“อีอูยอน ถ้านายอยากได้ผู้จัดการส่วนตัวที่จงรักภักดีล่ะก็ สั่งให้ภรรยาคนที่สองของนายแต่งงานกับผู้จัดการส่วนตัวซะนะ เพราะตอนที่หย่ากัน ผู้จัดการส่วนตัวจะจงรักภักดีกับนายไปชั่วชีวิตเลยล่ะ”
แม้แต่หัวหน้าทีมชาเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะไปกับความไร้ยางอายของกรรมการผู้จัดการคิมที่รู้วิธีเปลี่ยนความจริงอันน่าเจ็บปวดให้กลายเป็นเรื่องตลก อีอูยอนที่ดื่มเบียร์อยู่พลอยหัวเราะไปด้วยพร้อมตอบกลับ
“ผมไม่ชอบให้คนอื่นมายุ่งกับของของตัวเองหรอกครับ”
ทั้งสามคนไม่รู้สึกถึงความย้อนแย้งอย่างแปลกๆ ที่สัมผัสได้ในคำพูดของเจ้าตัวซึ่งเรียกผู้หญิงเป็นสิ่งของเลยสักนิด
“ว่าแต่มันไม่มีคำเรียกกรณีแบบนี้เหรอครับ”
ชเวอินซอบตะโกนตอบคำถามที่อีอูยอนโยนมาอย่างอัตโนมัติ
เขารู้จักคำนี้!
“ร่วมรู…ถูกไหมครับ”
“…”
“…อินซอบ”
ปากของคนสองคนที่อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นร่วมรูกันกระตุกในทันที อีอูยอนบอกว่ามันก็ไม่ใช่คำพูดที่ผิดอะไรด้วยสีหน้าแปลกๆ เหมือนกับกลั้นหัวเราะเอาไว้และสนับสนุนคำพูดของเขา
“แต่คุณต้องพูดว่าร่วมหมอน[1] นะครับ”
“…ขอโทษครับ”
ชเวอินซอบก้มหน้า
แม้เขาจะเรียนภาษาเกาหลีกับพ่อที่บ้านตั้งแต่เด็กและใช้ได้เหมือนเป็นภาษาแม่ แต่เขาก็ต้องเรียนคำสแลงที่คนสมัยนี้ใช้กันเพิ่ม มีบ้างเหมือนกันที่เขาไม่รู้ว่าคำที่ตัวเองใช้หมายความว่าอะไรกันแน่ เพราะก่อนที่จะมาเกาหลี เขาท่องจำพวกคำสแลงกับคำหยาบที่เห็นตามละครหรือกระทู้ในอินเทอร์เน็ตไปตามมีตามเกิด แล้วมันก็จะเกิดเหตุการณ์เหมือนกับตอนนี้
ชเวอินซอบรู้ว่าบรรยากาศในตอนนี้เป็นเพราะตนทำเรื่องผิดพลาดจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขอโทษก่อน กรรมการผู้จัดการคิมยิ้มพลางลูบหัวเขา
“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่นายไปเรียนคำพูดแปลกๆ พวกนั้นมาจากไหน”
“…จากอินเทอร์เน็ตครับ”
“อินเทอร์เน็ตนี่ทำให้เด็กเสียคนกันหมดเลย”
เขารู้สึกว่าตนเองเป็นเด็กที่ถูกอินเทอร์เน็ตทำให้เสียคนในทันที ชเวอินซอบลูบผักกาดหอมเงียบๆ และรอให้เนื้อสุก
ตอนนั้นเองเขาก็เห็นวัตถุสีขาวใกล้เข้ามาจากที่ไกลๆ
“อ้าว แฮปปี้”
พอกรรมการผู้จัดการคิมจำเจ้าสิ่งนั้นได้และเรียกชื่อมัน สุนัขที่มีขนสีขาวส่ายหางจนหางแทบจะหักพร้อมกับวิ่งมาหา
“อะไรเหรอครับ หมานั่นน่ะ”
“หมาของบ้านข้างๆ น่ะ มันคงจำฉันได้”
พอกรรมการผู้จัดการคิมเกาคางให้มันสองสามที สุนัขสีขาวตัวนั้นก็หรี่ตาและส่ายหางไปมาอย่างอารมณ์ดี เมื่อชเวอินซอบเห็นสุนัขตัวนั้น เขาก็คิดถึงเจ้าวิลที่ถูกทิ้งไว้ที่บ้าน เขานึกกังวลว่าเจ้าวิลที่ตอนนี้กลายเป็นสุนัขแก่ๆ ที่ขนหลุดร่วงและมองไม่ค่อยเห็นจะสบายดีไหม
