อีอูยอนดึงหมอนมาปิดหูตอนที่ได้ยินเสียงกริ่ง แต่เสียงกริ่งก็ยังดังไม่หยุด
“เหี้ยเอ้ย”
อีอูยอนเขวี้ยงหมอนออกไปและลุกจากเตียง มันเป็นเวลาสิบโมงเช้า เขาอ่านหนังสือจนถึงตีสามและหลับไป เพราะมันเป็นวันที่เขาไม่มีตารางงาน นั่นหมายความว่าไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับสิทธิ์ในการปลุกอีอูยอนขึ้นมาตั้งแต่สิบโมงเช้า
เขาไม่ถามออกไปว่าอีกฝ่ายเป็นใครและเปิดประตูหน้าบ้านออกไปจนสุด
ผู้ชายที่กดกริ่งหน้าบ้านของเขามองอีอูยอนทั้งๆ ที่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
“มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
อีอูยอนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงง่วงงุน ชเวอินซอบตอบกลับมาอย่างตะกุกตะกัก
“ตะ ตะ ตารางงานวันนี้ถูกเปลี่ยนครับ ผมได้รับการติดต่อมาว่าจะต้องถ่ายงานที่มีกำหนดถ่ายมะรืนนี้ภายในเช้าวันนี้”
“…”
ความรำคาญที่เห็นอยู่ลางๆ หายไปจากใบหน้าของอีอูยอน การที่ตารางการถ่ายทำถูกเปลี่ยนไม่ใช่เรื่องหายาก แต่มันก็เป็นหน้าที่ของชเวอินซอบไม่ใช่หรือไง
“ขอโทษนะครับ”
ชเวอินซอบก้มหัว
“ไม่เป็นไรครับ มันไม่ใช่ความผิดของคุณชเวอินซอบสักหน่อย ไม่เป็นไรหรอกครับ”
อีอูยอนสวมหน้ากากคนดีและเอ่ยตอบ ทันทีที่เขาบอกให้อีกฝ่ายเข้ามาและหลบออกไปจากประตู ชเวอินซอบก็ผงะและมองไปรอบๆ
“คุณจะยืนอยู่ข้างนอกจนกว่าผมจะเตรียมตัวเสร็จเหรอครับ”
“อ๋อ…ครับ ได้ครับ”
แม้จะเข้ามาจนถึงด้านในของประตูหน้าบ้านแล้ว แต่ชเวอินซอบก็ไม่คิดที่จะถอดรองเท้าออก
อีอูยอนต้องบอกให้อีกฝ่ายเข้ามารอด้านในอยู่ถึงสองสามรอบ ชเวอินซอบถึงจะยอมถอดรองเท้า
“นั่งรอตรงนี้นะครับ จะรับเครื่องดื่มอะไรไหมครับ”
“ไม่ครับ ไม่เป็นไรครับ ผมจะรออยู่เฉยๆ ครับ”
ชเวอินซอบโบกมือและกระโดดเหยงๆ ราวกับว่าเขาได้ยินคำพูดที่ไม่ควรได้ยิน อีอูยอนคิดว่านี่ไม่ใช่นิสัยที่จะทำงานในแวดวงนี้ได้เลย แม้ความจริงใจจะเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัว แต่ความหน้าด้านก็เป็นส่วนประกอบที่จำเป็นด้วยเช่นกัน พอเขาหยิบน้ำแร่ออกมาจากตู้เย็นและหันกลับมามอง ชเวอินซอบที่นั่งอยู่บนโซฟาก็เอามือทั้งสองข้างขึ้นมาวางไว้บนเข่าในขณะที่ยังประหม่าอยู่ เขาจะทำงานได้อย่างไรด้วยนิสัยแบบนี้ แต่มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเราอยู่แล้ว เพราะอย่างไรเสียอีกสองสามเดือนหลังจากนี้เราก็จะไม่ได้เจอเขาอีก แล้วอีอูยอนเดินเข้าห้องน้ำไปเพื่ออาบน้ำ
