ชเวอินซอบเดินไปยื่นกาแฟให้อีอูยอนทันทีที่ถึงเวลาพักกองอีอูยอนที่อ่านบทพร้อมกับจิบกาแฟเข้าไปอึกหนึ่งบ่นพึมพำโดยมองชเวอินซอบเลย
“กาแฟเย็นแล้วนี่นา”
“ขอโทษด้วยนะครับ จะให้ผมไปซื้อให้ใหม่ไหมครับ”
“ไม่ต้องครับ คุณไม่ต้องสนใจหรอก”
ถึงเขาจะพูดแบบนั้น แต่อีอูยอนก็ไม่ดื่มกาฟาแก้วนั้นอีกเลย เขาวางมันลงบนโต๊ะใกล้ๆ แทน ชเวอินซอบรู้สึกว่ามีเหงื่อเย็นๆ ไหลอยู่ข้างใน นี่เป็นความผิดที่เกิดขึ้นครั้งแรกหลังจากที่เขามาเป็นผู้จัดส่วนตัวของอีกฝ่าย ชเวอินซอบมองอีอูยอนสลับกับกาแฟเย็นๆ นั่นอย่างวุ่นวายใจ ทำยังไงดีล่ะ ต้องไปซื้อใหม่ไหม นี่เราควรจะต้องพูดอะไรดีนะ … ถ้าโดนไล่ออกเพราะเรื่องนี้จะทำยังไงดีล่ะ
“เคยอ่านบทเรื่องนี้ไหมครับ”
ชเวอินซอบพูดว่า ‘ครับ?’ ให้กับคำถามที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็โยนมาให้พร้อมกับเงยหน้าขึ้น
“บทเรื่องนี้น่ะครับ”
“เคยครับ”
ชเวอินซอบอ่านบทของละครกับภาพยนตร์ที่อีอูยอนแสดงทุกเรื่อง แน่นอนว่าหลังจากที่เขาทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวแล้ว เขาก็ยังทำเหมือนเดิม เขาอ่านจนแน่ใจแล้วว่าคราวนี้มันไม่ใช่แค่ละครสั้นเท่านั้น แต่ยังมีบทของละครย้อนยุคที่อีกฝ่ายจะต้องเข้าฉากหลังจากนี้ด้วย
“ผู้ชายจะชอบผู้หญิงที่ผ่านการหย่าร้างแถมยังมีลูกติดได้ยังไงกันครับ”
“ครับ?”
“คุณเข้าใจการชอบคนคนหนึ่งพร้อมกับแบกรับข้อเสียเหล่านี้เอาไว้หมดเหรอ”
มันเป็นคำถามที่เขาไม่ได้คาดคิดเอาไว้ ชเวอินซอบไม่รู้เลยว่าคนคนนั้นโยนคำถามแบบนี้ให้เขาด้วยจุดประสงค์อะไร เขาขบคิดอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยตอบ
“บางทีถ้าชอบ ถ้าชอบลงไปแล้วจริงๆ ก็คงจะไม่สนใจเรื่องแบบนั้นล่ะมั้งครับ”
อีอูยอนหัวเราะหึหึกับคำตอบของเขา
“แต่ผมสนใจนะ”
“…”
“แล้วผมก็เกลียดเด็กด้วย”
“ว่าไงนะครับ”
“ผมล้อเล่นน่ะครับ ล้อเล่น”
ถ้าเป็นคนปกติคงจะคิดว่าคำพูดเมื่อสักครู่นี้ของอีอูยอนเป็นการพูดล้อเล่นหรือไม่ก็คิดว่าหูตัวเองไม่ดี แต่ชเวอินซอบไม่สามารถทำแบบนั้นได้
“คุณไม่ชอบเด็กเหรอครับ”
“ไม่มีทางหรอกครับ”
อีอูยอนอุ้มนักแสดงเด็กที่เพิ่งตื่นชึ้นมา เขาก้มตัวลงไปตรงใบหูของเด็กน้อยทันทีที่เธอเริ่มงอแง น้ำเสียงกระซิบกระซาบอย่างอ่อนโยนที่ได้ยินแว่วๆ ทำเอาหัวใจที่ร้อนรุ่มของพวกผู้หญิงที่อยู่รอบๆ ไฟลุก เมื่อเด็กหยุดร้องไห้ อีอูยอนก็พูดกับชเวอินซอบว่าดูสิครับพลางยิ้มให้ดู ฟันที่ขาวและเรียงตัวสวยทำให้มันเป็นรอยยิ้มที่รู้สึกดีสำหรับคนอื่น แต่สำหรับชเวอินซอบมันเป็นรอยยิ้มที่น่าหวาดกลัว
‘ฟิลลิปเป็นจอมหลอกลวง ฉันคิดว่าในตอนที่เขายิ้ม เขาไม่สนใจเลยว่าคนอย่างฉันจะเป็นยังไง เขามองมาที่ฉันแล้วก็ยิ้ม แต่เขาแกล้งทำเป็นไม่ได้มอง และเดินกับผู้หญิงคนอื่นเพื่อทำให้ฉันร้อนใจ เขาเป็นจอมหลอกลวงโดยพรสวรรค์เลยล่ะ’
เขาได้ยินเสียงที่เจือความดีใจของเจนนี่ดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ชเวอินซอบหันหน้าหนีเพื่อที่จะมองข้ามรอยยิ้มของอีอูยอน ผ่านไปได้ไม่นานการถ่ายทำก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง อีอูยอนเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมมากๆจากท่าทางที่อีกฝ่ายนำทางให้นักแสดงที่เล่นคู่กันไปจนถึงนักแสดงเด็กได้เป็นอย่างดี ทำให้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้รับการยกย่องให้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง
ชเวอินซอบเอาเล็บของนิ้วโป้งกดปลายนิ้วที่ชาของตัวเองเอาไว้ ในตอนนั้นเองเขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดเล็กๆ แผ่นซ่านออกมาพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมา ถ้าหากเขาไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของอีอูยอน บางทีเขาก็อาจจะถูกภาพลักษณ์แบบนั้นหลอก และเผลอชมอีกฝ่ายว่าเท่ก็ได้ ถ้าหากว่าเขาไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของอีอูยอน…สิ่งที่เรารู้มันใช่ตัวตนที่แท้จริงของอีอูยอนใช่ไหม นี่เราเชื่อคำพูดของเจนนี่และคิดว่าอีอูยอนเป็นคนไม่ดีหรือเปล่า…ไม่สิ เราจะต้องเชื่อ มีแค่เราเท่านั้นที่ต้องเชื่อคำพูดของเจนนี่
ชเวอินซอบส่ายหัวและทำใจให้สงบ ทุกๆ ครั้งที่ลมพัดผ่านปลายนิ้วของเขาไป เขารู้สึกว่าความเจ็บปวดที่เจ็บแปลบกำลังเฉือนหัวใจของเขาอยู่
ท่ามกลางสายลมที่หนาวเย็นชเวอินซอบมองภาพที่อีอูยอนกำลังแสดงละครโดยไม่พูดอะไร
***
“ถ้าถ่ายฉากนี้เสร็จก็เสร็จแล้ว สู้ๆ นะครับ”
ผู้กำกับตะโกนเพื่อปลุกใจนักแสดงและสตาฟ ทุกคนลำบากมาเพราะอากาศที่หนาว ชเวอินซอบหนาวไปทั้งตัว เขารู้แล้วว่าทำไมกรรมการผู้จัดการคิมกับหัวหน้าทีมชาถึงบังคับให้เขาใส่เสื้อจัมเปอร์ที่หนาขนาดนี้ก่อนที่จะปล่อยเขามา
เขาไม่มีสติแม้แต่จะกั้นคนที่มามุงอยู่ให้ออกไปในทุกๆ ครั้งที่ย้ายสถานที่ถ่ายทำ แต่วันนี้อีอูยอนกลับเรียกร้องเยอะเหลือเกิน เช่น ผมอยากดื่มชาเขียวอุ่นๆ ผมอยากเช็ดมือด้วยผ้าเปียกอุ่น ไปเอาฮอตแพคมาให้หน่อย ถ้าได้ดื่มกาแฟร้อนๆ คอผมคงจะโล่ง หรือผมอยากนั่งบนเก้าอี้สบายๆ เป็นต้น
ชเวอินซอบยุ่งจนไม่มีเวลาพัก เพราะมัวแต่ทำตามคำขอร้องของอีกฝ่ายที่เกิดขึ้นไม่หยุด และท่ามกลางความโกลาหลนั้นเขาไม่สามารถเบาใจได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเขายังต้องช่วยดูแลนักแสดงเด็กที่ถูกแม่ทิ้งเอาไว้ด้วย