แฮปปี้เข้ามาดมกลิ่นชเวอินซอบตรงปลายเท้าและส่ายหางไปมา แม้เขาจะรู้ว่ามันหมายความว่า ‘จงเอ็นดูฉันสิ เจ้ามนุษย์’ แต่อินซอบก็ไม่สามารถยื่นมือออกไปได้ในทันที
“ทำไมล่ะ ไม่ชอบเหรอ หรือว่ากลัว มันไม่กัดหรอก”
“เปล่าครับ”
ตรงกันข้ามเลยต่างหาก เขาชอบมันมากเสียจนอยากจะดึงมันเข้ามากอดและกลิ้งไปกลิ้งมาตรงสวนหน้าบ้านตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
“งั้นก็ลูบมันสักครั้งสิ หางมันจะหลุดแล้วนั่น”
อินซอบยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวัง ทันทีที่เขาทำแบบนั้น แฮปปี้ก็นั่งลงและยกขาหน้าของตัวเองขึ้น ทุกคนหัวเราะให้กับท่าทางที่ทั้งน่ารักทั้งน่าขำนั้น ชเวอินซอบเองก็จับขาหน้าของแฮปปี้ไว้และยิ้มกว้าง
“ต่อไปก็ยิ้มแบบนั้นหน่อยนะ”
“ครับ?”
“อินซอบ นายน่ะทำงานดีนะ แต่หัวหน้าทีมชาเขาเป็นห่วงนายมากเลย เพราะนายเอาแต่ทำหน้าเศร้าอยู่ตลอด”
“…ผมเป็นห่วงในความหมายอื่นครับ”
สายตาของหัวหน้าทีมชาเสมองไปทางอีอูยอนอยู่ครู่หนึ่ง
“ทำไมคนหนุ่มแบบนายถึงแสดงความรู้สึกไม่เป็นขนาดนั้นล่ะ ไม่เห็นจำเป็นต้องทำตัวแข็งกระด้างเลย พวกเราไม่ใช่คนไม่ดีนะ…ไม่สิ ก็ไม่ได้ดีไปหมดทุกคนหรอก”
กรรมการผู้จัดการคิมรีบแก้คำพูดของตน เพราะเขารู้สึกว่าการใส่อีอูยอนไว้ในหมวดหมู่ของคนดีเป็นเรื่องที่ผิด
“ขอบคุณที่ใส่ใจผมนะครับ”
“นั่นไง เป็นแบบนี้อีกแล้ว ยิ้มเหมือนที่ยิ้มให้หมานั่นเร็ว ต่อไปนี้ก็ด้วยนะ”
กรรมการผู้จัดการคิมว่าพลางห่อเนื้อด้วยตัวเองและยัดใส่ปากของชเวอินซอบ อินซอบน้ำตาจะไหลเพราะความใหญ่ของเนื้อห่อผักกาดหอมที่เข้ามาในปาก เขาเคี้ยวช้าๆ และตอบไปว่า ‘อร่อยมากครับ’ นั่นคือความรู้สึกที่เขาสามารถแสดงออกได้ในตอนนี้
ปีเตอร์เป็นเด็กผู้ชายที่เต็มไปด้วยความรู้สึก เขายิ้มเก่ง ร้องไห้เก่ง ขี้กลัว และช่างฝัน แม้เขาจะเป็นเด็กที่ถูกพ่อแม่ที่แท้จริงทิ้งเพราะเป็นโรคหัวใจตั้งแต่กำเนิด และถูกรับเลี้ยงตอนอายุหนึ่งขวบ แต่เขาก็สามารถเติบโตเป็นเด็กผู้ชายที่มีความรู้สึกหลากหลายเหมือนกับช่อดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิได้ภายใต้การดูแลของพ่อแม่ที่ยอดเยี่ยมกว่าใคร เขาร้องไห้ตอนเศร้า และหัวเราะเสียงดังตอนมีความสุข นั่นเป็นรูปแบบของชีวิตที่ต้องต่อสู้กับโรคร้ายของเขา
แต่นั่นไม่ใช่ชเวอินซอบที่อยู่ตรงนี้ เขาต้องกดความรู้สึกที่ตนรู้สึกไว้ให้มากที่สุด และทำตัวเป็นคนที่ต้องใช้ชีวิตและหายไปให้เหมือนกับเงา อันที่จริงเขาไม่ควรมาเที่ยวแบบนี้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ชเวอินซอบรู้สึกเหมือนตนกำลังทรยศต่อเจนนี่ทุกครั้งที่มีความสุขเล็กๆ หรือมีรอยยิ้ม และเขาก็จะรู้สึกละอายขึ้นมา
