“นี่นายมีสติอยู่หรือเปล่า นายกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”
กรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงปาหนังสือพิมพ์กีฬาฉบับวันนี้ลงบนโต๊ะและตะโกนขึ้นมา เขาสวมสูทสีน้ำตาลอ่อนกับเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้ม เสียบผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ที่กระเป๋าด้านหน้าของเสื้อสูทดูราวกับนายแบบรวยๆ ของดอลเช่ แอนด์ กาบาน่า ถึงแม้จะอายุเกินสี่สิบปีไปแล้ว แต่ด้วยผิวที่ได้รับการดูแลอย่างดีบวกกับกล้ามเนื้อที่โผล่พ้นสูทหรูออกมา จึงทำให้เขาดูเด็กกว่าอายุจริง เส้นผมที่ถูกจัดแต่งมาอย่างดีโดยร้านทำผมย่านชองดัมดงที่ต้องเป็นสมาชิกหรือไม่ก็รอคิวเป็นเดือน เช้าวันนี้ถูกเขาขยุ้มจนเต็มกำมือ คิมฮักซึงตวาดขึ้นมา
“นี่มันกี่รอบแล้ว คราวที่แล้วนายก็เกือบถูกจับได้ แต่พอดีหัวหน้าทีมชากันพวกนักข่าวออกไปได้อย่างหวุดหวิด ตอนนั้นนายบอกว่าอะไรนะ”
“จะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้วครับ”
ชายหนุ่มนั่งเอนตัวพิงโซฟาสีน้ำตาลเข้มตอบกลับพลางฉีกยิ้ม รอยยิ้มนั้นสดชื่นเหมือนกลิ่นที่กระจายอยู่ในอากาศยามปอกเปลือกส้มสดใหม่
“และผมจะไม่ให้ถูกจับได้อีกครับ”
น้ำเสียงนั้นฟังดูมั่นใจในตัวเองราวกับทุกเรื่องในโลกอยู่ในกำมือของเขาหมดแล้ว
“จะไม่ให้ถูกจับได้งั้นเหรอ นี่นายมองไม่เห็นไอ้นี่หรือไง”
กรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงว่าพลางชี้ข่าวอักษรย่อในหน้าที่สิบหกของข่าวบันเทิง เนื้อข่าวบอกว่าดาราดังอักษรย่อ ซ. กำลังสนุกกับการเดตอย่างลับๆ บนรถกับนักแสดงหญิงหน้าใหม่
“ใครมันจะไปอ่านข่าวอักษรย่อในหน้าสิบหกกันล่ะครับ”
“ฉันนี่ไง ฉันอ่าน”
“กรรมการผู้จัดการก็ต้องอ่านอยู่แล้วสิครับ ก็มันเป็นงานของคุณนี่นา”
แม้จะไม่ใช่คำพูดที่ผิดนัก แต่กรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงกลับเอากำปั้นทุบอกตัวเอง แม้ใจจริงเจ้าตัวอยากจะเอากำปั้นทุบผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้า แต่เพราะร่างกายของอีกฝ่ายมีค่าจนไม่อาจทุบได้ เขาจึงทำได้เพียงทุบหน้าอกที่ต้องมารับเคราะห์ของตัวเองไปเรื่อยๆ แทน ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาก้มหน้ามองหนังสือพิมพ์ด้วยสีหน้าสนุกสนานราวกับอ่านเรื่องซุบซิบของคนอื่น คิมฮักซึงเดาะลิ้น
“คนแบบนี้เป็นดาราเบอร์หนึ่งที่ไม่มีแอนตี้แฟนได้ยังไงนะ”
น้ำเสียงของคิมฮักซึงฟังดูเหมือนไม่ชอบใจความจริงข้อนั้นสักเท่าไร
“งั้นกรรมการผู้จัดการก็มาเป็นแอนตี้แฟนเบอร์หนึ่งเลยสิครับ”
คำพูดของชายหนุ่มทำให้กำปั้นของคิมฮักซึงสั่นระริก