อีอูยอนดื่มชาเขียวอุ่นๆ พลางมองชเวอินซอบที่อุ้มนักแสดงเด็กที่รอเข้าฉากเดินไปเดินมา แม่เด็กไม่เห็นลูกอยู่ในสายตาเลย เพราะเธอมัวแต่คุยเรื่องที่ไม่สำคัญกับผู้กำกับอย่างที่จางยอนซูพูด ชเวอินซอบยัดลูกโป่งที่เขาซื้อมาด้วยเงินของตัวเองใส่มือเด็กและทำตัวเหมือนเป็นพ่อแม่ของเธอ
รอยยิ้มถูกวาดขึ้นบนริมฝีปากของอีอูยอน
เขาคิดว่าเขาจะค่อยๆ ไล่ผู้จัดการส่วนตัวออก ชเวอินซอบเป็นผู้จัดการที่สมบูรณ์แบบ เพราะอีกฝ่ายวิเคราะห์นิสัยกับรสนิยมของเขาได้อยากถูกต้อง และเข้ากันได้ดีด้วย อีกฝ่ายไม่ค่อยพูด ช่างสังเกต รวมไปถึงนิสัยก็ดีอีกด้วย ช่างสมบูรณ์แบบ เขาเป็นผู้จัดการส่วนตัวที่สมบูรณ์แบบจนอีอูยอนอยากถามจริงๆ ว่าไปพาคนแบบนี้มาจากที่ไหน
เพราะฉะนั้นอีอูยอนจึงไม่ถูกใจในความสมบูรณ์แบบเกินไปของชเวอินซอบ มันดูเหมือนชเวอินซอบถูกวิจัยขึ้นมาให้เป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอน และอีกฝ่ายก็ดูเหมือนเป็นคนที่ทำให้ตัวเองเข้ากับกรอบนั้นด้วย เหนือสิ่งอื่นใดการที่เขาสมัครใจที่จะเป็นแฟนคลับของอีอูยอนด้วยตัวเองนั้นน่าตลกสิ้นดี ตอนแรกเขาเกือบจะเชื่อแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นแบบนั้น แต่เขาสามารถรับรู้ความจริงได้ในทันทีว่าชเวอินซอบกำลังโกหกจากสายตาที่อีกฝ่ายมองเขา
อีอูยอนเป็นนักแสดงมาตั้งแต่เกิด เขาสามารถแยกออกได้ในทันทีว่าคนอื่นชอบเขาจริงๆ หรือแกล้งทำเป็นชอบเขา
ผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ไม่ใช่แฟนคลับของเขา แม้เขาจะรู้ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับอีอูยอนที่คนที่ไม่ใช่แฟนคลับไม่สามารถรู้ได้เลย แต่ชเวอินซอบไม่ใช่แฟนคลับของเขาแน่ๆ อีกฝ่ายจะสมัครใจที่จะเป็นแฟนคลับของเขาด้วยตัวเองและออกแรงอึดเพื่อที่จะทำให้อีอูยอนพอใจ
“น่าสนุกแฮะ”
อีอูยอนมองชเวอินซอบที่ถึงแม้จะอุ้มเด็กอยู่แต่ก็ยังมองมาทางนี้พลางพึมพำขึ้นมา ถึงมันจะน่าสนุก แต่เขากลับไม่สบายใจเลยสักนิดเดียว เพราะฉะนั้นตอนนี้เขาต้องค่อยๆ เปลี่ยนแล้ว
“คุณอีอูยอนครับ”
ชเวอินซอบที่เดินเข้ามาตอนไหนก็ไม่รู้เรียกชื่อเขา ในขณะที่หอบหายใจเพราะเด็กตัวหนัก ชเวอินอินซอบกลับไม่ชักสีหน้าเลยสักครั้ง และเขาก็พูดต่อ
“เดี๋ยวผมจะเปลี่ยนเวลาที่จองสปาวันนี้ไว้นะครับ”
“ได้ครับ ยังไงมันก็น่าจะสายกว่าที่คิดเอาไว้อยู่แล้ว”
เป็นเรื่องธรรมดาที่การถ่ายทำนอกสถานที่จะเสร็จช้ากว่าเวลาที่คาดการณ์เอาไว้ เพราะมีตัวแปรหลายอย่าง อีอูยอนทำแบบนั้นเพราะคำยืนกรานของกรรมการผู้จัดการคิมที่บอกว่าถ้าโดนลมเย็นๆ ผิวของเราจะไม่ดี ฉะนั้นนายจะต้องได้รับการดูแลผิวทันทีที่ถ่ายทำนอกสถานที่เสร็จ วันนี้เขาลืมเรื่องนั้นไปแล้ว แต่ดูเหมือนผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ของเขาจะยังไม่ลืมเรื่องนั้นไปแม้ตัวเองจะยุ่งวุ่นวายอยู่กับการดูแลนักแสดงเด็กก็ตาม
“คุณอินซอบนี่ดูเหมือนจะมีความสามารถจริงๆ นะครับ”
“ผมแค่ทำงานที่ผมจะต้องทำเท่านั้นเองครับ”
เขาเห็นว่าทุกครั้งที่ถูกชม ชเวอินซอบจะแสดงออกมาทางสีหน้าว่าเขาไม่รู้ว่าจะวางสายตาเอาไว้ที่ไหนดี และนั่นก็ไม่ใช่ความเงอะงะที่มาพร้อมกับความเขินอายด้วย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายพยายามซ่อนมันไว้พร้อมกับความรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อยกับคำพูดของเขา และไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไรดี
“ในฐานะผู้จัดการส่วนตัวหรือในฐานะแฟนคลับล่ะครับ”
“ทั้งคู่ครับ…”
อีอูยอนยิ้ม
ถ้าตัดเรื่องนี้ออกไป เขาก็น่าจะดีจริงๆ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าไม่ได้ชอบเขา แต่กลับใช้ความดื้อรั้นพยายามทำให้เขาถูกใจมากกว่า
ถึงจะน่าสนุก แต่เขาก็ไม่สบายใจ อีอูยอนตัดสินใจแล้วว่าเขาจะต้องเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวภายในเร็วๆ นี้ เพราะความไม่สบายใจมันมีมากกว่า
“คุณอูยอนนั่งตรงนี้ก็ได้ครับ เพราะเดี๋ยวเราจะตัดต่อแค่สีหน้าโดยไม่มีบทพูดอะไร เข้าใจไหมครับ แค่จับมือคุณยอนซูไว้โดยไม่ต้องพูดอะไรก็พอ”
“ครับ”
“คุณยอนซูเล่นเครื่องเล่นเก่งไหมครับ”
“แน่นอนสิคะ ฉันชอบมากเลย”
“คุณอูยอนไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
“ผมไม่เป็นไรครับ”
“เครื่องเล่นนี้ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น ไม่ต้องกังวลนะครับ ถ้ากลัวก็กรี๊ดออกมาได้เลยครับ เพราะผมจะตัดต่อฉากนั้นให้อยู่แล้ว พวกตัวประกอบอย่ากรี๊ดดังมากนะครับ เพราะเสียงจะออกไมค์”
หลายๆ คนระเบิดหัวเราะให้กับคำพูดเล่นของผู้กำกับและขึ้นไปนั่งบนเครื่องเล่น อีอูยอนจับมือของจางยอนซูเพื่อให้เธอขึ้นไปก่อน และเขาก็ตามไปนั่งข้างๆ
“ว่างที่หนึ่งเหรอครับ”
ผู้ช่วยผู้กำกับฉากที่กำลังตรวจสอบที่นั่งอยู่นั้นชี้ไปที่ที่นั่งด้านหลังอีอูยอนพลางเอ่ยขึ้น
“อะไรกันเนี่ย ใครก็ได้ขึ้นไปนั่งที”
“ใครสักคนในฝ่ายแสงขึ้นไปนั่งตรงนั้นที”
ผู้ช่วยผู้กำกับฉากตะโกนขึ้นมา แต่ไม่มีใครก้าวออกมาในทันที ดูเหมือนพวกเขาจะลำบากที่จะต้องโผล่เข้ามาในจอ เพราะเป็นที่นั่งด้านหลังของอีอูยอน
“ผู้จัดการส่วนตัวของคุณอูยอนตรงนั้นน่ะ”
“ครับ?”
“ขึ้นไปหน่อยครับ ถ้ากลัวก็ก้มหน้าเอาไว้ก็ได้”
“ผมเหรอครับ ผะ ผมน่ะเหรอครับ”
ชเวอินซอบถามกลับไปอย่างตะกุกตะกัก เพราะเขางงไม่น้อย
“มันไม่น่ากลัวเท่าไรหรอกครับ ไม่เป็นไรหรอก”
“ไม่ครับ คือผม คือผมเล่นของแบบนี้…”
“เป็นผู้ชายจะกลัวอะไรขนาดนั้นล่ะ ขึ้นไปเร็วๆ ครับ”
ทันทีที่ผู้กำกับชี้มือสั่งให้เขารีบๆ ขึ้นไป ชเวอินซอบก็มองอีอูยอนด้วยใบหน้าที่กลายเป็นสีแดง อีอูยอนอ่านสิ่งที่ผู้จัดการส่วนตัวต้องการจากตัวเองได้ภายในการมองเพียงสั้นๆ
ช่วยด้วยครับ
“ถ้ากลัวก็จับมือผมไว้นะครับ”
อีอูยอนเบนสายตาไปทางจางยอนซูและพูดอย่างอ่อนโยน สถานการณ์ของผู้จัดการส่วนตัวอยู่นอกเหนือขอบเขตของเขา มันก็ไม่แย่เท่าไรถ้าจะทำให้ผู้จัดการส่วนตัวลาออกด้วยเรื่องนี้ได้
“ถ้าคุณอูยอนกลัวก็จับมือฉันไว้นะคะ เพราะฉันน่าจะจับแน่นเลย”
จางยอนซูดึงราวกั้นลงมาและตอบกลับด้วยน้ำเสียงยินดี
ชเวอินซอบที่กลัวจนหน้าซีดถูกดันหลังให้มานั่งข้างหลังเขา ดูเหมือนแม่ของนักแสดงเด็กจะเป็นคนพามา
“คือ ผู้กำกับครับ…คือ คือผม…”
ชเวอินซอบเรียกผู้กำกับด้วยน้ำเสียงบางเบา เพราะเขามีอะไรจะพูด แต่ผู้กำกับกลับยุ่งอยู่กับการวางตำแหน่งกล้องจนไม่ได้สนใจ
“ขะ ขอโทษนะครับคุณอีอูยอน…”
“ครับ?”
“คือว่า คือว่าผม…ผมน่ะ…”
กลับเป็นจางยอนซูที่เห็นหน้าของชเวอินซอบที่ซีดเผือดจนน่าสงสารและเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“คุณไม่เป็นไรใช่ไหมคะ ดูเหมือนผู้จัดการส่วนตัวของคุณอูยอนจะกลัวมากเลยนะคะ”
“ถ้ากลัวจะจับมือผมเอาไว้ไหมล่ะครับ”
อีอูยอนแกล้งยื่นมือออกมาพลางหัวเราะ ชเวอินซอบกัดริมฝีปากและส่ายหัว พนักงานดูแลความปลอดภัยเดินไปเดินมาพลางเอาราวกั้นลง
“ไม่ครับ! ผม…! คุณครับ!”
ชเวอินซอบตะโกนอะไรสักอย่าง แต่เสียงล็อกของราวกั้นก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“คุณครับ! คะ…!”
“ผู้จัดการส่วนตัวของคุณอูยอนตรงนั้นน่ะ ช่วยเงียบหน่อยนะครับ เพราะเราอัดเสียงไว้ทั้งหมดเลย จะเริ่มถ่ายแล้วนะครับ Let’s start”
กระดานสเลท[1] ถูกสับลง
ชเวอินซอบกำราวกั้นไว้ด้วยสีหน้าซีดเผือดพลางก้มหน้าลง อีอูยอนมองดูอีกฝ่ายที่ตัวสั่นด้วยความกลัวพลางลอบยิ้ม
“จับแน่นๆ นะครับ”
เขาพูดราวเสียงกระซิบกับจางยอนซูและมองชเวอินซอบ
จากนั้นรถไฟเหาะก็เริ่มขยับ
***
[1] กระดานสเลท กระดานที่ใช้บอกข้อมูลต่างๆ ในการถ่ายทำแต่ละฉากว่าตอนนี้กำลังถ่ายละครเรื่องอะไร ตอนที่เท่าไรอยู่