ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 1 เล่ม 1 ตอนที่ 2-2

ภาค 1 เล่ม 1 ตอนที่ 2-2

“อืม…”

ชเวอินซอบจัดเสื้อผ้าอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าทางเข้าสวนสนุกด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก นี่เป็นครั้งแรกหลังจากเริ่มทำงานที่เขาได้ลองใส่เสื้อผ้าชุดอื่นที่ไม่ใช่ชุดสูท ตอนทำงานเขายืนกรานหนักแน่นที่จะใส่ชุดสูท เพราะการที่เขาโกหกว่าตัวเองอายุมากกว่าอายุจริงสองปีทำให้เขาหน้าเด็กกว่าวัย แต่กรรมการผู้จัดการคิมบอกว่าถ้าเขาออกไปสถานที่ถ่ายทำนอกสถานที่ทั้งๆ แบบนั้น เขาได้หนาวตายแน่ๆ อีกฝ่ายเลยลากเขาไปที่ร้านมัลติแบรนด์[1] ใกล้ๆ และซื้อเสื้อขนเป็ดกับกางเกงยีนส์แบบลำลองให้ หัวหน้าทีมชาเองก็ซื้อลองจอนแบบอุ่นซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในช่วงนี้มายื่นให้ด้วย และบอกว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก

แม้เขาจะปฏิเสธอย่างสุภาพแล้ว แต่ด้วยการชักจูงที่ใกล้เคียงกับการข่มขู่ที่บอกว่าถ้าหากไม่ยอมเปลี่ยนชุด ก็อย่าหวังว่าจะก้าวขาออกไปได้แม้แต่ก้าวเดียว ชเวอินซอบจึงเปลี่ยนชุดด้วยความกล้ำกลืนฝืนทนและออกมาที่นี่

ที่อเมริกาเขาคิดว่าเขาดูเด็กกว่าคนอื่นๆ เพราะตัวเองเป็นคนเอเชีย แต่พอกลับมาที่ประเทศเกาหลีและได้รู้ความจริงว่าคนอื่นๆ มองเขาเด็กกว่าอายุจริงไปมาก ชเวอินซอบก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่าตัวเองหน้าเด็ก ในวันที่เขาได้รู้เรื่องนั้น ชเวอินซอบก็เขียนข้อความที่บอกว่า ‘แม้จะโชคไม่ดี แต่ฉันก็เป็นคนหน้าเด็กกว่าวัย’ ลงในสมุดโน้ตของตัวเอง

เขาไม่พอใจกับรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเอง เขาไม่พอใจเลยสักอย่าง ทั้งหลังที่งอจนดูเหมือนคนไม่มีแรง ร่างกายที่ผอมแห้ง ตาโตๆ ที่ดูเหมือนเป็นคนขี้กลัว จมูกกลมๆ รอยกระ และผิวขาวๆ

“เฮ้อ…”

เขายืนถอนหายใจอยู่หน้ากระจก ชเวอินซอบใช้มือลูบเสื้อผ้าอย่างประดักประเดิด และดูเวลาในโทรศัพท์ด้วยความเคยชิน

“สายแล้ว!”

ชเวอินซอบก้าวเท้าออกไป การช้อปปิ้งที่ไม่คาดคิดทำให้เขาล่าช้าไปมาก และดูเหมือนเขาจะมาถึงพอดีเวลานัดอย่างฉิวเฉียด แต่เขาก็ไม่ได้วิ่งแม้จะวิ่งได้ เพียงแต่ก้าวขากว้างๆ เหมือนคนไม่รู้วิธีวิ่ง และแค่เดินเร็วๆ เท่านั้น

เขาเดินแบบนั้น หยุดพักหายใจ และเดินใหม่อีกครั้งสลับกันไปมา ในที่สุดเขาก็มาถึงทันเวลานัด แต่มันก็ช้ากว่าเวลาที่ตัวเองตั้งไว้ถึงสิบนาที

คนมากมายมารวมตัวกันเพื่อเดินชมรอบๆ เพราะข่าวลือที่ว่าอีอูยอนมาถ่ายละครที่นี่กระจายออกไปเรียบร้อยแล้ว

อีอูยอนที่กำลังอ่านบทอยู่ท่ามกลางเหล่าบอดี้การ์ดเดินมาทางด้านนี้เพื่อพูดคุยกับผู้กำกับ เมื่อเห็นดังนั้น พวกผู้หญิงที่อยากจะเห็นหน้าเขาใกล้ๆ สักครั้งก็เริ่มวิ่ง

“เอ่อ สักครู่ สักครู่นะครับ…”

เขาต้องแหวกทางเข้าไปถึงจะสามารถเดินไปหาอีอูยอนได้

“กรี๊ด! พี่อูยอน”

“พี่ค้า! รักนะค้า! พี่!”