แฮปปี้ทำตัวออดอ้อนด้วยการเอาหัวมาถูไถที่ปลายเท้าของอินซอบ แม้เขาอยากจะดึงมันเข้ามากอดและเอ็นดูมันให้มากๆ แต่ก็ได้แต่หันหน้าหนีและจงใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ซอบ ช่วยพาแฮปปี้กลับไปส่งที่บ้านหน่อยสิ”
“ครับ?”
“เจ้าของเขาเป็นคนแก่ที่เดินไม่ค่อยสะดวกน่ะ ถ้าไม่เห็นเจ้านี่นานๆ ฉันกลัวว่าเขาจะมาตามหาถึงที่นี่น่ะสิ”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
ชเวอินซอบจับเชือกจูงของสุนัขตัวนั้นไว้ แฮปปี้นึกว่าตัวเองจะได้ไปเดินเล่นจึงดีใจ และเริ่มเดินนำหน้าเขาไป เมื่อเห็นก้นของสุนัขนั้นส่ายไปมา อินซอบก็นึกถึงทางเดินที่เขาเคยเดินเล่นกับวิล
ทันทีที่เดินพ้นกำแพงของบ้านพักตากอากาศและเลี้ยวตรงหัวมุม อินซอบก็นั่งลงราวกับทรุดตัว และดึงแฮปปี้เข้ามากอด ในตอนแรกเจ้าสุนัขตกใจดิ้นใหญ่ แต่สุดท้ายก็ส่ายหางและเลียหน้าเขา
“วิล…วิล…”
แม้จะรู้ว่ามันไม่ใช่วิล แต่อินซอบก็เรียกมันแบบนั้น เขาน้ำตาเอ่อเพราะความอบอุ่นเล็กๆ ในอ้อมอกของตน เขารู้สึกเหมือนมีน้ำเกลือร้อนๆ ซัดสาดเข้ามาในลำคอ
เขาคิดถึงวิล คิดถึงแม่ คิดถึงพ่อ คิดถึงน้องๆ คิดถึงป้าสเตซี่ คิดถึงคุณยาย และก็คิดถึงเจนนี่ด้วย ช่วงเวลาที่เขาต้องแกล้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่ กดความรู้สึกต่างๆ ไว้ และทำงานที่ไม่ชอบในที่ที่ไม่คุ้นเคยนั้นแสนจะลำบาก
เขาเจ็บปวดทุกครั้งที่สัมผัสได้ถึงความจริงใจของคนที่มอบคำชมให้เขา ถ้าทำได้เขาก็อยากเขียนคำว่าผมไม่ใช่คนที่สมควรได้รับคำชมแบบนั้นหรอกครับแปะไว้ที่อกเวลาไปไหนมาไหนเหมือนกัน
การต้องเฝ้ามองอีอูยอนอยู่ข้างๆ นั้นยากยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เขารู้สึกเหมือนมีใครบางคนใช้มีดตัดความรู้สึกที่เรียกว่าความละอายใจออกเป็นชิ้นๆ และเอามาใส่ไว้ในหัวใจของเขา เขาทั้งรู้สึกเจ็บปวดและรู้สึกผิด แต่เขาจะต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเจนนี่ เพราะเธอคือเพื่อนรักของเขา
“วิล…”
เมื่อชเวอินซอบร้องไห้สะอึกสะอื้น แฮปปี้ก็แลบลิ้นเลียหน้าพร้อมกับช่วยปลอบใจ ชเวอินซอบกอดมันแรงขึ้น
จู่ๆ สุนัขตัวนั้นก็เริ่มร้องคราง
“ขอโทษที…”
แม้อินซอบจะคลายแรงที่มือแล้ว แต่แฮปปี้ก็ยังทำหูลู่และวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังของเขา ตอนนั้นเองชเวอินซอบถึงได้รู้ว่ามีเงายาวๆ ทอดลงบนปลายเท้า
“ร้องไห้เหรอครับ”
“…!”