เวลาตัดสินคนอื่น คนทั่วไปมักจะมองตัวเองเป็นมาตรฐานตามสัญชาตญาณ กรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงมักจะพูดซ้ำไปซ้ำมาว่ามุมมองหรือคำพูดอะไรก็ตามที่ไม่เอาความคิดของตัวเองเข้ามาเกี่ยวล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งนั้น เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้คนส่วนใหญ่ซึ่งมีมาตรฐานแตกต่างกันไปรู้สึกชื่นชอบ
แต่มีคนคนหนึ่งที่สามารถทำให้เป็นไปได้อยู่ คนคนนั้นก็คืออีอูยอนที่นั่งอยู่ตรงหน้าคิมฮักซึงนั่นเอง
อีอูยอนเริ่มทำงานในวงการบันเทิงด้วยภาพยนตร์นอกกระแสเมื่อไม่กี่ปีก่อน เขาเป็นนักแสดงที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งความสำเร็จโดยไม่ล้มลงเลยสักครั้ง ในละครเรื่องแรกที่เขาไปเล่นเป็นตัวประกอบ เขาได้รับความสนใจมากกว่านักแสดงนำจนได้แคสติ้งบทนักแสดงนำในภาพยนตร์ของผู้กำกับปาร์คซองฮัน และได้รับความสนใจจากโลกภายนอกทันที หลังจากที่ภาพยนตร์เปิดตัว ราคาค่าตัวของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดลง เพราะทักษะทางการแสดงที่โดดเด่นและเสน่ห์แบบแปลกๆ ที่คาดเดาสัญชาติและอายุของเขาได้ยาก
ชายหนุ่มคว้ารางวัลนักแสดงหน้าใหม่ตลอดจนรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในปีนั้นขึ้นมายังจุดสูงสุดได้ภายในเวลาหนึ่งปีหลังจากก้าวขาเข้ามาในวงการบันเทิง มีขึ้นก็ย่อมมีลงเป็นสัจธรรมของวงการบันเทิง แต่เรื่องแบบนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับอีอูยอน
ละครทุกเรื่องที่เขาถ่ายได้เรตติ้งเกินสี่สิบเปอร์เซ็นต์ และทุกบทบาทที่เขาเลือกล้วนประสบความสำเร็จ ส่วนผลต่อการจับจ่ายของโฆษณาที่เขาถ่ายก็ทำให้พวกสปอนเซอร์ถึงกับลุกขึ้นเต้น สินค้าที่เขาโฆษณาได้รับการตอบรับอย่างแน่นอนจากผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้บริโภคที่เป็นผู้หญิง และตัวอีอูยอนเองก็ถูกบรรจุลงในบทความของนิตยสารเพื่อการศึกษาด้านเศรษฐกิจไม่ต่างกับเป็นแบรนด์แบรนด์หนึ่ง ผู้คนล้วนชื่นชอบอีอูยอน
รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดีชนิดที่ไม่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป รอยยิ้มงดงามที่เผยให้เห็นฟันที่เรียงตัวสวย พรสวรรค์และทักษะทางการแสดงที่โดดเด่น คนที่เคยทำงานกับเขา แม้จะแค่ครั้งเดียวก็เอ่ยชมไม่ขาดปาก
พวกผู้หญิงรักดวงตาของเขามาก ดวงตาที่มีความว่างเปล่าลึกซึ้งของคนเป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใจเรื่องราวในชีวิตทั้งหมด แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงความไร้เดียงสาที่ไม่สมกับอายุเอาไว้นั้นได้รับความรักอย่างมาก ถึงขนาดมีคำพูดน่าขนลุกเล็กๆ เกิดขึ้นในหมู่แฟนๆ ของเขาว่าให้ขึ้นทะเบียนดวงตาของอีอูยอนเป็นสมบัติของชาติ และถ้าหากเขาเสียชีวิต เราจะต้องเก็บรักษามันเอาไว้โดยไม่เกี่ยงวิธี
แต่ถึงอย่างนั้นความคิดเห็นเกี่ยวกับพื้นเพของอีอูยอนมักขัดแย้งกันอยู่เสมอ สมมติฐานที่น่าสนใจอย่างเช่น เขาเป็นอัจฉริยะที่ลาออกจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันกลางคัน เป็นทายาทของบริษัทต่างชาติชื่อดังแห่งหนึ่ง หรือเป็นลูกนอกสมรสของดาราหญิงชื่อดังสะพัดไปทั่ว แต่เรื่องเหล่านั้นกลับไม่ได้รับการยืนยันเลยแม้แต่เรื่องเดียว กรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงเพียงแต่แปลกใจที่แม้กระทั่งส่วนที่เป็นปริศนาเช่นนี้ก็กลายเป็นเสน่ห์ของชายคนนั้นไปเสียได้
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีต่อตัวอีอูยอน เขาชอบผู้หญิง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มต้นใช้คำพูดที่ว่า ’ไม่ห้ามผู้หญิงที่เข้าหา และไม่รั้งผู้หญิงที่จากไป’ เป็นคนแรก แต่กรรมการผู้จัดการคิมขอยืนยันว่า อีอูยอนจะต้องมอบความภักดีให้กับคนคนนั้นแน่นอน
แม้จะรอดจากข่าวลือในคราวนี้ไปได้อย่างหวุดหวิดอีกครั้ง แต่กรรมการผู้จัดการคิดก็กังวลว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไปคงได้ครองพื้นที่หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์กีฬาเข้าสักวัน ไม่ว่าอย่างไรอีอูยอนก็เป็นพวกชอบทำอะไรตามใจตัวเอง กรรมการผู้จัดการคิมมองอีกฝ่ายพลางพึมพำว่าเจ้าตัวทำเหมือนคนที่ใช้ชีวิตเพื่ออยู่และตายภายในวันเดียว
“ระวังตัวหน่อยเถอะ ขอร้องล่ะ ถ้าชีวิตการเป็นดาราของนายจบเห่ นายจะออกไปทำอะไรกิน หา?”
“ไม่รู้สิครับ ผมยังคิดอยู่เลยว่าจะทำอะไรดี”
“นี่ฉันศรัทธาอะไรในตัวคนแบบนาย ถึงได้เลี้ยงเอาไว้นะ”
กรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงแห่ง JN ค่อยๆ นึกถึงวันที่อีอูยอนมาหาที่บริษัท และขอร้องให้เขาเดบิวต์ตนเป็นนักแสดงอย่างตรงไปตรงมา เขาคิดว่าคนเดี๋ยวนี้เป็นบ้าแบบเจ้าหมอนี่กันหมดเลยหรือไง และพยายามไล่อีกฝ่ายไป แต่เพราะใบหน้าที่สมบูรณ์แบบเกินกว่าจะเหมารวมว่าเป็นพวกคนบ้าได้ เขาจึงเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยมาพาออกไปอีกรอบ
“ไม่มีปัญหาใหญ่อะไรหรอกครับ”
อีอูยอนปรายตามองพาดหัวข่าวบนหัวมุมหนังสือพิมพ์และเอ่ยขึ้น สายตาที่แฝงรอยยิ้มเอาไว้ไม่มีความระแวงเจือปนอยู่แม้แต่น้อย อีอูยอนเป็นแบบนั้นเสมอ เขาแอบสังเกตเห็นความเฉียบขาดอันไร้ที่มาในแววตาของอีกฝ่าย
“ไม่มีแน่ล่ะ ก็ตอนนี้ข่าวแบบนี้มันขึ้นหน้าหนึ่งไปแล้วยังไงล่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงกางหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์กีฬาออกบนโต๊ะอีกครั้งและพูดขึ้นมา
“นายเคยบอกว่าถ้าไม่ใช่เรื่องนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้ขึ้นหน้าหนึ่งไหมสินะ”
ตรงนั้นมีพาดหัวข่าวที่น่าตกใจเล็กน้อยตีพิมพ์อยู่ หัวหน้าทีมชาที่นั่งอยู่ตรงข้ามอีอูยอนเงียบๆ มาจนถึงตอนนี้อ่านหนังสือพิมพ์และพึมพำออกมาเบาๆ
“‘ไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปโดดตึกของบริษัทต้นสังกัด’ ฆ่าตัวตายอีกแล้วเหรอครับ”
ข่าวไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปคนหนึ่งกระโดดลงมาจากดาดฟ้าของตึกในช่วงเช้ามืดวันนี้ และเสียชีวิตถูกแต่งเติมด้วยคำพูดที่เร้าใจ อีอูยอนเพียงแค่นั่งนิ่งๆ ด้วยสีหน้าที่บอกว่าเขาไม่สนใจเลยสักนิด
“แล้วก็หัวหน้าทีมคิมลาออกตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ”
“อีกแล้วเหรอครับ”
หัวหน้าทีมชาถามอย่างตกใจ
“ใช่ อีกแล้ว อีกแล้ว อีกแล้ว”
กรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงกัดฟันพูด นี่เป็นครั้งที่แปดแล้วของปีนี้
เดิมทีชีวิตของผู้จัดการส่วนตัวที่มีชีวิตไม่แน่ไม่นอน และรายได้ก็ไม่มั่นคงพอกันนั้นไม่ได้มีอายุยืนยาวขนาดนั้น แต่ถึงอย่างนั้นพวกผู้จัดการส่วนตัวกันเองกลับเรียกมันว่างานของพระเจ้า เนื่องจากหากได้ทำงานในเอเจนซี่ขนาดใหญ่ก็จะมีประกันชีวิตถึงสี่เท่า รวมไปถึงโบนัสที่ได้อยู่เสมอ ในบรรดาเอเจนซี่เหล่านั้น JN เป็นเอเจนซี่ที่มีรายได้ต่อปีและสวัสดิการยอดเยี่ยมที่สุดในแวดวงนี้ ทำให้ที่นี่มีคนอยากจะเข้ามาทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย เมื่อได้ทำงานในบริษัทที่ดี คอนเน็กชันก็พลอยกว้างขวางไปด้วย ทั้งยังได้เรียนรู้เทคนิคพิเศษอย่างถูกต้อง ทำให้ในบรรดาคนที่ทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัว มีหลายคนที่ฝันอยากจะเปิดบริษัทของตัวเองในอนาคต
โดยเฉพาะเมื่อชื่อเสียงของดาราที่อยู่ภายใต้การดูแลของตนดีมากเท่าไร อำนาจของผู้จัดการส่วนตัวก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น คนที่ยิ่งดาราที่อยู่ภายใต้การดูแลของตัวเองได้ดิบได้ดีมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจและตั้งใจทำงานก็มีมากกว่าครึ่งในแวดวงนี้เช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นการที่ผู้จัดการของอีอูยอน ซึ่งเป็นนักแสดงที่ดังที่สุดในประเทศเปลี่ยนตัวอยู่เสมอนั้นหมายความว่าอีอูยอนนั่นแหละคือปัญหา
แต่อีอูยอนเป็นดาราที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องนิสัยดี เขาได้รับการประเมินที่ดีจากคนรอบข้างพอๆ กับที่รักษาอันดับหนึ่งของดาราที่เหมาะกับโฆษณากาแฟที่สุดมาได้หลายปี เขาไม่เคยมาสายและสุภาพกับทีมงานอยู่เสมอ ตอนที่เป็นดาราหน้าใหม่ แม้จะถ่อมตัว แต่ก็มีกรณีที่ยิ่งมีชื่อเสียงมากเท่าไร ก็จะยิ่งหยิ่งมากขึ้นเท่านั้นเกิดขึ้น ทว่าอีอูยอนกลับมีชื่อเสียงในหมู่คนที่ทำงานด้วยเรื่องความสุภาพและความนอบน้อมไม่เปลี่ยนแปลง
“ทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะนิสัยเสียๆ ของนายยังไงล่ะ”
“ไม่มีทางครับ”
อีอูยอนยิ้มและตอบกลับมา ใบหน้านั้นสุภาพและดูดีที่สุด แต่กรรมการผู้จัดการคิมรู้จักตัวตนแย่ๆ ที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้หน้ากากที่เหมือนกับเทพบุตรนั้นดี
“นายไปแกล้งอะไรเขาอีกล่ะ”
“ผมเหรอครับ ผมไม่เคยทำแบบนั้นเลยนะ หัวหน้าทีมคิมออกไปเพราะเรื่องนั้นเหรอครับ เขาบอกว่าออกไปเพราะโดนผมแกล้งเหรอ”
“…”
หัวหน้าทีมคิมไม่ได้พูดสักคำว่าเขาลาออกเพราะอีอูยอน เขาเพียงทิ้งคำพูดไว้ว่าตัวเองไร้ความสามารถและยังไม่เก่งพอจึงไม่สามารถทำหน้าที่ผู้จัดการส่วนตัวได้อีกต่อไปแล้ว จากนั้นก็หายตัวไป
“ดูนี่สิครับ”
อีอูยอนหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาด้วยนิ้วเรียวสวยพลางเอ่ย เมื่อเห็นอีอูยอนทำสีหน้าเป็นเชิง ‘ว่าแล้วเชียว’ กรรมการผู้จัดการคิมก็รู้สึกโมโหขึ้นมา
บรรดาผู้จัดการส่วนตัวที่เคยดูแลอีอูยอนยื่นใบลาออกด้วยเหตุผลเดียวกัน นั่นก็คือตัวเองไม่ดีพอที่จะดูแลอีอูยอนที่เป็นดาราที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประเทศพร้อมกับเอ่ยคำขอโทษ
กรรมการผู้จัดการคิมอดสงสัยอีอูยอนไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่แค่ครั้งหรือสองครั้ง แต่มันเกิดขึ้นซ้ำๆ ถึงแปดครั้งแล้วในปีนี้ เจ้าปีศาจนี่แอบทำอะไรลับหลัง แล้วทำให้ผู้จัดการส่วนตัวที่ถูกใส่ความต้องลาออกหรือเปล่านะ เขาทำให้คนอกไหม้ไส้ขมจนอยู่ไม่สุขเก่งขนาดนี้ได้ยังไง จิตใจที่รู้สึกหวั่นวิตกของคิมฮักซึงเติบโตขึ้นราวกับต้นถั่วของแจ็ค
“อย่าพูดอะไรแบบนั้นออกมาอีกนะครับกรรมการผู้จัดการ อย่างเช่นคำพูดที่ว่าผมแกล้งผู้จัดการส่วนตัวน่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมคนพวกนั้นถึงยื่นใบลาออกด้วยเหตุผลเดียวกันล่ะ”
“ก็ไม่รู้สิครับ ผมเองก็ไม่รู้เรื่องนั้นเหมือนกัน”
ความจริงแล้วอีอูยอนนิสัยไม่ดี เขาหลอกคนอื่นด้วยใบหน้าที่ติดตาตรึงใจกับน้ำเสียงที่นุ่มนวล แต่เขาเป็นคนที่ไม่สามารถใช้แค่คำพูดมาบรรยายว่าเขานิสัยไม่ดีได้ และเขาก็ไม่พยายามแกล้งทำตัวเป็นคนดีต่อหน้ากรรมการผู้จัดการคิมด้วยซ้ำ
และตอนนี้เขาก็เป็นแบบนั้นอยู่ คนที่ทำงานในวงการบันเทิงเหมือนกันฆ่าตัวตาย แม้ไม่รู้จักกัน แต่อีอูยอนก็ไม่แสดงความรู้สึกออกมาเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เห็นข่าวแบบนั้น
“ว่าแต่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ เด็กคนนี้ถึงกระโดดลงมาจากตึก ให้ตายเถอะ”
หัวหน้าทีมชาเดาะลิ้น และอ่านข่าวต่อไป เขาส่ายศีรษะราวกับรู้สึกสงสารอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก ในขณะที่อีอูยอนส่งข้อความในโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้าเรียบเฉยมาจนถึงตอนนี้
“ไม่รู้สิ เป็นเรื่องของทางฝั่งนั้นเขาน่ะ แต่ก็น่าสงสารนะ อายุยังน้อยแท้ๆ”
กรรมการผู้จัดการคิมว่าพลางเหลือบมองอีอูยอน ทันทีที่สบตากันอีอูยอนก็ฉีกยิ้มสุภาพหอมกลิ่นกาแฟพลางกล่าว
“เดิมที ‘แม้ตอนมาจะมีลำดับ แต่ตอนไปไม่ได้มีลำดับ[1]’ อยู่แล้วนี่ครับ”
[1] ‘แม้ตอนมาจะมีลำดับ แต่ตอนไปไม่ได้มีลำดับ’ หมายถึง คนเราเกิดมามีการเรียงลำดับตามอายุ แต่ตอนตายสามารถตายได้ทุกเมื่อไม่ว่าจะอายุเท่าไร