“พี่คะ ช่วยมองมาทางนี้หน่อยค่า”

มันเป็นสถานการณ์ที่อลหม่าน พวกเธอทั้งผลักกัน เหยียบเท้า ถูกผลัก และส่งเสียงกรีดร้อง ผู้กำกับฉากกับพนักงานของสวนสนุกั้นผู้หญิงที่มารวมตัวกันไว้ และสร้างสิ่งกีดขวางขึ้นมาเพื่อดันพวกเธอออกไป ชเวอินซอบพูดกับคนที่เบียดเขาทีละคนด้วยน้ำเสียงสั่นเทาเล็กๆ ‘ผมเป็นผู้จัดการส่วนตัวครับ ช่วยหลบไปหน่อยนะครับ สักครู่นะครับ ผู้จัดการส่วนตัวครับ ผมเป็นผู้จัดการส่วนตัวครับ’ เขาร้องขอความเห็นใจพลางเดินฝ่าฝูงชนเข้าไป แต่ไม่มีใครใส่ใจฟังเสียงเด็กหนุ่มที่อ่อนแอเลย เขาหยุดเปิดเผยสถานะของตัวเองหลังจากที่ถูกไหล่กับข้อศอกของคนอื่นกระแทกไปสองสามครั้ง

แม้เขาจะอธิบายกับผู้กำกับฉากว่าเขาเป็นผู้จัดการส่วนตัว แต่พวกเขากลับไม่สบตาเขาเลย ชเวอินซอบที่ไม่ได้สวมสูท แต่สวมชุดลำลองอยู่นั้น ต่อให้พิจารณาดีๆ ก็ยังยากที่จะคิดว่าเขาอายุมากพอที่จะเป็นเฟรชชี่ พวกเขาไม่มีทางที่จะรับฟังและเชื่อคำพูดของเด็กหนุ่มที่บอกว่าตัวเองเป็นผู้จัดการส่วนตัวอย่างเอาเป็นเอาตายท่ามกลางหญิงสาวพวกนั้นหรอก

“ผะ ผมเป็นผู้จัดการส่วนตัวครับ ช่วย…ช่วยหลบไปหน่อยนะครับ ผมเป็นผู้จัดการส่วนตัวครับ ผะ…!”

รั้วกั้นล้มลง บรรดาแฟนคลับที่เอาแต่ใจแหวกช่องว่างของรั้วกั้นทะลักเข้าไปด้านใน ชเวอินซอบที่เสียการทรงตัวและล้มลงไปกับพื้นรู้ได้ทันทีเลยว่าความกลัวที่จะถูกเหยียบตายคืออะไร ในตอนที่เขาเอามือทั้งสองข้างกุมหัวเอาไว้และคู้ตัวลงเพื่อที่จะลดแรงกระแทกให้ได้มากที่สุดนั้น มือที่ยื่นออกมาจากฝูงชนก็คว้าข้อมือของเขาเอาไว้ และดึงเขาขึ้น เขาร้องเสียงแหลมและการมองเห็นของเขาก็ชัดเจนขึ้น ชเวอินซอบรู้สึกว่าตัวเองล้มทับใครบางคนอยู่ จึงตะโกนเสียงดังโดยไม่รู้ตัวด้วยความสับสน

“ขอโทษครับ ผมเป็นผู้จัดการส่วนตัวครับ…!”

