ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 1 เล่ม 1 ตอนที่ 3-4

ภาค 1 เล่ม 1 ตอนที่ 3-4

“อีอูยอน ถ้านายอยากได้ผู้จัดการส่วนตัวที่จงรักภักดีล่ะก็ สั่งให้ภรรยาคนที่สองของนายแต่งงานกับผู้จัดการส่วนตัวซะนะ เพราะตอนที่หย่ากัน ผู้จัดการส่วนตัวจะจงรักภักดีกับนายไปชั่วชีวิตเลยล่ะ”

แม้แต่หัวหน้าทีมชาเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะไปกับความไร้ยางอายของกรรมการผู้จัดการคิมที่รู้วิธีเปลี่ยนความจริงอันน่าเจ็บปวดให้กลายเป็นเรื่องตลก อีอูยอนที่ดื่มเบียร์อยู่พลอยหัวเราะไปด้วยพร้อมตอบกลับ

“ผมไม่ชอบให้คนอื่นมายุ่งกับของของตัวเองหรอกครับ”

ทั้งสามคนไม่รู้สึกถึงความย้อนแย้งอย่างแปลกๆ ที่สัมผัสได้ในคำพูดของเจ้าตัวซึ่งเรียกผู้หญิงเป็นสิ่งของเลยสักนิด

“ว่าแต่มันไม่มีคำเรียกกรณีแบบนี้เหรอครับ”

ชเวอินซอบตะโกนตอบคำถามที่อีอูยอนโยนมาอย่างอัตโนมัติ

เขารู้จักคำนี้!

“ร่วมรู…ถูกไหมครับ”

“…”

“…อินซอบ”

ปากของคนสองคนที่อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นร่วมรูกันกระตุกในทันที อีอูยอนบอกว่ามันก็ไม่ใช่คำพูดที่ผิดอะไรด้วยสีหน้าแปลกๆ เหมือนกับกลั้นหัวเราะเอาไว้และสนับสนุนคำพูดของเขา

“แต่คุณต้องพูดว่าร่วมหมอน[1] นะครับ”

“…ขอโทษครับ”

ชเวอินซอบก้มหน้า

แม้เขาจะเรียนภาษาเกาหลีกับพ่อที่บ้านตั้งแต่เด็กและใช้ได้เหมือนเป็นภาษาแม่ แต่เขาก็ต้องเรียนคำสแลงที่คนสมัยนี้ใช้กันเพิ่ม มีบ้างเหมือนกันที่เขาไม่รู้ว่าคำที่ตัวเองใช้หมายความว่าอะไรกันแน่ เพราะก่อนที่จะมาเกาหลี เขาท่องจำพวกคำสแลงกับคำหยาบที่เห็นตามละครหรือกระทู้ในอินเทอร์เน็ตไปตามมีตามเกิด แล้วมันก็จะเกิดเหตุการณ์เหมือนกับตอนนี้

ชเวอินซอบรู้ว่าบรรยากาศในตอนนี้เป็นเพราะตนทำเรื่องผิดพลาดจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขอโทษก่อน กรรมการผู้จัดการคิมยิ้มพลางลูบหัวเขา

“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่นายไปเรียนคำพูดแปลกๆ พวกนั้นมาจากไหน”

“…จากอินเทอร์เน็ตครับ”

“อินเทอร์เน็ตนี่ทำให้เด็กเสียคนกันหมดเลย”

เขารู้สึกว่าตนเองเป็นเด็กที่ถูกอินเทอร์เน็ตทำให้เสียคนในทันที ชเวอินซอบลูบผักกาดหอมเงียบๆ และรอให้เนื้อสุก

ตอนนั้นเองเขาก็เห็นวัตถุสีขาวใกล้เข้ามาจากที่ไกลๆ

“อ้าว แฮปปี้”

พอกรรมการผู้จัดการคิมจำเจ้าสิ่งนั้นได้และเรียกชื่อมัน สุนัขที่มีขนสีขาวส่ายหางจนหางแทบจะหักพร้อมกับวิ่งมาหา

“อะไรเหรอครับ หมานั่นน่ะ”

“หมาของบ้านข้างๆ น่ะ มันคงจำฉันได้”

พอกรรมการผู้จัดการคิมเกาคางให้มันสองสามที สุนัขสีขาวตัวนั้นก็หรี่ตาและส่ายหางไปมาอย่างอารมณ์ดี เมื่อชเวอินซอบเห็นสุนัขตัวนั้น เขาก็คิดถึงเจ้าวิลที่ถูกทิ้งไว้ที่บ้าน เขานึกกังวลว่าเจ้าวิลที่ตอนนี้กลายเป็นสุนัขแก่ๆ ที่ขนหลุดร่วงและมองไม่ค่อยเห็นจะสบายดีไหม

แฮปปี้เข้ามาดมกลิ่นชเวอินซอบตรงปลายเท้าและส่ายหางไปมา แม้เขาจะรู้ว่ามันหมายความว่า ‘จงเอ็นดูฉันสิ เจ้ามนุษย์’ แต่อินซอบก็ไม่สามารถยื่นมือออกไปได้ในทันที

“ทำไมล่ะ ไม่ชอบเหรอ หรือว่ากลัว มันไม่กัดหรอก”

“เปล่าครับ”

ตรงกันข้ามเลยต่างหาก เขาชอบมันมากเสียจนอยากจะดึงมันเข้ามากอดและกลิ้งไปกลิ้งมาตรงสวนหน้าบ้านตอนนี้เลยด้วยซ้ำ

“งั้นก็ลูบมันสักครั้งสิ หางมันจะหลุดแล้วนั่น”

อินซอบยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวัง ทันทีที่เขาทำแบบนั้น แฮปปี้ก็นั่งลงและยกขาหน้าของตัวเองขึ้น ทุกคนหัวเราะให้กับท่าทางที่ทั้งน่ารักทั้งน่าขำนั้น ชเวอินซอบเองก็จับขาหน้าของแฮปปี้ไว้และยิ้มกว้าง

“ต่อไปก็ยิ้มแบบนั้นหน่อยนะ”

“ครับ?”

“อินซอบ นายน่ะทำงานดีนะ แต่หัวหน้าทีมชาเขาเป็นห่วงนายมากเลย เพราะนายเอาแต่ทำหน้าเศร้าอยู่ตลอด”

“…ผมเป็นห่วงในความหมายอื่นครับ”

สายตาของหัวหน้าทีมชาเสมองไปทางอีอูยอนอยู่ครู่หนึ่ง

“ทำไมคนหนุ่มแบบนายถึงแสดงความรู้สึกไม่เป็นขนาดนั้นล่ะ ไม่เห็นจำเป็นต้องทำตัวแข็งกระด้างเลย พวกเราไม่ใช่คนไม่ดีนะ…ไม่สิ ก็ไม่ได้ดีไปหมดทุกคนหรอก”

กรรมการผู้จัดการคิมรีบแก้คำพูดของตน เพราะเขารู้สึกว่าการใส่อีอูยอนไว้ในหมวดหมู่ของคนดีเป็นเรื่องที่ผิด

“ขอบคุณที่ใส่ใจผมนะครับ”

“นั่นไง เป็นแบบนี้อีกแล้ว ยิ้มเหมือนที่ยิ้มให้หมานั่นเร็ว ต่อไปนี้ก็ด้วยนะ”

กรรมการผู้จัดการคิมว่าพลางห่อเนื้อด้วยตัวเองและยัดใส่ปากของชเวอินซอบ อินซอบน้ำตาจะไหลเพราะความใหญ่ของเนื้อห่อผักกาดหอมที่เข้ามาในปาก เขาเคี้ยวช้าๆ และตอบไปว่า ‘อร่อยมากครับ’ นั่นคือความรู้สึกที่เขาสามารถแสดงออกได้ในตอนนี้

ปีเตอร์เป็นเด็กผู้ชายที่เต็มไปด้วยความรู้สึก เขายิ้มเก่ง ร้องไห้เก่ง ขี้กลัว และช่างฝัน แม้เขาจะเป็นเด็กที่ถูกพ่อแม่ที่แท้จริงทิ้งเพราะเป็นโรคหัวใจตั้งแต่กำเนิด และถูกรับเลี้ยงตอนอายุหนึ่งขวบ แต่เขาก็สามารถเติบโตเป็นเด็กผู้ชายที่มีความรู้สึกหลากหลายเหมือนกับช่อดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิได้ภายใต้การดูแลของพ่อแม่ที่ยอดเยี่ยมกว่าใคร เขาร้องไห้ตอนเศร้า และหัวเราะเสียงดังตอนมีความสุข นั่นเป็นรูปแบบของชีวิตที่ต้องต่อสู้กับโรคร้ายของเขา

แต่นั่นไม่ใช่ชเวอินซอบที่อยู่ตรงนี้ เขาต้องกดความรู้สึกที่ตนรู้สึกไว้ให้มากที่สุด และทำตัวเป็นคนที่ต้องใช้ชีวิตและหายไปให้เหมือนกับเงา อันที่จริงเขาไม่ควรมาเที่ยวแบบนี้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ชเวอินซอบรู้สึกเหมือนตนกำลังทรยศต่อเจนนี่ทุกครั้งที่มีความสุขเล็กๆ หรือมีรอยยิ้ม และเขาก็จะรู้สึกละอายขึ้นมา

แฮปปี้ทำตัวออดอ้อนด้วยการเอาหัวมาถูไถที่ปลายเท้าของอินซอบ แม้เขาอยากจะดึงมันเข้ามากอดและเอ็นดูมันให้มากๆ แต่ก็ได้แต่หันหน้าหนีและจงใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“ซอบ ช่วยพาแฮปปี้กลับไปส่งที่บ้านหน่อยสิ”

“ครับ?”