“ทำไมถึงมาร้องไห้ในที่แบบนี้ล่ะครับ แถมยังจับหมาเอาไว้ด้วย”
แม้อยากจะบอกออกไปว่าไม่ได้ร้อง แต่น้ำตาที่ยังไม่อาจเช็ดได้ก็ไหลลงมาเรื่อยๆ ชเวอินซอบรีบใช้ปลายแขนเสื้อเช็ดหน้า
“ร้องไห้ทำไมเหรอครับ”
อีอูยอนนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าและเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัย บนสีหน้านั้นไม่ได้บ่งบอกว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงหรือสงสารแม้แต่น้อย เจ้าตัวแค่สงสัยถึงเหตุผลที่ผู้จัดการส่วนตัวดึงสุนัขสกปรกๆ ตัวนั้นเข้ามากอดและร้องไห้เท่านั้น
“ผม…รู้สึกว่าร่างกายไม่ค่อยดีน่ะครับก็เลย…”
ชเวอินซอบกุเหตุผลที่เขาร้องไห้ขึ้นมาด้วยเรื่องโกหกที่ใกล้ความจริงที่สุด
แม้เขาจะคิดถึงบ้านและอยากจะทิ้งทุกอย่างเพื่อกลับไปแค่ไหน แต่เขาก็เก็บคำสัญญากับเพื่อนที่พูดออกมาทั้งน้ำตาด้วยความกลัวอย่างมากเอาไว้ในใจ
“โธ่”
อีอูยอนดึงชเวอินซอบให้ลุกขึ้นพร้อมกับพูดต่อ
“ยังไม่ดีขึ้นอีกเหรอครับ งั้นก็ควรจะกลับไปพักสิครับ ไม่ใช่มากอดหมาร้องไห้อยู่ตรงนี้”
“ขอโทษครับ”
“มีอะไรให้น่าขอโทษกันล่ะครับ ผมไม่ได้เจ็บซะหน่อย”
แม้จะเป็นบทสนทนาที่สวนทางกันแปลกๆ แต่นี่ก็ไม่ใช่สถานการณ์ที่น่าจะพูดอะไรเพิ่มเติมได้ อีอูยอนอุ้มแฮปปี้ที่ร้องหงิงๆ อยู่ด้านหลังชเวอินซอบขึ้นมาด้วยมือเดียว พออีอูยอนยิ้มและบอกว่า ‘หยุด’ แฮปปี้ที่ดิ้นในตอนแรกก็ผ่อนแรงลงทันทีเหมือนกับฟังคำพูดของเขาออก
“เดี๋ยวผมจะเอามันไปคืนเองครับ คุณกลับไปพักเถอะ”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผม…”
เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นสายตาของอีอูยอนที่มองลงมา ชเวอินซอบก็ต้องหุบปากฉับ ในดวงตาที่แกล้งมองอย่างอ่อนโยนนั้นมีความดุดันราวกับจะทิ่มแทงคู่สนทนาซ่อนอยู่ ชเวอินซอบรับรู้ได้ถึงความจริงที่ว่าอีกฝ่ายจับตาดูตนอยู่ ทันใดนั้นต้นคอของเขาก็เย็นวาบขึ้นมาทันที
เขาจับตาดูเราขนาดนั้นตั้งแต่ตอนไหน
“กลับไปพักเถอะครับ”
“เข้าใจแล้วครับ”
ชเวอินซอบได้แต่ทำตามที่อีกฝ่ายพูด เขามองด้านหลังของอีอูยอนที่อุ้มสุนัขด้วยมือเดียวและหายลับไปก่อนจะถอนหายใจออกมา จากนั้นก็มองพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่ลอยอยู่เหนือต้นไม้และภาวนาให้วันที่แสนยาวนานนี้จบลงไวๆ