“รู้แล้วครับ”

เขาได้ยินน้ำเสียงนุ่มนวลอยู่เหนือหัว แม้จะไม่ได้เงยหน้าขึ้นไป ชเวอินซอบก็รู้ดีว่าเจ้าของเสียงนี้เป็นใคร

“วันนี้มาสายไปหน่อยนะครับคุณผู้จัดการส่วนตัว”

“คะ…ครับ”

ชเวอินซอบรีบลุกขึ้น อีอูยอนปัดเสื้อผ้าพลางลุกขึ้นมายิ้ม

“ผมเกือบจำไม่ได้แหนะ เพราะวันนี้คุณไม่ได้ใส่สูทมา”

“ครับ มีคนบอกว่าผมต้องใส่ชุดแบบนี้มา เพราะมันเป็นการถ่ายทำนอกสถานที่…ถ้าคุณไม่ชอบ ผมจะไปเปลี่ยนมาครับ”

“ผมไม่สนใจหรอกครับ”

อีอูยอนหันไปมองดูพนักงานรักษาความปลอดภัยกับผู้กำกับฉากเตรียมสถานที่ถ่ายทำ ก่อนจะยื่นมือออกมาราวกับนึกขึ้นมาได้

“แล้วของที่ผมรบกวนล่ะครับ”

“ครับ นี่ครับ”

เขาหยิบกล่องเล็กๆ ที่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง มันคือสิ่งที่อีอูยอนไหว้วานให้ไปเอามาจากห้องทำงาน อีอูยอนเปิดกล่องดูพลางยิ้มน้อยๆ

“ขอบคุณครับ ถ้าไม่มีไอ้นี่ผมคงลำบากน่าดู”

“มันคืออะไรเหรอครับ”

มีก้อนกรวดสีชมพูเล็กๆ อยู่ในกล่อง ของสิ่งนี้อยู่ในของตู้เก็บของในห้องทำงาน อีอูยอนจึงรบกวนให้เขาเอามาให้กองถ่ายในวันนี้ด้วย แม้เขาจะเป็นฝ่ายเอามา แต่เขาไม่รู้ว่ามันเอาไว้ใช้ทำอะไร

“หินนำโชคของผมเองครับ”

“โชค…อ๋อ หินนำโชค”

ชเวอินซอบเอียงคอ

อีอูยอนเชื่อเรื่องโชคลางด้วยเหรอ เขาน่าจะเป็นพวกตรงข้ามเลยไม่ใช่เหรอ…คืนนี้เราคงจะต้องกลับบ้านไปแก้ข้อมูลซะแล้ว

“ตอนที่ผมถ่ายภาพยนตร์ครั้งแรก เป็นฉากที่ถ่ายริมทะเลน่ะครับ มันเป็นหินที่ผมเก็บได้ในตอนนั้น ผมแค่ใส่มันเข้ามาในกระเป๋ากางเกงโดยไม่ได้คิดอะไร แต่มันดันกลายเป็นตัวนำโชค”

“อย่างนั้นเองเหรอครับ เข้าใจแล้วครับ”

ชเวอินซอบพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง เขาเคยอ่านเจอในหนังสือว่าโชคลางค่อนข้างมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมตะวันออก

“ผมจะลูบมันเพื่อผ่อนคลายจิตใจก่อนเข้าฉากน่ะครับ ดูเหมือนคนบ้าเลยเนอะ”

“ไม่เลยครับ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”

หลังจากที่อีอูยอนวางนิ้วลงบนหินและลูบมันเบาๆ อยู่สองที เขาก็ปิดกล่องและส่งคืนให้กับชเวอินซอบ

“เก็บไว้กับตัว แล้วช่วยคืนให้ผมก่อนกลับด้วยนะครับ”

“ครับ เข้าใจแล้วครับ”

ชเวอินซอบเก็บกล่องใส่กระเป๋ากางเกงอย่างระมัดระวัง เขากำชับกับตัวเองว่าวันนี้เขาจะต้องเอามือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกงไว้ทั้งวัน เพราะถ้ามันหายต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่

“คนที่ไม่เกี่ยวข้องช่วยออกไปด้วยนะครับ เราจะต้องไปเข้าฉากกันแล้วครับ”

ผู้ชายสวมแว่นกันแดดและดูเหมือนจะเป็นผู้รับผิดชอบสถานที่ถ่ายทำเดินเข้ามาหาชเวอินซอบและทำมือให้เขาออกไป

“สวัสดีครับ ผมเป็นผู้จัดการส่วนตัวของคุณอีอูยอนครับ”

เมื่อชเวอินซอบค้อมตัวทักทาย ผู้ชายคนนั้นก็พูดว่าอย่างนั้นเหรอพร้อมกับทำหน้าแปลกใจ

“มองยังไงผมก็นึกว่าเป็นเด็กนักเรียนที่เข้ามาเล่นเครื่องเล่นซะอีก ไปรอตรงนั้นสิ”

“ครับ ขอบคุณครับ”

ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ชเวอินซอบกลับรอคำสั่งที่อีอูยอนจะสั่งอยู่ใกล้ๆ อีกฝ่ายแทน

“ไปดื่มกาแฟในที่อุ่นๆ สักแก้วแล้วค่อยมาก็ได้ครับ คุณเพิ่งมากองถ่ายละครครั้งแรกคงน่าเบื่อมากแน่ๆ”

“ไม่เป็นไรครับ”

เขาละสายตาจากอีอูยอนไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว นั่นเป็นสิ่งที่เขาสามารถทำได้ดีที่สุดในตอนนี้

“คุณจะเบื่อเอานะครับ คุณไม่สนใจเพราะเป็นแฟนคลับของผมเหรอครับ”

“…ครับ ถูกต้องแล้วครับ”

แม้การแกล้งทำตัวเป็นแฟนคลับของอีอูยอนต่อหน้าคนอื่นจะเป็นเรื่องยาก แต่การแกล้งทำตัวเป็นแฟนคลับต่อหน้าเจ้าตัวกลับเป็นเรื่องที่ยากกว่าอะไรทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำได้เพียงพยายามไม่ให้ถูกสงสัยอะไรเป็นพิเศษเท่านั้น

“เพราะเป็นแฟนคลับ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรผมก็ชอบดูครับ”

ชเวอินซอบพูดแบบนั้นพลางก้มหน้า เขาไม่มีความกล้าพอที่จะสบตาอีอูยอน

เสียงหัวเราะของอีอูยอนลอยอยู่ในอากาศเหนือศีรษะของเขาเล็กน้อยเกือบจะระดับเดียวกัน เสียงนั้นทำให้เขานึกถึงที่เจนนี่เคยพูดว่าเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายเหมือนเสียงฮาร์ปที่ได้ยินจากสวรรค์ เขารู้สึกเหมือนบริเวณดวงตาของเขาจะแดงขึ้นมา ชเวอินซอบจึงรีบกำมือและเงยหน้าขึ้น

“คุณอูยอน”

จางยอนซูซึ่งเป็นนางเอกของอีอูยอนในละครเรื่องนี้พาเด็กอายุราวๆ สี่ห้าขวบมาด้วยและเรียกชื่อเขา

“คนนี้คือใครเหรอ น้องที่รู้จักเหรอ”

“ผมเป็นผู้จัดการส่วนตัวครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”

ไม่ว่าจะไปที่ไหนชเวอินซอบก็มันจะก้มตัวทักทายอีกฝ่ายอย่างมีมารยาทเสมอ เขาไม่ได้มีท่าทางถือดีหรือทะนงตัวกับใครเลยว่าเขาเป็นผู้จัดการส่วนตัว

“เห็นแบบนี้แล้วฉันนึกว่าเป็นน้องชายซะอีก นายดูไม่เหมือนกับผู้จัดการส่วนตัวเลยนะ”

“เสื้อผ้ามัน…”

“เขาทำงานเก่งนะครับ”

อีอูยอนตอบแทนชเวอินซอบ

“เขาเป็นคนที่ทำงานเก่งและจริงใจที่สุดในบรรดาผู้จัดการส่วนตัวของผมเลยครับ”

ชเวอินซอบมองอีอูยอนด้วยสายตาตื่นตกใจ ชเวอินซอบรู้สึกไม่สบายใจ เพราะเขาไม่สามารถเชื่อในความจริงใจของผู้ชายที่ชื่นชมเขาด้วยน้ำเสียงสุขุมและนุ่มนวลได้ แม้เขาจะสวมเสื้อจัมเปอร์ที่อบอุ่น แต่ปลายนิ้วมือของเขาก็ยังเย็น

“เด็กน้อยคนสวยคนนี้เป็นใครเหรอครับ”

อีอูยอนชี้ไปทางเด็กที่หลบอยู่ด้านหลังของจางยอนซูและเอ่ยถาม

“นักแสดงเด็กที่จะเล่นด้วยกันในวันนี้น่ะค่ะ ทักทายซะสิจีฮา”

พอเด็กน้อยที่อายุประมาณห้าขวบเห็นอีอูยอน เธอก็ทำท่าจะร้องไห้และจับชายกระโปรงของจางยอนซูเอาไว้อีกครั้ง อีอูยอนนั่งคุกเข่าเพื่อสบตากับเด็กน้อย แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นกลับหันหน้าหนีไป

