับ ปกติแล้วนักพากย์จะเป็นคนบรรยาย แต่บางครั้งพวกนักแสดงก็ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บรรยายเหมือนกันครับ ผมได้ยินมาว่าเขากำลังเตรียมเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับยุคสมัยที่คุณอีอูยอนตัดสินใจแสดงอยู่ ผมคิดว่าถ้าหากคุณอีอูยอนเป็นคนให้เสียงพากย์ เขาก็น่าจะแก้ไขเนื้อหาให้นะครับ ทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้ครับ”
“อินซอบ นายนอนตอนไหนกันแน่”
“ครับ? เมื่อคืนผมก็นอนนะครับ”
“ฮ่าๆๆๆ นายนี่ตลกจริงๆ เลย”
กรรมการผู้จัดการคิมหัวเราะเหมือนคนบ้า ชเวอินซอบนึกว่าตนทำอะไรผิดอีกแล้วและก้มหน้าลง แม้เขาจะใช้ภาษาเกาหลีที่เรียนมาจากพ่อได้เหมือนเป็นภาษาแม่ แต่เขาก็ยังขาดความเข้าใจในเรื่องการใช้ประโยคคำถาม ตัวอย่างเช่น เป็นเรื่องยากมากๆ สำหรับเขาที่จะแยกว่าอีกฝ่ายถามเพราะสงสัยจริงๆ หรือใช้ประโยคคำถามที่มีความหมายอื่นแฝงเอาไว้
“งั้น…ที่ถามว่าได้นอนตอนไหนเนี่ย เป็นคำทักทายเฉยๆ เหรอครับ”
ตอนนั้นเองชเวอินซอบก็ได้เข้าใจถึงจุดประสงค์ในคำถามที่กรรมการผู้จัดการคิมโยนมาให้
“ใช่ นายคอยตามอีอูยอนทั้งวันน่าจะเหนื่อยนะ แต่นายก็ยังตั้งใจหาข้อมูลอะไรแบบนี้มาอีก”
“ก็ผมบอกแล้วไงครับว่าเขาทำงานเก่ง”
อีกฝ่ายกล่าวคำชมที่อ่อนโยนออกมา เพราะคำพูดของอีอูยอน ชเวอินซอบจึงวางตัวไม่ถูกเหมือนกับคนต้อยต่ำได้รับบุญคุณจากคนสูงศักดิ์
“ผมจะทำตามที่ผู้จัดการส่วนตัวของผมบอกครับ”
หัวหน้าทีมชาที่ได้ยินคำพูดของอีอูยอนผิวปากออกมา แม้อีอูยอนจะทำตัวมีมารยาทกับพวกผู้จัดการส่วนตัว แต่เขากลับไม่สามารถจินตนาการถึงภาพที่อีกฝ่ายทำตามความคิดเห็นนั้นได้เลย หัวหน้าทีมชาคิดไม่ออกเลยว่าหมอนั่นทำแบบนี้ด้วยความคิดอะไรกันแน่
[1] ปรากฏการณ์บิ๊กแบง การระเบิดครั้งใหญ่ เป็นการระเบิดที่ทำให้เกิดเอกภพ เอกภพประกอบไปด้วยดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ และกาแล็กซีต่างๆ