“เจ้าของเขาเป็นคนแก่ที่เดินไม่ค่อยสะดวกน่ะ ถ้าไม่เห็นเจ้านี่นานๆ ฉันกลัวว่าเขาจะมาตามหาถึงที่นี่น่ะสิ”

“ครับ เข้าใจแล้วครับ”

ชเวอินซอบจับเชือกจูงของสุนัขตัวนั้นไว้ แฮปปี้นึกว่าตัวเองจะได้ไปเดินเล่นจึงดีใจ และเริ่มเดินนำหน้าเขาไป เมื่อเห็นก้นของสุนัขนั้นส่ายไปมา อินซอบก็นึกถึงทางเดินที่เขาเคยเดินเล่นกับวิล

ทันทีที่เดินพ้นกำแพงของบ้านพักตากอากาศและเลี้ยวตรงหัวมุม อินซอบก็นั่งลงราวกับทรุดตัว และดึงแฮปปี้เข้ามากอด ในตอนแรกเจ้าสุนัขตกใจดิ้นใหญ่ แต่สุดท้ายก็ส่ายหางและเลียหน้าเขา

“วิล…วิล…”

แม้จะรู้ว่ามันไม่ใช่วิล แต่อินซอบก็เรียกมันแบบนั้น เขาน้ำตาเอ่อเพราะความอบอุ่นเล็กๆ ในอ้อมอกของตน เขารู้สึกเหมือนมีน้ำเกลือร้อนๆ ซัดสาดเข้ามาในลำคอ

เขาคิดถึงวิล คิดถึงแม่ คิดถึงพ่อ คิดถึงน้องๆ คิดถึงป้าสเตซี่ คิดถึงคุณยาย และก็คิดถึงเจนนี่ด้วย ช่วงเวลาที่เขาต้องแกล้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่ กดความรู้สึกต่างๆ ไว้ และทำงานที่ไม่ชอบในที่ที่ไม่คุ้นเคยนั้นแสนจะลำบาก

เขาเจ็บปวดทุกครั้งที่สัมผัสได้ถึงความจริงใจของคนที่มอบคำชมให้เขา ถ้าทำได้เขาก็อยากเขียนคำว่าผมไม่ใช่คนที่สมควรได้รับคำชมแบบนั้นหรอกครับแปะไว้ที่อกเวลาไปไหนมาไหนเหมือนกัน

การต้องเฝ้ามองอีอูยอนอยู่ข้างๆ นั้นยากยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เขารู้สึกเหมือนมีใครบางคนใช้มีดตัดความรู้สึกที่เรียกว่าความละอายใจออกเป็นชิ้นๆ และเอามาใส่ไว้ในหัวใจของเขา เขาทั้งรู้สึกเจ็บปวดและรู้สึกผิด แต่เขาจะต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเจนนี่ เพราะเธอคือเพื่อนรักของเขา

“วิล…”

เมื่อชเวอินซอบร้องไห้สะอึกสะอื้น แฮปปี้ก็แลบลิ้นเลียหน้าพร้อมกับช่วยปลอบใจ ชเวอินซอบกอดมันแรงขึ้น

จู่ๆ สุนัขตัวนั้นก็เริ่มร้องคราง

“ขอโทษที…”

แม้อินซอบจะคลายแรงที่มือแล้ว แต่แฮปปี้ก็ยังทำหูลู่และวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังของเขา ตอนนั้นเองชเวอินซอบถึงได้รู้ว่ามีเงายาวๆ ทอดลงบนปลายเท้า

“ร้องไห้เหรอครับ”

“…!”