“ทำไมยัยหนูนี่ถึงเป็นแบบนี้ล่ะ เธอไม่ใช่คนกลัวคนแปลกหน้าซะหน่อย นายลองทักทายเธอดูสิ หนูจ๊ะ นี่เป็นคุณอาที่จะต้องแสดงด้วยกันคราวนี้นะ”

“หวัดดี หนูชื่อจีอาเหรอ”

คราวนี้เด็กหญิงระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาทันทีที่อีอูยอนพูดด้วย จางยอนซูพยายามจะอุ้มเธอขึ้นมาปลอบด้วยความตกใจ แต่เด็กน้อยกลับไม่หยุดร้องไห้ง่ายๆ แถมเธอยังนอนขืนตัวอยู่บนพื้นอีกต่างหาก ไม่ง่ายเลยที่จะอุ้มเธอขึ้นมา

“แม่เด็กไปไหนเหรอคะ”

เมื่อจางยอนซูถามหาแม่ของเด็ก สตาฟที่อยู่ข้างๆ ก็ลนลานและตอบว่าแม่ของเด็กไปเข้าห้องน้ำพร้อมกับหันไปมองรอบๆ

“ผมจะอุ้มเธอไว้เองครับ”

ชเวอินซอบอุ้มเด็กขึ้นมาแทนจางยอนซู เด็กน้อยร้องไห้พร้อมกับตีขาไปมา เป็นครั้งแรกที่ชเวอินซอบรู้สึกขอบคุณที่ตัวเองใส่เสื้อผ้าสบายๆ ไม่ใช่สูทมาในวันนี้ เขาลูบหลังเด็กและเริ่มเดินไปรอบๆ ผ่านไปไม่นานเด็กคนนั้นก็หยุดร้องไห้

“เคยเลี้ยงเด็กเหรอคะ ดูไม่เลวเลยนะ”

“ผมเคยช่วยดูพวกน้องๆ อยู่น่ะครับ”

ชเวอินซอบใช้ฝ่ามือตบหลังเด็กพร้อมเอ่ยตอบ พออีอูยอนเห็นภาพนั้น เขาก็เอียงคอด้วยความสงสัย

“น้องเหรอ คุณอินซอบมีน้องด้วยเหรอครับ”

ชเวอินซอบนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองซื้อชื่อของชเวอินซอบคนอื่นมา จึงรีบพูดต่อโดยเร็ว

“ลูกพี่ลูกน้องน่ะครับ”

“ดูเหมือนคุณจะชอบเด็กนะครับ”

“ครับ ชอบครับ อ้าว หลับไปซะแล้ว”

ดูเหมือนเธอจะงอแงเพราะความง่วงและบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย พวกนักแสดงเด็กนี่ก็ลำบากเหมือนกันนะ ชเวอินซอบคิดในขณะที่ตบหลังเด็กน้อยไปเรื่อยๆ

“เยี่ยมเลย ตอนถ่ายทำก็ช่วยดูเธอให้หน่อยนะคะ ดูจากแม่เด็กแล้ว ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยสนใจลูก แถมพวกโปรดิวเซอร์ก็ดูจะไหลไปเรื่อยและไม่ค่อยมีสติกันเท่าไรด้วย”

จางยอนซูวิจารณ์คนพวกนั้นอย่างรุนแรงโดยไม่ลังแล และยิ้มให้อินซอบ เมื่ออินซอบบอกว่าอย่างนั้นเองสินะครับและพยักหน้า อีอูยอนก็แทรกเข้ามาในวงสนทนาของคนทั้งคู่

“เขาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของผมนะครับ”

“คะ?”

“เขาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของผมนะครับ แต่เขากำลังดูแลคนอื่นอยู่”

“เฮ้อ คุณอูยอนนี่จริงๆ เล้ย”

จางยอนซูตีไหล่ของอีอูยอนอย่างไม่ลังเลพลางหัวเราะ ถึงแม้เธอจะไม่ได้เป็นนักแสดงระดับแนวหน้า แต่ก็เป็นที่เลื่องลือในวงการนักแสดงเรื่องความนิสัยดี ส่วนอีอูยอนแม้จะฉีกยิ้ม แต่อารมณ์ของเขาไม่ได้ดีขนาดนั้น