***
“ขอโทษนะครับ มาถึงนี่แล้วแท้ๆ”
“ขอโทษอะไรกันล่ะ พวกเราสิที่ต้องขอโทษ ไม่รู้เลยว่านายจะไม่สบายขนาดนั้น เหมือนเราใช้ให้นายมาที่นี่เลย”
“ไม่เลยครับ ผมมาเพราะอยากมา แต่…ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
เพราะถูกอีอูยอนเห็นภาพที่เขากอดเจ้าแฮปปี้ร้องไห้ หลังจากนั้นชเวอินซอบก็เลยต้องแกล้งทำเป็นป่วยอยู่ตลอด และแน่นอนว่าเขาจะไม่เข้าร่วมการตกปลาที่จะมีขึ้นในคืนนี้ด้วย
“เอาเถอะ พักซะ ส่วนคืนนี้ถ้าพวกเราดวลกันเสร็จก็น่าจะกลับแล้วล่ะ”
“กรรมการผู้จัดการพร้อมที่จะเช็ดน้ำตากลับโซลแล้วใช่ไหมครับ”
“หัวหน้าทีมชาก็ขับรถไปด้วยร้องไห้ไปด้วยได้ใช่ไหม ฉันกังวลนะเนี่ย”
อีอูยอนมองคนทั้งคู่โต้เถียงกันอยู่หน้าประตูก่อนจะขยับมือไล่ให้พวกเขาให้ออกไปกันเสียที
“แล้วนายไม่ไปเหรออีอูยอน”
“มันหนาวนะครับ ถ้าผมเป็นหวัดขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ”
“นายไม่เป็นหวัดหรอกน่า”
“ใครจะไปรู้ล่ะครับว่าอนาคตจะเป็นยังไง ผมอาจจะป่วยจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อเลยก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นมันจะเป็นปัญหาให้คนอื่นนะครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมรู้ถึงความแข็งแรงที่เหมือนกับสัตว์ประหลาดของอีอูยอนดีจึงหัวเราะเจื่อนๆ พลางตอบไปว่า ‘ก็ได้’
“งั้นก็เดินทางปลอดภัยนะครับ ไม่ต้องห่วงทางนี้เลย”
กรรมการผู้จัดการคิมก้าวออกจากประตูพลางคิดว่าน่าจะเป็นเพราะอายุที่มากขึ้น พอได้ยินคำพูดแบบนั้น ความกังวลของเขาถึงเพิ่มขึ้นมาอีกเท่าตัว
ความเงียบที่น่าอึดอัดปกคลุมลงมาทันทีที่พวกเขาอยู่กันตามลำพังอีกครั้ง
“ฝันดีนะครับ”
อีอูยอนเป็นฝ่ายออกจากห้องไปก่อน ชเวอินซอบคิดว่าโล่งอกไปทีพร้อมกับนอนลงบนเตียง แต่เหมือนว่าเขาจะนอนไม่หลับ เขานอนเหม่อลอยอยู่บนเตียงและคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อย
[1] ร่วมหมอน ความสัมพันธ์แบบใช้หมอนใบเดียวกันหรือความสัมพันธ์ของที่ผู้หญิงสองคนมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนเดียว