“คุณอินซอบ”
“…?”
ชเวอินซอบที่กำลังกินจาจังมยอนอยู่นั้นทำตาโตด้วยความตกใจและเงยหน้าขึ้นมาทันทีที่ชื่อของตัวเองออกมาจากปากของหัวหน้าทีมชา
“ดูเหมือนคุณจะเป็นแฟนคลับของอีอูยอนจริงๆ สินะ”
“…ครับ ใช่ครับ”
แม้เขาจะเป็นชเวอินซอบที่ออกปากเองว่าเป็นแฟนคลับของอีอูยอน และได้เข้ามาทำงานในบริษัทนี้ แต่มันก็ช่วยไม่ได้อยู่ดีที่เขาจะรู้สึกกระอักกระอ่วน เขาพยายามทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและพูดต่อ
“ผมเป็นแฟนคลับของเขาจริงๆ ว่าแต่ทำไมเหรอครับ”
“ผมไม่เคยเห็นอีอูยอนเขาอยู่เงียบๆ ขนาดนั้นมาก่อนเลย ไม่สิ ตอนที่ผมเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้เขาอยู่พักหนึ่ง เขาก็เงียบนะ แต่ในความหมายอื่นน่ะ”
หัวหน้าทีมชาเอามือลูบเคราพลางนึกถึงความทรงจำที่น่ากลัวในวันนั้น
“อีอูยอนเขาชมนายด้วยนะ”
กรรมการผู้จัดการคิมเสริมขึ้นมา ชเวอินซอบกำลังเคี้ยวจาจังมยอนอยู่ เขาหน้าแดงขึ้นมาราวกับเขินอาย และพูดว่า ‘อะไรกันล่ะครับ’ เขาเข้าหาอีอูยอนเพราะมีแผนในใจ แต่พอได้รับคำชมแบบนั้น เขาก็หน้าแดงขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
“อีอูยอนน่ะ เขาบอกว่านายรู้จักบุคลิก รสนิยม และนิสัยของเขา รวมไปถึงเรื่องการรักษาระยะห่างกับเขาด้วย แถมนายยังจัดการตารางงานต่างๆ อย่างถูกต้องทั้งหมดอีก เขาบอกอีกว่าเขาสบายใจกับนายมากๆ”
“เรื่องนั้นน่ะ…เพราะมันมีเขียนเอาไว้ในสมุดโน้ตยังไงล่ะครับ”
มีคำเตือนง่ายๆ กับเรื่องต่างๆ ที่เขาจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับอีอูยอนเขียนไว้ในสมุดโน้ตที่หัวหน้าทีมชายกให้ แต่ในนั้นไม่ได้มีความชอบเรื่องชนิดกาแฟที่แตกต่างกันไปตามสภาพอากาศ ชนิดของขนมปังที่อีอูยอนชอบ เรื่องที่ควรระมัดระวังเวลาที่พูดคุยกับอีกฝ่าย หรือวิธีการรับมือเวลาที่อีกฝ่ายอารมณ์ไม่ดีเขียนไว้
“เลือกมาได้ดีแล้วสินะ อันที่จริงแล้วฉันกังวลมากเลยล่ะที่จะให้นายดูแลอีอูยอน เพราะนายไม่มีประสบการณ์ แต่พออ่านรายงานพวกนั้นแล้ว ฉันก็ตัดสินใจได้ อินซอบเนี่ยเป็นแฟนคลับตัวจริงของอีอูยอนเลยแหละ ฉันรับประกัน”
ในแวดวงธุรกิจนี้ซึ่งเป็นแวดวงที่ข่าวลือเป็นเรื่องที่แพร่ออกไปชนิดปากต่อปาก เราไม่สามารถแต่งประสบการณ์การทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวขึ้นมาได้อยู่แล้ว ชเวอินซอบที่กังวลในเรื่องนั้นได้เขียนรายงานเกี่ยวกับอีอูยอนขึ้นมาและยื่นพร้อมกับประวัติส่วนตัวที่เขาเขียนแนะนำตัวเอง ในรายงานจำนวนเกือบ 20 หน้ากระดาษเอสี่นั้น เขาวิเคราะห์เรื่องราวเกี่ยวกับอีอูยอน อาชีพของเขาจนถึงตอนนี้ และทิศทางต่างๆ ในอนาคตได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าที่นี่เป็นคณะที่เรียกว่าอีอูยอนศาสตร์ ชเวอินซอบก็คงยื่นรายงานที่สมบูณ์แบบมากพอที่จะได้รับปริญญาเอกเลยทีเดียว กรรมการผู้จัดการคิมที่ได้อ่านรายงานฉบับนั้นตะโกนให้พาเด็กคนนี้มาหาทันทีโดยไม่ต้องอ่านเรซูเม่ของคนอื่นเลย
“ทำไมถึงชอบอีอูยอนล่ะ”
“ครับ?”
“ก็นายบอกว่าเป็นแฟนคลับเขานี่นา การที่ผู้ชายจะมาชอบดาราผู้ชาย ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกนะ หรือว่า…นายจะเป็นแบบนั้น”
ตัวของชเวอินซอบขึ้นเป็นสีแดงไปจนถึงต้นคอ เขาโบกมือไปมาอย่างร้อนรน
“ไม่ใช่นะครับ ไม่ใช่นะ ผมไม่เคยคิดกับคุณอีอูยอนแบบนั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว จะให้ผมสาบานก็ได้นะครับ”
เขายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
“ฉันไม่สนหรอก ต่อให้นายจะเป็นแบบนั้นก็ตาม เพราะในแวดวงนี้ก็มีอยู่เยอะอยู่แล้ว”
“ไม่ใช่นะครับ จริงๆ นะครับ ผมไม่ได้โกหกนะครับ”
“ไม่ต้องทำหน้าตาซีเรียสขนาดนั้นหรอก ยิ่งทำแบบนั้นจะยิ่งได้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามนะ เพราะกรรมการผู้จัดการคิมเขาชอบแหย่คนเล่นอยู่แล้ว”
ทันทีที่หัวหน้าทีมชาหัวเราะและพูดขึ้นมา ใบหน้าของชเวอินซอบก็แดงขึ้นมากกว่าเมื่อกี้อีกหนึ่งระดับ เขาหยิบสมุดโน้ตที่อยู่ในกระเป๋าออกมาและเริ่มเขียนอะไรบางอย่างลงไป
“กำลังเขียนอะไรอยู่เหรอ กรรมการผู้จัดการชอบแกล้ง…อะไรกันเนี่ย จะต้องเขียนเรื่องนั้นลงไปด้วยเหรอ ฮ่าๆๆๆ ”
กรรมการผู้จัดการคิมที่แอบอ่านสมุดโน้ตของชเวอินซอบหัวเราะเสียงดังพลางตบเข่าตัวเอง
หัวหน้าทีมชาเองก็ยื่นหน้าออกมาดูว่าเขาเขียนแบบนั้นจริงๆ หรือเปล่า และเอนตัวลงไปหัวเราะราวกับเป็นบ้าบนโซฟา
“ฮ่าๆๆๆ ทำไมต้องเขียนเรื่องนั้นลงไปด้วยล่ะ”
“เดี๋ยวผมจะไปจัดการทีหลังน่ะครับ ผมจะได้ไม่ทำผิดไงครับ”
“ถ้าทำผิดไปบ้างจะเป็นอะไรล่ะ แล้วเรื่องนั้นมันจะเป็นความผิดอะไรกัน ฮ่าๆๆๆ”
ท่ามกลางคนสองคนที่หัวเราะเสียงดังอยู่นั้น ชเวอินซอบก็เขียนเสร็จพอดี เขาเก็บสมุดโน้ตใส่กระเป๋าอีกครั้งอย่างเงียบๆ
“ผมเป็นพวกเข้าใจอะไรช้าตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับ”
“คือยังไงนะ”
“เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องใหม่ ผมจะเขียนเอาไว้ก่อน มันเป็นนิสัยไปแล้วน่ะครับ ถ้าหากทำให้พวกคุณอารมณ์ไม่ดี…ผมจะลบให้นะครับ”
มันเป็นเรื่องจริง สมัยเด็กๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรอินซอบก็จะช้ากว่าเด็กคนอื่นๆ แม้จะเป็นเรื่องปกติที่พัฒนาการของเด็กผอมแห้งจากเอเชียจะช้ากว่าเด็กตะวันตกรุ่นเดียวกัน แต่ชเวอินซอบกลับไม่ใช่ระดับนั้น เขาพูดช้า อ่านช้า เขียนช้า รวมไปถึงรู้จักสิ่งต่างๆ ได้ช้าด้วย หลังจากที่อินซอบอ่านหนังสือออก แม่ของเขาก็แปะโพสอิทที่เขียนชื่อ วิธีการใช้ และคำอธิบายของข้าวของต่างๆ ที่เขาเห็นแปะเอาไว้ เขาก็เลยชอบเขียนสิ่งต่างๆ ลงในกระดาษโน้ตเสมอ และก่อนที่จะเข้านอนเขามักจะนอนอ่านข้อความที่เขียนไว้บนเตียงสักหนึ่งถึงสองรอบ