ชเวอินซอบอุ้มเด็กเอาไว้พลางลูบหลังไปด้วย เขาแอบมองอีอูยอนด้วยสายตาไม่สบายใจ ถ้าคนคนนั้นโกรธขึ้นมาตอนนี้ เขาก็ไม่สามารถเก็บหลักฐานอะไรได้ เพราะเขากำลังอุ้มเด็ก

“ตายจริง จีฮาของฉันหลับไปแล้วเหรอคะ”

แม่เด็กที่เพิ่งมาเอาตอนนี้เห็นว่าชเวอินซอบกำลังอุ้มลูกของเธอก็ถามด้วยความตกใจ

“ครับ ดูเหมือนว่าเธอจะเหนื่อยน่ะครับ”

“แปลกจัง เด็กคนนี้ไม่ใช่เด็กที่จะยอมให้ใครก็ได้กอดแล้วหลับไปเลยนะคะ”

“ดูเหมือนเธอจะเหนื่อยมากน่ะครับ”

ชเวอินซอบเห็นว่าดวงตาของแม่เด็กเป็นประกายขึ้นมาทันทีที่อีอูยอนพูดแบบนั้น

“ตายจริง อีกเดี๋ยวจะต้องเข้าฉากแล้วด้วย จะทำยังไงดีคะ ให้ปลุกแกไหม”

ขณะที่พูดแบบนั้น สายตาของแม่เด็กก็ยังจ้องอยู่ที่อีอูยอน ชเวอินซอบตบหลังเด็กที่ยังคงงอแงอยู่ไปเรื่อยๆ พลางส่ายหน้า

“ให้เธอนอนต่ออีกหน่อยก็ไ…”

แม่ของเด็กหันไปพูดสาธยายกับอีอูยอนว่า ‘ฉันคาดหวังกับผลงานครั้งนี้มาก ฉันเป็นแฟนคลับของคุณมาตั้งนานแล้ว พอเห็นตัวจริงของคุณแล้ว คุณหล่อมากกว่าในจอเสียอีก’ ก่อนที่ชเวอินซอบจะตอบเสร็จด้วยซ้ำ

จางยอนซูสบตากับชเวอินซอบและยักไหล่ราวกับจะบอกเขาว่า ‘ดูนั่นสิ’ ก่อนจะเดินจากไป ชเวอินซอบรู้สึกถึงบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนระหว่างอีอูยอนที่รู้สึกอึดอัดใจตรงไหนก็ไม่รู้กับแม่เด็ก

“ลูกของฉันแสดงละครเก่งมากจริงๆ ค่ะ การแสดงก็เลยเป็นความฝันของแก คุณอูยอนช่วยดูแกอยู่ข้างๆ สักครั้งนะคะ ว่าแกเก่งขนาดไหน”

“ครับ เข้าใจแล้วครับ”

ชเวอินซอบมองเด็กหญิงที่กำลังหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดของเขา เขารู้สึกใจไม่ดีขึ้นมาเมื่อคิดว่าเด็กอายุน้อยขนาดนี้จะต้องมาลำบากเพราะความฝันที่ยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้นกัน

“คุณอินซอบ”

อีอูยอนขยับมือมาทางเขา

“ครับ”

“ช่วยไปซื้อกาแฟให้ผมหน่อยครับ”

“ตอนนี้เหรอครับ”

“ครับ คอผมแห้งนิดหน่อยน่ะครับ อากาศหนาว”

“ขอโทษด้วยนะครับ ผมจะไปเตรียมให้เดี๋ยวนี้เลย”

เมื่อเห็นชเวอินซอบทำท่าลุกลี้ลุกลนทั้งยังอุ้มเด็กอยู่ อีอูยอนก็รับตัวเด็กมาส่งให้แม่ของเธออุ้ม

“ผมรบกวนขอเป็นลาเต้นะครับ”

“ครับ เข้าใจแล้วครับ”

ชเวอินซอบเดินไปถามที่ตั้งของร้านกาแฟกับสตาฟ พอเขาซื้อกาแฟเสร็จและถือมันกลับมา อีกฝ่ายก็เข้าฉากไปแล้ว เขากอดกาแฟเอาไว้เพื่อไม่ให้มันเย็น และรอจนกว่าผู้กำกับจะสั่งคัท

 

[1] ร้านมัลติแบรนด์ ร้านค้าที่มีเสื้อผ้ามากกว่าสองแบรนด์ขึ้นไปมาวางขายในร้านๆ เดียว

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท