เมื่อหยดน้ำมาคลออยู่ที่ตาของชเวอินซอบและไหลลงมา อีอูยอนก็ไอเบาๆ การที่เขาชวนผู้จัดการส่วนตัวของตนกินข้าวเป็นการแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์ที่อยู่ในตัวเขาแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ และมันก็ไม่ถึงกับเป็นการเลี้ยงตอบแทนผู้ช่วยชีวิตเขาไว้ ตอนที่เขาได้ยินอินซอบพูดเสริมอย่างขลาดกลัวว่าตนกินอาหารเผ็ดไม่ได้ ความรู้สึกที่ซื่อตรงทั้งหมดเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ในตัวเขาก็นึกถึงที่นี่ทันที
สมองของอีอูยอนยังทำงานหนัก เขาสงสัยว่าผู้จัดการส่วนตัวเฮงซวยคนนี้มีแผนทุเรศอะไรในใจกันแน่ ถ้าเป็นเหมือนแมลงวันปกติทั่วไปที่น่ารำคาญน่าจะโดนเขาตบให้ตายั หรือโดนไล่ให้ไปลาออกแล้ว แต่หมอนี่กลับทำให้เขาเกิดความสงสัยอย่างน่าประหลาด ทำไมแมลงวันตัวนั้นถึงบินด้วยท่าทางที่แปลกประหลาดอย่างนั้นล่ะ
พอครุ่นคิดแบบนั้น เขาก็รู้สึกว่าอาการปวดหัวไม่ได้หายไปเลย
“กินเยอะๆ นะครับ”
อีอูยอนตักปลาหมึกผัดคำใหญ่วางลงบนข้าวให้แมลงวันแปลกประหลาดที่สร้างความปวดหัวให้ตน สีหน้าของชเวอินซอบเหยเกขึ้นมาทันทีที่เห็นสิ่งนั้น
เขาได้ยินมาว่าในวัฒนธรรมการกินอาหารของคนเกาหลี ถ้ามีใครตักเครื่องเคียงหรืออาหารให้ ต่อให้สิ่งๆ นั้นจะไม่ถูกปากอย่างไร การปฏิเสธก็ไม่ใช่เรื่องที่มีมารยาท นั่นเป็นความผูกพันของคนเกาหลี และเขาก็รู้ว่าห้ามเมินเฉยต่อความผูกพันนั้นเด็ดขาด
“…จะ…กินแล้วนะครับ”
อินซอบเอาข้าวกับปลาหมึกเข้าปากพร้อมทำหน้าเหยเกเหมือนนักโทษที่ได้รับยาพิษ น้ำตายังไหลออกมาจากตาของเขาไม่หยุด ขณะที่อีกฝ่ายอยู่ในสภาพที่ไม่รู้ว่าจะกินข้าวหรือจะดื่มน้ำตา อีอูยอนก็ยื่นแก้วน้ำให้และทำสีหน้าเห็นอกเห็นใจ
“กินไม่ได้เลยเหรอครับ”
“…”
“ดูเหมือนจะกินไม่ได้ใช่ไหมครับ”
ในทางแยกระหว่างความผูกพันของคนเกาหลีและความตาย ชเวอินซอบเลือกที่จะพยักหน้าเพราะเขาคิดว่าจะต้องรอดให้ได้ก่อน อีอูยอนแม้เห็นว่าน้ำตาเป็นเม็ดๆ ไหลลงมาไม่ยอมหยุด ก็ยังไม่เปลี่ยนความคิด
“ถ้าลองกินไปเรื่อยๆ ก็จะดีขึ้นเองครับ เอ้า กินต่ออีกครั้งนะครับ”
ตอนที่เห็นอีอูยอนคีบปลาหมึกให้ตนด้วยใบหน้าเหมือนเทพบุตร อินซอบก็นึกถึงตัวฮันจา[1]ที่เคยตั้งใจเรียนขึ้นมาพร้อมกันถึงสองคำ
มันเป็นตัวอักษรที่เขาคิดว่าน่าอัศจรรย์มาก เพราะมีคำว่าหัวใจอยู่ในตัวอักษรที่มองดูเผินๆ แล้วคล้ายกัน แต่มีความหมายต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ความรักกับยาพิษ
“กินเลยครับ”
ชเวอินซอบคิดว่าสิ่งที่อีอูยอนยื่นให้ไม่ใช่ความผูกพันของคนเกาหลีแต่เป็นยาพิษอย่างแน่นอนพร้อมกับก้มหน้าลง
***
“ซี๊ด…ฮ่า…ซี๊ด”