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะอยู่ในระดับที่ไม่ต่างไปจากคนอื่นแล้ว แต่นิสัยในตอนนั้นก็ยังอยู่ ชเวอินซอบมักจะจดสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามลงในสมุดหรือกระดาษโน้ต ถ้าหากเขาได้อ่านโน้ตที่จดไว้ก่อนที่จะเข้านอน เขาจะรู้สึกว่าเขาได้จัดการเรื่องราวต่างๆ ในวันนี้เสร็จหมดแล้ว และเขาก็ไม่สามารถทิ้งนิสัยเหล่านั้นไปได้ แน่นอนว่านิสัยเหล่านั้นมีส่วนช่วยอย่างมากในการวิเคราะห์อีอูยอน พอกรรมการผู้จัดการคิมเห็นว่าชเวอินซอบวางปากกาหลังจดไปได้ส่วนหนึ่งและทำสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมา เขาก็เลยส่ายหัว
“เอาเถอะ นายจดเท่าที่อยากจะจดเถอะ จดเกี่ยวกับการแต่งตัวของฉันวันนี้ไปด้วยก็ไม่เลวนะ”
ทันทีที่กรรมการผู้จัดการคิมยืดไหล่พูดแบบนั้น หัวหน้าทีมชาก็แกล้งทำเป็นเดาะลิ้น กรรมการผู้จัดการคิมที่ไม่สามารถลืมอดีตที่ตนเองเคยเป็นนายแบบได้นั้นยังคงมีความสุขกับการที่คนอื่นๆ พุ่งความสนใจมาที่ตัวเอง หัวหน้าทีมชาคิดว่าถ้าอายุขนาดนี้แล้วยังเป็นโรคเจ้าชาย[1]อยู่ นี่คงเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาหายได้แล้ว และเขาก็ส่ายหัว
“กรรมการผู้จัดการจะต้องลดๆ เรื่องนั้นหน่อยนะครับ เป็นกรรมการผู้จัดการอะไรถึงได้สนใจเรื่องเสื้อผ้ามากกว่าดารากัน”
“งั้นนายจะให้ฉันไปไหนมาไหนแบบโทรมๆ เหรอ รูปของพวกดาราที่ตกอับน่ะ นายอยากให้มีรูปแบบนั้นโผล่ออกมาเหรอ”
แม้เขาจะบอกให้พวกดาราในบริษัทไม่ต้องสนใจกับคอมเมนต์ว่าร้าย หรือให้ลืมข่าวไม่ดีไป แต่กรรมการผู้จัดการคิมกลับเช็กรูปของตัวเองที่ปรากฎขึ้นมาผ่านๆ อย่างตั้งใจมาก เขาโทรศัพท์หานักข่าวที่ลงรูปแปลกๆ ด้วยตัวเอง และขอร้องอย่างสุภาพให้ช่วยใช้รูปอี่น
แม้นิสัยแบบนั้นจะดูเป็นมนุษย์และตลก แต่สำหรับหัวหน้าทีมชาที่ก่อตั้งบริษัทมาด้วยแล้ว เขากลับเดาะลิ้นและไล่ให้กรรมการผู้จัดการคิมไปทำตัวให้สมกับวัยหน่อย
“วันนี้กรรมการผู้จัดการคิมก็หล่อนะครับ”
“อย่างนั้นเหรอ”
สีหน้าของกรรมการผู้จัดการคิมสดใสขึ้นมาทันทีเพราะคำพูดของชเวอินซอบ ชเวอินซอบหยิบสมุดโน้ตออกมาและถามอีกฝ่าย
“จะให้ผมจดลงไปดีไหมครับว่าวันนี้คุณหล่อมาก เมื่อวานผมก็จดนะครับ”
“ฮ่าๆๆๆๆ จดเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ จดเรื่องเดิมๆ ทุกวันน่าจะเจ็บมือแย่ ไหนมาดูสิ เมื่อวานก็เขียนไว้ด้วยเหรอ”
ทันทีที่กรรมการผู้จัดการคิมยื่นหน้าเข้ามาเพื่ออ่านสมุดโน้ต หัวหน้าทีมชาก็ใช้ฝ่ามือดันหน้าอีกฝ่ายออกไป
“ยังไงก็ตามเป็นพวกเราเองต่างหากที่ต้องขอบคุณที่คุณคุณอินซอบทำงานดี พวกเรากังวลมากเลยล่ะ”
ในช่วงเวลาที่เขายังไม่อาจเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าจิตสำนึกคืออะไรกันแน่ ชเวอินซอบไม่สามารถแยกคำว่าจิตสำนึกกับหัวใจออกจากกันได้เลย ถ้าหากจิตสำนึกของเขาโดนทิ่มแทง บริเวณหัวใจของเขาก็จะเจ็บไปด้วย
ตอนนี้เขาก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน มีมือที่มองไม่เห็นกดหัวใจของชเวอินซอบไว้ เขาก้มหน้าและตอบรับออกไป
“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ ผมจะพยายามให้มากขึ้นครับ”
ความเห็นใจฉายชัดขึ้นมาบนใบหน้าของหัวหน้าทีมชาที่มองชเวอินซอบที่พูดพึมพำด้วยน้ำเสียงเหมือนกับเป็นเด็กต่างจังหวัดซื่อๆ เด็กหนุ่มที่ใจดีขนาดนี้จะต้องเหนื่อยแค่ไหนนะกับการที่อีกฝ่ายเป็นคนที่เหมือนกับปีศาจร้ายแบบนั้น
“คือว่านะคุณอินซอบ”
“ครับ?”
“ถ้าหากคุณอินซอบโดนอีอูยอนแกล้ง ก็ให้บอกเลยนะครับ หรือว่ามีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นบ้างหรือเปล่า”
“เรื่องแปลกๆ เหรอครับ”
“อย่างนี้นะครับ เช่นจู่ๆ เขาก็…”
กรรมการผู้จัดการทำไม้ทำมือเพื่อห้ามไม่ให้หัวหน้าทีมชาพูด
“เรื่องไร้สาระน่ะ”
แน่นอนว่าการที่เขาจะเปิดเผยความลับออกมาทั้งหมดกับการที่เขาถูกใจขเวอินซอบในฐานะผู้จัดการส่วนตัวเป็นปัญหาคนละเรื่องกัน กรรมการผู้จัดการคิมทำหน้าเครียดและห้ามไม่ให้หัวหน้าทีมชาพูด
“ไม่หรอก ถ้าเป็นคุณอินซอบแล้วล่ะก็ จะต้องอยู่ไปอีกนานแน่ๆ ช่วงนี้พวกนักข่าวเขียนเรื่องที่อีอูยอนเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อยลงในบทสัมภาษณ์เยอะมาก การห้ามนักข่าวก็มีข้อจำกัดเหมือนกัน”
ชเวอินซอบแกล้งทำเป็นไม่รู้และจดจ่ออยู่กับการกินจาจังมยอนต่อไป แม้เขาจะถูกไล่ออกในอีกสามเดือน แต่ถ้าไม่อยากให้ตัวเองอยู่ในความทรงจำของคนพวกนี้ เขาจะต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายมาและหายไปอย่างเงียบๆ
“วันนี้เป็นวันที่อีอูยอนมีถ่ายละครสั้นไม่ใช่เหรอ”
“ใช่แล้วครับ เมื่อวานเขาอ่านบทไปแล้ว และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะเป็นการเข้าฉากถ่ายทำครับ”
ชเวอินซอบพูดข้อมูลที่ถูกต้องออกมาราวกับเป็นเด็กนักเรียนที่มาสอบ
“แล้วทำไมวันนี้คุณอินซอบมาทำงานที่บริษัทล่ะครับ”
“การถ่ายทำละครสั้นตั้งแต่ตอนบ่ายเป็นการถ่ายทำนอกสถานที่น่ะครับ ที่ผมเข้ามาที่บริษัทก็เพื่อจะมาเอาของที่คุณอีอูยอนสั่งให้เอาไปให้ครับ แล้วกรรมการผู้จัดการคิมก็บอกว่าเวลายังเหลือให้มากินข้าว…เพราะอย่างนั้นผมก็เลยกำลังกินจาจังมยอนอยู่ครับ ขอโทษด้วยนะครับ”
พอกรรมการผู้จัดการคิมเห็นชเวอินซอบพ่นคำตอบยาวเหยียดด้วยท่าทางประหม่า เขาก็ระเบิดหัวเราะ
“นี่ นายจะประหม่าอะไรขนาดนั้นล่ะ เข้าใจแล้ว ฉันถามเพราะสงสัยเฉยๆ ไม่ได้จะโทษนายหรอก”
ชเวอินซอบมองหน้ากรรมการผู้จัดการคิมสลับกับหน้าหัวหน้าทีมชาในขณะที่ยังถือตะเกียบเอาไว้อยู่ แล้วเขาผ่อนแรงที่ไหล่ลง
“ว่าแต่ถ้าเป็นการถ่ายทำนอกสถานที่ เวลามันจะไม่กระชั้นชิดไปเหรอ ใครเป็นคนพาอีอูยอนไปล่ะ”
“เขาบอกว่าจะไปเองเพราะมันอยู่ใกล้ๆ พอดีนะครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมกับหัวหน้าทีมชาวิเคราะห์ความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำว่า ‘พอดี’ พร้อมกัน หัวหน้าทีมชาเคี้ยวหัวไชเท้าดองและหันไปพูดกับอินซอบ
“คุณอินซอบ”
“ครับ?”
“อีอูยอนเขาคบกับผู้หญิงอยู่ใช่หรือเปล่า”
“…”
ชเวอินซอบใช้ตะเกียบแบ่งเส้นจาจังมยอนโดยไม่พูดอะไร ถ้าเขาตอบไปว่าไม่มี ก็เป็นคำพูดโกหกแน่ๆ และถ้าหากเขาตอบไปว่ามี เขาก็รู้สึกว่าเขายุ่งไม่เข้าเรื่อง เขาไม่สามารถเปิดปากพูดได้โดยไม่ลังเล
“ผู้หญิงที่อีอูยอนคบอยู่ตอนนี้เป็นใครเหรอ”
กรรมการผู้จัดการคิมถามซ้ำอีกครั้ง ชเวอินซอบที่กำลังใช้ตะเกียบแบ่งเส้นจาจังมยอนอยู่นั้นหน้าแดงขึ้นมาทันที และเขาก็ลุกขึ้นจากที่
“ผม…ไปก่อนนะครับ”
หัวหน้าทีมชาหัวเราะเสียงดัง และกดไหล่ของชเวอินซอบให้นั่งลง
“เป็นแฟนคลับของอีอูยอนจริงๆ ด้วยสินะ แม้แต่ความจงรักภักดีนี่ก็ด้วย”
“…”
มันไม่ใช่ความจงรักภักดี แต่เป็นการทรยศอย่างแน่นอน รวมถึงการเฝ้าสังเกตและการล้างแค้นด้วยเช่นกัน
“ว่าแต่ทำไมอีอูยอนถึงเล่นละครสั้นอีกแล้วล่ะ ของแบบนั้นไม่มีเรตติ้งนี่”
“ปล่อยไปเถอะครับ มันเป็นนิสัยที่หมอนั่นชอบทำก่อนที่จะมีงานละครเข้ามาอยู่แล้ว”
อีอูยอนเป็นพวกไม่เรื่องมากในการเลือกภาพยนตร์หรือละคร ถ้าเขารู้สึกว่าฟีลลิ่งมันมามากพอ เขาก็จะตกลง ถึงแม้ว่าผลงานที่เขาถ่ายจะได้รับความนิยมเกือบทุกเรื่อง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะถ่ายแต่ผลงานที่เป็นกระแส
อีอูยอนชอบละครสั้น ยิ่งเป็นละครสั้นจำนวนสามถึงสี่ตอนที่สถานีโทรทัศน์สร้างขึ้นเป็นรายการพิเศษเป็นครั้งคราวเขายิ่งชอบ
เรตติ้งในตอนจบของละครสั้นก็ไม่ได้สูงมากนักตั้งแต่ก่อนที่เขาจะได้รับความนิยมแล้ว แถมค่าตัวก็น้อยเท่าหางอึ่ง กระทั่งการบอกว่าไม่ค่อยมีนักแสดงระดับอีอูยอนมาเล่นละครสั้นเท่าไรนัก ก็ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงเลย แต่อีอูยอนกลับเพลิดเพลินกับการถ่ายทำละครสั้นโดยไม่สนใจคำเตือนของบริษัทต้นสังกัด
แม้เขาจะเคยบอกในบทสัมภาษณ์ไปแล้วว่าเวลาที่เขาสามารถจดจ่อกับบทที่ต่างออกไปในเวลาสั้นๆ ได้เป็นการฝึกฝนที่ดี แต่กรรมการผู้จัดการคิมยืนยันได้เลยว่าเขามีแผนอะไรบางอย่างในใจอย่างแน่นอน
“ละครสั้นที่คุณอีอูยอนถ่ายน่ะ บทก็ดี แถมอยู่ในระดับที่ประสบความสำเร็จด้วยนะครับ ถึงแม้จะไม่ได้ช่วยเรื่องสถานะของบริษัทในตอนนี้มากนัก แต่ผมคิดว่ามันจะกลายเป็นตัวช่วยในอนาคตอย่างแน่นอนครับ ไม่ใช่แค่สำหรับแฟนๆ เท่านั้นนะครับ แต่ยังได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้ชมทั่วไปด้วย”
ทันทีที่ชเวอินซอบนึกถึงข้อความท่อนหนึ่งที่เขาค้นคว้าเกี่ยวกับอีอูยอนขึ้นมาได้และตอบออกไป กรรมการผู้จัดการคิมกับหัวหน้าทีมชาก็มองหน้ากัน
“เป็นแฟนคลับจริงๆ ด้วย!”
“เป็นแฟนคลับจริงๆ เป็นแฟนคลับแน่ๆ”
กรรมการผู้จัดการคิมทำหน้าซาบซึ้งใจก่อนที่จะพูดขึ้น
“ช่วยอยู่ทำงานข้างๆ อีอูยอนของเราไปนานๆ เลยนะ”
“…ครับ”
ชเวอินซอบตอบอย่างอ้อมแอ้มและลุกขึ้นจากที่นั่ง เขาลำบากใจที่จะอยู่ตรงนี้ต่อไป แม้เขาจะสมัครใจเป็นแฟนคลับของอีอูยอน แต่การแสร้งว่าเป็นแฟนคลับทั้งๆ ที่เขาไม่ใช่แฟนคลับจริงๆ ก็เกินกำลังของเขาไปหน่อย ให้เขาจดบันทึกเรื่องต่างๆ อย่างเงียบๆ จัดการงานต่างๆ คอยขับรถให้ และคอยดูแลอีอูยอนอยู่ข้างๆ เฉยๆ ยังจะดีเสียกว่า
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“จะไปเลยเหรอ”
“ครับ ถ้าไปตอนนี้คงไปถึงทันเวลานัดพอดีครับ”
ถึงแม้ว่าเขาน่าจะไปถึงเร็วกว่าเวลานัดประมาณสามสิบนาที แต่การเป็นคนไปรอแทนที่จะไปถึงอย่างฉิวเฉียดทำให้ชเวอินซอบสบายใจ
“ถ้าอย่างนั้นไว้เจอกันนะครับ ทานข้าวให้อร่อยครับ”
“จะไปทั้งๆ แบบนั้นเหรอ”
“นี่อย่าบอกนะว่าจะไปแบบนั้นน่ะ”
คนทั้งคู่ทำตาโตและจับเสื้อของชเวอินซอบเอาไว้
ถ้าหากขับรถยนต์ไป ระยะทางจากที่นี่ไปสวนสนุกใช้เวลาไม่ถึงสามสิบนาทีด้วยซ้ำ เขาเองก็เตรียมของที่อีอูยอนสั่งให้มาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยด้วย
แต่ทันทีที่สองคนนั้นทำสีหน้าจริงจังขึ้นมาและยืนขวางทางเขาเอาไว้ ชเวอินซอบก็ไม่สามารถซ่อนความงงงวยของตัวเองเอาไว้ได้
“ผมทำอะไรผิดเหรอครับ”
เขาตั้งใจไว้ว่าถ้าหากมีอะไรที่เขาไม่รู้ เขาจะจดมันลงในสมุดโน้ต และรอคำตอบจากทั้งสองคน
[1] โรคเจ้าชาย โรคที่ผู้ป่วยมักคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าชาย โดยจะยกตนเองให้สูงกว่าคนอื่น มักมีความสุขเวลาคนอื่นสนใจตัวเอง