ชเวอินซอบที่ถูกทิ้งเอาไว้คนเดียวตรวจดูให้แน่ใจว่าประตูห้องน้ำปิดลงแล้ว จากนั้นก็เริ่มหันไปมองรอบๆ การตกแต่งภายในที่ทันสมัยและเป็นระเบียนเผยให้เห็นรสนิยมของอีอูยอนดึงดูดสายตาของเขา มันเป็นระเบียบเรียบร้อยและสะอาดสะอ้านจนยากที่จะเชื่อว่านี่เป็นบ้านที่มีผู้ชายอาศัยอยู่ตามลำพัง
ส่วนที่ถูกทำให้ไร้ระเบียบมีเพียงแค่เตียงที่ยังไม่ได้จัดกับหนังสือที่วางเอาไว้บนโต๊ะเท่านั้น ชเวอินซอบมองหาชื่อหนังสือที่อีกฝ่ายอ่านอย่างรวดเร็ว เพราะเขาเป็นคนที่ความจำค่อนข้างดี เพียงแค่มองปราดเดียวเขาก็จำชื่อหนังสือส่วนใหญ่ได้แล้ว
ชเวอินซอบหยิบโทรศัพท์มือถืออกมาจากกระเป๋าเพื่อเก็บช่วงเวลานี้ไว้เป็นที่ระลึก เขาติดตั้งแอพพลิเคชั่นป้องกันเสียงชัตเตอร์ดังตอนถ่ายรูปเอาไว้ เขาจะต้องบันทึกทุกๆ อย่างของอีอูยอนเอาไว้ และเขาจะค้นหาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขาเริ่มจากการถ่ายโซฟาก่อน อีกฝ่ายน่าจะนั่งดูโทรทัศน์หรือฟังเพลงตรงนี้ ต่อไปก็คือชั้นวาง CD
ที่ชั้นวางมี CD ถูกเสียบเอาไว้จนแน่นราวกับจะยืนยันคำพูดที่ว่าอีกฝ่ายมีงานอดิเรกเป็นการดื่มด่ำไปกับเสียงเพลง ในระหว่างที่ชเวอินซอบกำลังถ่ายภาพของรายชื่อบนปก CD อย่างตั้งใจ อีอูยอนที่อาบน้ำเสร็จแล้วก็เดินออกมาจากห้องน้ำ
“ทำอะไรอยู่เหรอครับ”
“คือผม…”
อีอูยอนกำลังสวมชุดคลุมอาบน้ำอยู่ แต่ชเวอินซอบไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมา เพราะหยดน้ำที่หยดลงมาจากผมของอีกฝ่าย หัวใจเขาเต้นตึกตักๆ เหมือนกับเด็กผู้ชายที่ถูกจับได้ว่าทำเรื่องไม่ดี
“ถ้ามีอันที่ถูกใจ จะยืมก็ได้นะครับ”
อีอูยอนพูดดังนั้นกก่อนจะเดินเข้าห้องตัวเองไป ชเวอินซอบขาสั่นจนต้องกลับไปนั่งที่โซฟาอีกครั้ง
เขายังไม่อยากจะเชื่อว่าการได้อยู่ในสถานที่แคบๆ แบบนี้กับอีอูยอนสองต่อสองจะเป็นเรื่องจริง ทุกๆ ครั้งที่ได้พบกับอีอูยอนเป็นการส่วนตัว ชเวอินซอบจะรู้สึกว่าเขาได้รับการชดเชยเวลาที่พยายามเพื่อมาถึงจุดนี้ อีอูยอนเดินออกมาหลังจากแต่งตัวเสร็จ ชเวอินซอบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นท่าทางที่อีกฝ่ายวิ่งไปที่ประตูหน้าบ้านและใส่รองเท้าก่อนเขา อีอูยอนก็เอ่ยถามกลั้วหัวเราะ
“รีบอะไรอย่างนั้นล่ะครับ ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“ผมไม่ได้รีบครับ”
ชเวอินซอบใส่รองเท้าเสร็จแล้ว เขาเปิดประตูออกไปอย่างรวดเร็วและรออีกฝ่าย ตอนที่จะขึ้นลิฟต์ก็เหมือนกัน เขาเข้าไปยืนกดลิฟต์รอเอาไว้ก่อน และออกไปยืนห่างๆ ภายในลิฟต์
อีอูยอนไม่ชอบคนที่ทำตัวเกาะติดตัวเองแม้ว่าจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวก็ตาม พวกผู้จัดการส่วนตัวที่อวดดีว่าตัวเองเป็นใครนั้นถูกตัดทิ้งไปอย่างสายฟ้าแลบ
แต่ชเวอินซอบไม่สบตาเขาเลยแม้จะอยู่ภายในลิฟต์ เขายืนมองกำแพงลิฟต์อยู่คนเดียว อีอูยอนเริ่มรู้สึกว่าคำพูดที่บอกว่าผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่เป็นแฟนคลับของเขานั้น เป็นเพียงแค่คำพูดตามมารยาทเท่านั้นจริงๆ
ทันทีที่มาถึงลานจอดรถ ชเวอินซอบก็บอกให้เขารอและไปเอารถมารับอย่างรวดเร็ว ขนมปังสองชิ้นกับกาแฟที่ถูกเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าโผล่เข้ามาในสายตาของอีอูยอนทันทีที่เขาเปิดประตูเข้ามาในรถ เขาคิดว่าจะปฏิเสธอย่างสุภาพหากมันเป็นกาแฟรสหวานที่ใส่ครีมสดหรือไม่ก็นม แต่มันเป็นอเมริกาโน่เย็น ส่วนขนมปังก็เป็นเซียบัตตาขาว[1] ที่ซื้อมาจากร้านขนมปังที่เขาชอบ
“ผมเตรียมไว้ให้เพราะคิดว่าคุณคงไม่ได้ทานข้าวเช้าน่ะครับ”
“ขอบคุณครับ แล้วคุณอินซอบทานข้าวหรือยังครับ”
“ครับ ผมทานเรียบร้อยแล้วครับ”
ชเวอินซอบตอบกลับก่อนจะพูดต่อว่าจะออกเดินทางแล้วนะครับ และเริ่มหมุนพวงมาลัย อีอูยอนเกลียดการที่คนอื่นกินอาหารที่มีกลิ่นแรงภายในรถ แน่นอนว่าของกินที่ตนกิน เขาก็เลือกแบบที่ไม่ส่งกลิ่นแรงมากนักเช่นกัน
เขาฉีกขนมปังเซียบัตตากิน ระหว่างนั้นอีอูยอนก็นึกถึงคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมที่บอกว่าเขาจะไม่ไล่ผู้จัดการส่วนตัวรอบนี้ออกเด็ดขาด ดูเหมือนว่าคราวนี้อีกฝ่ายจะตั้งใจเลือกจริงๆ นี่เป็นเพราะจิตสำนึกที่เหลืออยู่น้อยมากๆ หรือเปล่านะ
นั่นเป็นช่วงเวลาที่เขารู้สึกผิดต่อกรรมการผู้จัดการคิมที่ตั้งอกตั้งใจในการเลือกของที่เขาใช้แล้วทิ้งทุกๆ สามเดือนอยู่เล็กน้อย เขาดื่มกาแฟและจ้องมองศีรษะด้านหลังของชเวอินซอบ
“ผมจองร้านทำผมไว้แล้วนะครับ ส่วนเรื่องเสื้อผ้า ผมได้รับความช่วยเหลือจากหัวหน้าทีมชา และเลือกเอาไว้สองสามชุดครับ”
“ขอบคุณครับ”
อีอูยอนจดจ่ออยู่กับศีรษะด้านหลังของผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ที่ไม่เพียงแต่มีเซ้นส์ดีเท่านั้น ยังจัดการงานต่างๆ ได้อย่างเรียบร้อยอีกด้วย และพูดขอบคุณออกไป อีอูยอนตาดีพอที่เห็นว่าใบหูของชเวอินซอบแดงระเรื่อขึ้นมาทันทีที่เขาพูดจบ
เขานึกถึงความจริงที่ว่าผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่เป็นแฟนคลับผู้คลั่งไคล้ของเขา มันเป็นคำพูดตามมารยาทหรือเป็นเรื่องจริงกันแน่ และชายที่เต็มไปด้วยความสงสัยก็เอ่ยถาม
“คำพูดนั้นน่ะ คุณพูดจริงเหรอครับ”
“ครับ?”
รถหยุดวิ่งเพราะติดไฟแดง ชเวอินซอบสบตาอีกฝ่ายผ่านกระจกมองหลังถามกลับ
“คุณพูดเรื่องอะไรเหรอครับ”
“ที่คุณบอกว่าเป็นแฟนคลับของผมน่ะครับ”
“…ครับ ผมเป็นแฟนคลับของคุณครับ”
อีอูยอนมองเห็นมือที่จับพวงมาลัยอยู่นั้นเกร็งและแย้มยิ้มออกมา ดูเหมือนจะเป็นความจริง เขาเกลียดแฟนคลับผู้หญิง แต่เขาเกลียดแฟนคลับผู้ชายยิ่งกว่า
“พอได้เจอตัวจริงแล้วเป็นยังไงบ้างครับ ถ้าได้เจอกันตรงๆ มันก็น่าจะมีกรณีที่คุณรู้สึกผิดหวังอยู่มากเลยนี่ครับ”
“ไม่เลยครับ มันไม่เป็นแบบนั้นหรอกครับ! มันจะไม่มีเรื่องที่ผมผิดหวังเด็ดขาด คุณน่ะ…”
ต่อให้เขาจะดูหมิ่นพระเจ้าต่อหน้าคริสต์ศาสนิกชนผู้นับถือ คนพวกนั้นยังไม่เดือดร้อนถึงขนาดนี้เลย แต่ชเวอินซอบกลับขึงตาใส่เขาแล้วตะโกนออกมาในขณะที่เอี้ยวตัวมาหาเขา
“ผมทำไมครับ”
อีอูยอนรอคำพูดต่อไปของชเวอินซอบในขณะที่ยังยิ้มอยู่
“ผมเป็นยังไงเหรอครับ”
“เท่มากเลยครับ”
“ขอบคุณนะครับ”
“ผมไม่ได้พูดไปตามมารยาทนะครับ ผมพูดจริงๆ…”
เสียงแตรรถดังขึ้นมาจากด้านหลัง ไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียวโดยที่เขาไม่รู้ตัว ชเวอินซอบหันหน้ากลับมาและพึมพำด้วยน้ำเสียงเจื่อนๆ
“จริงๆ นะครับ คุณเยี่ยมที่สุด…จริงๆ นะครับ”
อีอูยอนส่งเสียงหัวเราะมาจากทางด้านหลัง เขาบอกว่ารู้แล้วครับก่อนจะโบกมือ ชเวอินซอบกัดปากราวกับพยายามจะกลับมาจดจ่ออยู่กับการขับรถอีกครั้ง และเขาก็ไม่อ้าปากพูดอีกเลยจนกระทั่งถึงร้านทำผม อีอูยอนเกลียดการพูดคุยกับใครก็ตามในตอนเช้า ผู้จัดการส่วนตัวที่พูดมากมักจะอยู่ในอันดับหนึ่งของการลงโทษ แต่ผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่เป็นคนที่เข้ากับเขาได้ในหลายๆ ด้าน
ทันทีที่มาถึงร้านทำผม ชเวอินซอบก็ให้อีอูยอนลงไปก่อน อีกฝ่ายบอกแค่ว่าจะไปจอดรถ แล้วจะตามเข้าไป จากนั้นก็ขับรถหายไป
ทันทีที่เขาเข้าไปในร้าน เจ้าของร้านที่จำอีอูยอนได้ก็ทำหน้าตายินดีและวิ่งมาหาเขา
“วันนี้มาถ่ายละครเหรอคะ”
“ครับ จู่ๆ เขาก็เลื่อนตารางงานน่ะครับ รบกวนด้วยนะครับ”
สีหน้าของแฮร์ดีไซเนอร์ไปจนถึงสตาฟในร้านสดใสขึ้นเพราะน้ำเสียงสุภาพของเขา มารยาทของอีอูยอนดีที่สุดในบรรดาดาราหลายๆ คนที่มาที่นี่ เป็นเรื่องปกติที่ดาราเหล่านั้นจะหยิ่งขึ้นต่างจากตอนที่เป็นดาราหน้าใหม่และมีนิสัยที่แข็งกระด้างตอนที่มีชื่อเสียงมากขึ้น แต่อีอูยอนไม่ได้เป็นแบบนั้น มีเสียงชื่นชมไม่ขาดสายจากคนรอบตัวของอีอูยอน เพราะนิสัยที่อบอุ่นและสุภาพอยู่เสมอ เปลือกนอกของเขาหนามากพอที่จะมีคนเข้าข้างเขา แม้จะได้ยินข่าวลือมาว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างซับซ้อนกับผู้หญิง แต่ข่าวลือนั้นกลับทำให้พวกเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้น
“ดูเหมือนว่าคนที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวจะมาใหม่นะคะ”
เจ้าของร้านที่จัดการผมของเขาอยู่เอ่ยถาม ทันทีที่อีอูยอนตอบทางสายตาไปว่าใช่ เจ้าของร้านก็ค่อยๆ พูดต่อ
“ผู้จัดการส่วนตัวของคุณอูยอนเปลี่ยนปล่อยจนน่าแปลกใจเลยนะคะเนี่ย พอฉันได้มารู้จักคุณอีอูยอนจริงๆ แล้ว มันก็ไม่ใช่ว่าคุณนิสัยไม่ดีนี่คะ”
อีอูยอนยิ้มจางๆ จากในกระจกและตอบกลับไปว่านั่นสินะครับ พอเสียงเปิดประตูดังขึ้น ชเวอินซอบก็เข้ามาในร้าน
“เป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่เหรอ”
“ครับ”
“ดูนิสัยดีอยู่นะเนี่ย”
“ดูเหมือนจะเป็นคนดีเลยล่ะครับ”
ชเวอินซอบนั่งลงบนโซฟาที่วางอยู่ตรงมุมร้านอย่างเงียบๆ และเริ่มอ่านหนังสือที่ตนเอามา เจ้าของร้านมองท่าทางของชเวอินซอบที่ก้มหัวขอบคุณสตาฟที่เอาชามาเสิร์ฟและพูดต่อ
“คุณอูยอนชอบคนแบบไหนเหรอคะ”
“ครับ?”
“คนที่ทำงานด้วยน่ะค่ะ คุณชอบคนแบบไหนเหรอคะ”
อีอูยอนแกล้งทำเป็นคิด นั่นก็เพราะเขาไม่สามารถพูดออกไปว่าเขาเกลียดทั้งหมดนั่นแหละได้
“ผู้จัดการส่วนตัวที่เหมือนกับเฮเลน เคลเลอร์[2] มั้งครับ”
“อะไรนะคะ เฮเลน เคลเลอร์เหรอ”
เมื่อเจ้าของร้านถามกลับอย่างตกใจ อีอูยอนก็พลันบอกว่าเขาล้อเล่นและพยายามหัวเราะออกมา พอเขาแต่งหน้าทำผมเสร็จ ชเวอินซอบก็รีบลุกขึ้น
“ผมจะไปเตรียมรถนะครับ”
สตาฟสองสามคนมองด้านหลังของอีกฝ่ายที่หายไปก่อนที่อีอูยอนจะตอบรับและระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“นี่เขาเข้าระเบียบของทหารอยู่เหรอเปล่าเนี่ย”
“ต่อให้เป็นพลทหารจริงๆ ก็ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ ว่าแต่พี่ผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่น่ารักจังเลยนะคะ”
อีอูยอนที่ไม่เคยลองเชื่อมโยงคำว่าน่ารักกับผู้ชายคิดในใจว่าอย่างนั้นเหรอและลุกขึ้น พอเขาลงบันไดมา ชเวอินซอบก็จอดรถรอเขาอยู่ที่หน้าถนนแล้ว แม้กระทั่งตอนที่พวกเขาเคลื่อนตัวไปยังสถานที่ถ่ายทำ อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดปากพูดก่อนที่อีอูยอนจะพูดด้วย
อีอูยอนมองผู้จัดการส่วนตัวที่ขยับตัวเงียบๆ เหมือนไม่อยู่แต่ก็อยู่ และนึกขึ้นได้ว่าเหตุผลที่กรรมการผู้จัดการคิมมั่นใจในตัวเองสูงขนาดนี้อยู่ตรงนี้นี่เอง ถ้าคนอื่นมาเห็น ชเวอินซอบคือผู้จัดการส่วนตัวที่ได้คะแนนเต็มร้อย
แต่ปัญหาคือตัวของอีอูยอน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนอย่างไร ตัวเขาเองก็จะเปิดเผยนิสัยให้เห็นระหว่างทางอยู่ดี ถ้ามันเป็นความสัมพันธ์ที่เจอกันโดยมีระยะห่างที่พอดี เขาก็สามารถหลอกอีกฝ่ายได้ตลอดไป แต่การทำแบบนั้นในความสัมพันธ์ที่จะต้องเจอหน้ากันอยู่ตลอดนั้นยาก คนที่รู้จักนิสัยของอีอูยอนก่อนใครคือครอบครัวของเขา เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วที่เขาจะไม่ได้รับการติดต่อจากครอบครัวมาจนถึงตอนนี้ด้วยสภาพที่เหมือนกับตัดขาดกับครอบครัวไปแล้ว
“ถึงแล้วครับ”
ชเวอินซอบที่เงียบไปประมาณสามสิบนาทีอ้าปากพูดในที่สุด และพูดเพียงประโยคเดียว บริเวณลานจอดรถมีแฟนคลับที่รู้ตารางการถ่ายทำของอีอูยอนจับจองพื้นที่กันอย่างหนาแน่น อีอูยอนนิ่งอึ้ง ตัวเขาเองยังรู้เรื่องวันถ่ายทำถูกเปลี่ยนในเช้าวันนี้เลย แล้วพวกผู้หญิงพวกนั้นเป็นใครกันแน่ ถึงได้มาตั้งฐานทัพรอเขาอยู่ตรงนั้น เขาไม่รู้เลยว่าข้อมูลพวกนี้รั่วไหลออกไปได้ด้วยวิธีไหน แต่บางครั้งก็ทำให้เขาขนลุก
ชเวอินซอบลงไปยืนอยู่ข้างรถ เขากำลังสร้างพื้นที่ให้อีอูยอนเดิน ทันทีที่อีอูยอนลงจากรถเสียงกรีดร้องที่ดังเหมือนอะไรบางอยากถูกฉีกก็ระเบิดออกมาในหมู่พวกผู้หญิงที่กำลังรอเขาอยู่
ท่ามกลางผู้หญิงที่ส่งเสียงร้องราวกับคนบ้า อีอูยอนไม่ลืมที่จะรักษาความสุขุมเอาไว้ เขาทำหน้าอ่อนโยนและเริ่มเดิน
“พี่ค้า! พี่อูยอน!”
“กรี๊ดดด! พี่คะ!”
“พี่คะ มองมาทางนี้หน่อยค่า! ฉันซูมีไงคะ ซูมีมาแล้วค่า”
ตอนที่ชื่อซูมีกระทบหู ความรำคาญก็ฉายชัดเข้ามาในดวงตาของอีอูยอนอยู่ครู่หนึ่งแล้วหายไป นั่นก็เพราะเจ้าของเสียงที่ติดอยู่เป็นพิเศษในความทรงจำของเขา เป็นผู้หญิงเสียสติที่มักจะทิ้งความรู้สึกอึดอัดใจไว้ให้เขาทุกครั้งและหายไป
“พี่จำฉันได้ไหมคะ! ฉันซูมีไง! พี่จำซูมีได้หรือเปล่าคะ”
อีอูยอนจงใจไม่หันหน้าไปทางนั้นและขยับขาเดิน ผู้หญิงพวกนั้นถูกกันออกไป โดยมีชเวอินซอบขวางหน้าพวกเธอไว้พร้อมมีเหงื่อเย็นๆ ไหลลงมา ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำงานได้ดีอย่างไร แต่มือใหม่ก็ยังคงเป็นมือใหม่ ทันทีเขาทิ้งตัวเปล่าๆ ลงไปท่ามกลางแฟนคลับที่เอาแต่ใจ อีกฝ่ายก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดีและรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา
“ช่วยหลบออกไปหน่อยครับ ขอโทษครับ ขอบคุณครับ”
ชเวอินซอบขอความเห็นใจจากแฟนคลับทุกครั้งที่อีอูยอนขยับตัว แม้เขาจะพูดแบบนั้น แต่ก็ถูกเสียงกรีดร้องของผู้หญิงพวกนั้นกลบและแทบจะไม่ได้ยิน เพราะเขาเป็นคนเสียงเบา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังขอความเห็นใจนั้นทุกครั้ง
อีอูยอนได้เห็นภาพหายากที่ผู้จัดการส่วนตัวของเขาค่อยๆ กลืนหายไปท่ามกลางผู้หญิงพวกนั้น เขายื่นมือออกไปคว้าไหล่ของชเวอินซอบ ในกองถ่ายต้องมีงานให้ผู้จัดการส่วนตัวทำอย่างแน่นอน เขาจึงไม่สามารถรอคนคนนี้ตลอดไปได้ ขณะที่เขาออกแรงเพื่อลากผู้จัดการส่วนตัวออกมา หญิงสาวที่ส่งเสียงกรีดร้องด้วยเสียงแหบแหลมก็วิ่งมาหาอีอูยอน
“พี่คะ! ช่วยจำฉันให้ได้ด้วยนะคะ! ฉันจินซูมี! ซูมีค่ะ!”
ผู้หญิงคนนั้นแกว่งแก้วกระดาษที่อยู่ในมือไปทางอีอูยอน ของเหลวสีน้ำตาลร้อนๆ ถูกสาดออกไปกลางอากาศในขณะเดียวกันชเวอินซอบก็มาขวางหน้าเขาไว้ แม้เขาจะยกมือขึ้นมาโดยอัตโนมัติ แต่มันก็ไม่พอที่จะป้องกันกาแฟที่ถูกสาดมาได้ทั้งหมด
[1] เซียบัตตาขาว ขนมปังของชาวอิตาลี มีความหมายว่ารองเท้า รูปทรงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เนื้อสัมผัสนุ่มกว่าบาแกตต์ของฝรั่งเศส นิยมนำมาทำเป็นแซนวิช
[2] เฮเลน เคลเลอร์ นักเขียนและนักมนุษยธรรมชาวอเมริกาที่ตาบอดและหูหนวกตั้งแต่อายุสิบเก้า