“ยังเผ็ดขนาดนั้นอยู่อีกเหรอครับ”
“ขอ…โทษครับ”
สุดท้ายอีอูยอนก็ไม่ยอมบอกให้เลิกกินหลังจากเจอความสนุกในท่าทีของผู้ชายที่โตแล้วแต่ดันร้องไห้ให้กับปลาหมึกผัด
ทันทีที่กินเสร็จ ชเวอินซอบก็ขออนุญาตอีกฝ่าย เขาวิ่งไปทางห้องน้ำและลองเอาน้ำเย็นเช็ดลิ้นดู แต่ลิ้นเขาได้สูญเสียความรู้สึกไปนานแล้ว แม้กระทั่งตอนที่ออกมาจากร้านอาหารและกินไอศกรีมวานิลลาที่อีอูยอนยื่นให้เสร็จแล้ว อินซอบก็ยังน้ำตาไหลอยู่สักพัก แม้แต่ตอนที่ขับรถ เขาก็ยังรู้สึกแสบลิ้นจนส่งลมหายใจประหลาดๆ ออกมาในขณะที่ขับรถ
“ถึงแล้วครับ”
แม้จะพูดแบบนั้น แต่อินซอบก็ดื่มน้ำแร่เข้าไปอึกใหญ่ อีอูยอนมองราวกับขบขันท่าทางนั้นมากและเปิดปากพูด
“กินของเผ็ดไม่ได้เลยเหรอครับ”
“ครับ? ก็…นิดหน่อยครับ”
“ถ้าเป็นขนาดนี้คงกินกิมจิไม่ได้สินะครับ”
“กินได้ครับ กิมจิน่ะ”
เขากินกิมจิได้สบายๆ แต่ต้องล้างน้ำแล้วนะ
แต่อินซอบตั้งใจว่าจะไม่บอกความจริงนี้ เขาแค่อยากจะทำให้ข้อมูลของตนหลงเหลืออยู่ในความทรงจำของอีอูยอนให้น้อยที่สุด
อีอูยอนยิ้มพลางลงจากรถไปพร้อมกับบทละครในมือ ชเวอินซอบรีบดับเครื่องยนต์และตามอีกฝ่ายไป พวกนักข่าววิ่งตามมาถ่ายรูป อีอูยอนทักทายนักข่าวอย่างมีมารยาทแล้วเข้าไปด้านใน
“สวัสดีครับ ขอโทษที่มาสายนะครับ”
แม้เขาจะมาเร็วกว่าเวลานัดประมาณสิบนาที แต่อีอูยอนกลับพูดแบบนั้นกับนักแสดงที่มาก่อนและกำลังรอตนอยู่ พวกเขาถามอย่างอ่อนโยนว่าร่างกายของเขาไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม การพบปะกันครั้งแรกเป็นไปด้วยความอบอุ่น
“เจ้าชายเนี่ยอ่อนโยนกับทุกคนเลยน้า ปฏิบัติตัวเหมือนกับทุกคนเป็นเจ้าหญิงแน่ะ”
อินซอบจับตามองท่าทางเหล่านั้นในขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของเจนนี่ดังอยู่ในหู พวกนักแสดงหญิงปรากฏตัวต่อหน้าอีอูยอนที่กำลังทักทายคนทีละคนโดยไม่มีท่าทีถือตัวและแสดงความชื่นชม
สมกับเป็นอีอูยอน
ชเวอินซอบคิดดังนั้นขณะยืนพิงผนังมองอีอูยอนนั่งลงกับพี่ อีอูยอนทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมกลายเป็นพวกตัวเองในชั่วพริบตา
“อะไรกัน มาแล้วเหรอ”
เขาได้ยินเสียงใหญ่ๆ ของผู้ชายพร้อมกับประตูที่ถูกเปิด เป็นคังยองโมนั่นเอง เขาถือบทไว้ในมือพลางมองหาที่นั่งของตนด้วยหน้าตาน่าหมั่นไส้และนั่งลง
“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้พบครับ”
แม้อีอูยอนจะก้มหัวและทักทายอย่างมีมารยาท แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมหันหน้าไปหาแถมยังบ่นพึมพำด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
“สติดีอยู่หรือเปล่า ทำให้คนอื่นเขารอเพราะเรื่องของตัวเองแท้ๆ ยังจะเชื่อในความนิยมอวดดีนั่นอยู่อีก”
ทุกคนในห้องประชุมล้วนได้ยินคำพูดนั้น และถ้าไม่ใช่คนโง่ก็จะสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าเนื้อความนั้นกล่าวถึงใคร
“ขอโทษครับรุ่นพี่ ที่ทำให้รุ่นพี่ต้องได้รับผลกระทบโดยไม่ได้ตั้งใจ”
แม้อีอูยอนจะก้มหัวให้และเข้าหาอย่างมีมารยาท แต่ก็ดูเหมือนคังยองโมไม่คิดจะทำหน้าให้สดใสขึ้น
“ก็ไม่รู้สินะ เราจะไปรู้ได้ยังไงล่ะว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ คนอื่นเขาก็ยุ่งกันทั้งนั้น พวกเราจะต้องเดือดร้อนไปด้วยเพราะตารางงานของนายคนเดียวหรือไง”
คนอื่นๆ ที่ถูกรวมให้เป็น ‘พวกเรา’ อย่างคาดไม่ถึงแอบดูท่าทีของคังยองโมกับอีอูยอน
“ทำอะไรกันอยู่ ทำไมถึงไม่ไปนั่งที่กันล่ะ แล้วนี่ไม่เข้าไปซ้อมอ่านบทกันเหรอ ทุกคนลองอ่านบทกันมาแล้วหรือยัง คุณอีอูยอนก็ลองอ่านมาแล้วใช่ไหม”
“ครับ ผมอ่านมาแล้วครับ”
“ได้ยินมาว่าพอรับบทมาแล้ว คุณอีอูยอนก็จำบทได้ทั้งหมดแม้จะอ่านไปแค่รอบเดียวใช่ไหม”
“แค่จำเท่านั้นครับ แต่ถ้าจะให้เข้าใจบทด้วย ผมต้องอ่านซ้ำๆ ครับ”
“งั้นเหรอ”
คังยองโมหยิบบทที่วางอยู่ตรงที่นั่งของอีอูยอนขึ้นมาและโยนทิ้งถังขยะ ผู้กำกับถึงกับหุบปากไม่ลงเพราะตกใจกับการกระทำที่คาดไม่ถึงนั้น โชคดีที่เขายังไม่เรียกให้พวกนักข่าวเข้ามาข้างใน สถานการณ์นี้จึงไม่รั่วไหลออกไปข้างนอก แม้คังยองโมคงจะจงใจทำตัวแบบนั้น แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่านี่มันเกินขอบเขตไปหน่อย
“ทำไมล่ะ จำไม่ได้เหรอ ถ้างั้นก็ไปเก็บมันมาใหม่สิ”
คังยองโมใช้มือชี้ไปที่ถังขยะที่ตั้งอยู่ด้านหลัง
ตามข้อมูลที่ชเวอินซอบหามาระบุไว้ว่าแม้คังยองโมจะเป็นคนหยาบคายและหยิ่ง แต่ก็ไม่ถึงกับสร้างอุปสรรคให้งาน แม้ข้อมูลเกี่ยวกับคังยองโมที่ตนรู้จะเป็นความจริง แต่แล้วอินซอบก็ได้รู้ว่ามีเรื่องที่ไม่จริงด้วยเหมือนกัน
“ไม่อยากไปเก็บมาเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่น่าจะโกหกตั้งแต่แรกหรือเปล่า โธ่ ฉันขอโทษด้วยแล้วกันนะ”
หน้าของผู้กำกับเครียดจนน่ากลัว นักแสดงคนอื่นๆ ก็เช่นกัน
นี่ไม่ใช่ระดับที่ไม่สร้างอุปสรรคให้กับงานแล้ว เขากำลังสร้างอุปสรรคอยู่เลยต่างหาก แล้วก็สร้างเยอะเสียด้วย
อีอูยอนทอดสายตามองรุ่นพี่ที่กำลังพูดจาเหน็บแนมอยู่ตรงหน้าตนนิ่งๆ สายตาของเขาไม่แสดงความรู้สึกอะไรเลย เขาเพียงแค่มองมนุษย์ที่ชื่อคังยองโมด้วยใบหน้าเฉยชาเท่านั้น
ชเวอินซอบเดินเข้าไปด้านหลังคังยองโมเงียบๆ ทันทีที่เข้าก้มตัวลงเพื่อจะล้วงมือเข้าไปในถังขยะ อีอูยอนก็เรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“คุณชเวอินซอบ”
“…ครับ?”
“ไม่เป็นไรครับ อยู่เฉยๆ เถอะ”
แม้จะเป็นน้ำเสียงอ่อนหวานที่ได้ยินแล้วเหมือนจะละลาย แต่อินซอบกลับสัมผัสได้ถึงคมมีดที่ซ่อนอยู่ในนั้น ทำให้ไหล่ของเขาสั่นโดยไม่รู้ตัว
“เพราะผมจำได้หมดแล้ว”
สีหน้าของคังยองโมน่ากลัวขึ้นเพราะคำพูดที่อีอูยอนพูดเสริม แต่เขากลับเกร็งไหล่แล้วเชิดหน้าเพื่อเป็นการบอกว่า ‘ไหนมาลองดูกันสักตั้งซิ’
“จะเริ่มตั้งแต่ตรงไหนดีครับ”
“ตั้งแต่ตอนที่ห้าแล้วกัน โอเคไหมครับคุณผู้กำกับ”
“ไม่โอเค ฉันว่าน่าจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่หนึ่งนะ เพราะเราน่าจะต้องเข้าใจตัวละครก่อน…”
ต่อให้นักแสดงคนอื่นๆ อ่านบทกันมาเป็นปกติ แต่ไม่ค่อยมีใครอ่านมาจนถึงบทที่ห้าหรอก นอกเหนือจากนั้นอีอูยอนก็ไม่มีบทด้วย ดังนั้นการจะให้เขาจำบทตอนที่ห้าและเริ่มแสดงอย่างกะทันหัน ก็ไม่ต่างอะไรกับเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“ว่าไงครับ ยังไงคุณอีอูยอนก็บอกว่าจำมาหมดแล้วนี่ครับ แล้วคนอื่นๆ ก็มีบทอยู่แล้ว ท่องแค่ของใครของมันไม่ได้เหรอครับ”
ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องประชุมรู้ดีว่าคังยองโมจงใจทำแบบนั้นเพื่อกดอีอูยอน ผู้กำกับเองก็ไม่สามารถบุ่มบ่ามเข้าไปยุ่งได้ การเป็นกลางในการทะเลาะเรื่องศักดิ์ศรีระหว่างดาราน่าจะเป็นการดีสำหรับความสงบสุขในอนาคตมากกว่า
นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าคังยองโมชอบเล่นสกปรก ถ้าเขาเลือกข้างผิดโดยไม่ระวังอาจกลายเป็นต้องปวดหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า บริษัทผู้ผลิตละครในคราวนี้เป็นบริษัทต้นสังกัดของคังยองโม แม้เจ้าตัวจะนิสัยแย่แต่ถ้ามีคังยองโมมาร่วมแสดงก็สามารถเรียกเรตติ้งได้ เป็นเรื่องยากที่จะจับผิดเขาในด้านการแสดง แม้เขาจะพาลไปทั่วเวลาอยู่เบื้องหลัง แต่ก็ยังมีบทเข้าหาไม่ขาดสาย
แต่ไม่ว่าอย่างไรการทำแบบนั้นก็ดูจะรุนแรงเกินไปหน่อย
คนอื่นๆ เหลือบมองคังยองโมด้วยสีหน้าไม่สู้ดี แต่ไม่มีใครมีความกล้าพอที่จะพูดความคิดนั้นออกมาจากปาก
“ผมไม่เป็นไรครับ ถ้าคนอื่นเห็นว่าดี ผมยังไงก็ได้ครับ”
คนอื่นๆ เบนสายตากลับมาที่อีอูยอน เพราะความใจกว้างที่ออกมาจากปากของเขา
“ตกลงครับ งั้นเอาตามนั้นเถอะ”
รอยยิ้มเย้ยหยันบิดเบี้ยวประดับอยู่บนปากของคังยองโม
ชเวอินซอบจับตามองอีกฝ่ายจากทางด้านหลังอย่างร้อนใจ
“เริ่มจากตรงไหนดีครับ”
“เริ่มตั้งแต่ตอนที่ 5 หน้า 14 ดีไหมครับ ฉากที่คิมยองฮากับอีวอนชิกเจอกันระหว่างทาง”
“ได้ครับ”
แม้ทุกคนจะนั่งอยู่กับที่ แต่ไม่ใครกล้าบุ่มบ่ามพูดเลย เพราะมัวแต่ดูท่าทีกันไปมา
“งั้นผมเริ่มก่อนนะครับ”
คังยองโมกระแอมพร้อมกับเริ่มพูดบทของตน
[1] ฮันจา ตัวอักษรจีนในภาษาเกาหลี