“ทำไมถึงมาร้องไห้ในที่แบบนี้ล่ะครับ แถมยังจับหมาเอาไว้ด้วย”

แม้อยากจะบอกออกไปว่าไม่ได้ร้อง แต่น้ำตาที่ยังไม่อาจเช็ดได้ก็ไหลลงมาเรื่อยๆ ชเวอินซอบรีบใช้ปลายแขนเสื้อเช็ดหน้า

“ร้องไห้ทำไมเหรอครับ”

อีอูยอนนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าและเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัย บนสีหน้านั้นไม่ได้บ่งบอกว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงหรือสงสารแม้แต่น้อย เจ้าตัวแค่สงสัยถึงเหตุผลที่ผู้จัดการส่วนตัวดึงสุนัขสกปรกๆ ตัวนั้นเข้ามากอดและร้องไห้เท่านั้น

“ผม…รู้สึกว่าร่างกายไม่ค่อยดีน่ะครับก็เลย…”

ชเวอินซอบกุเหตุผลที่เขาร้องไห้ขึ้นมาด้วยเรื่องโกหกที่ใกล้ความจริงที่สุด

แม้เขาจะคิดถึงบ้านและอยากจะทิ้งทุกอย่างเพื่อกลับไปแค่ไหน แต่เขาก็เก็บคำสัญญากับเพื่อนที่พูดออกมาทั้งน้ำตาด้วยความกลัวอย่างมากเอาไว้ในใจ

“โธ่”

อีอูยอนดึงชเวอินซอบให้ลุกขึ้นพร้อมกับพูดต่อ

“ยังไม่ดีขึ้นอีกเหรอครับ งั้นก็ควรจะกลับไปพักสิครับ ไม่ใช่มากอดหมาร้องไห้อยู่ตรงนี้”

“ขอโทษครับ”

“มีอะไรให้น่าขอโทษกันล่ะครับ ผมไม่ได้เจ็บซะหน่อย”

แม้จะเป็นบทสนทนาที่สวนทางกันแปลกๆ แต่นี่ก็ไม่ใช่สถานการณ์ที่น่าจะพูดอะไรเพิ่มเติมได้ อีอูยอนอุ้มแฮปปี้ที่ร้องหงิงๆ อยู่ด้านหลังชเวอินซอบขึ้นมาด้วยมือเดียว พออีอูยอนยิ้มและบอกว่า ‘หยุด’ แฮปปี้ที่ดิ้นในตอนแรกก็ผ่อนแรงลงทันทีเหมือนกับฟังคำพูดของเขาออก

“เดี๋ยวผมจะเอามันไปคืนเองครับ คุณกลับไปพักเถอะ”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผม…”

เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นสายตาของอีอูยอนที่มองลงมา ชเวอินซอบก็ต้องหุบปากฉับ ในดวงตาที่แกล้งมองอย่างอ่อนโยนนั้นมีความดุดันราวกับจะทิ่มแทงคู่สนทนาซ่อนอยู่ ชเวอินซอบรับรู้ได้ถึงความจริงที่ว่าอีกฝ่ายจับตาดูตนอยู่ ทันใดนั้นต้นคอของเขาก็เย็นวาบขึ้นมาทันที

เขาจับตาดูเราขนาดนั้นตั้งแต่ตอนไหน

“กลับไปพักเถอะครับ”

“เข้าใจแล้วครับ”

ชเวอินซอบได้แต่ทำตามที่อีกฝ่ายพูด เขามองด้านหลังของอีอูยอนที่อุ้มสุนัขด้วยมือเดียวและหายลับไปก่อนจะถอนหายใจออกมา จากนั้นก็มองพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่ลอยอยู่เหนือต้นไม้และภาวนาให้วันที่แสนยาวนานนี้จบลงไวๆ

***

“ขอโทษนะครับ มาถึงนี่แล้วแท้ๆ”

“ขอโทษอะไรกันล่ะ พวกเราสิที่ต้องขอโทษ ไม่รู้เลยว่านายจะไม่สบายขนาดนั้น เหมือนเราใช้ให้นายมาที่นี่เลย”

“ไม่เลยครับ ผมมาเพราะอยากมา แต่…ต้องขอโทษด้วยนะครับ”

เพราะถูกอีอูยอนเห็นภาพที่เขากอดเจ้าแฮปปี้ร้องไห้ หลังจากนั้นชเวอินซอบก็เลยต้องแกล้งทำเป็นป่วยอยู่ตลอด และแน่นอนว่าเขาจะไม่เข้าร่วมการตกปลาที่จะมีขึ้นในคืนนี้ด้วย

“เอาเถอะ พักซะ ส่วนคืนนี้ถ้าพวกเราดวลกันเสร็จก็น่าจะกลับแล้วล่ะ”

“กรรมการผู้จัดการพร้อมที่จะเช็ดน้ำตากลับโซลแล้วใช่ไหมครับ”

“หัวหน้าทีมชาก็ขับรถไปด้วยร้องไห้ไปด้วยได้ใช่ไหม ฉันกังวลนะเนี่ย”

อีอูยอนมองคนทั้งคู่โต้เถียงกันอยู่หน้าประตูก่อนจะขยับมือไล่ให้พวกเขาให้ออกไปกันเสียที

“แล้วนายไม่ไปเหรออีอูยอน”

“มันหนาวนะครับ ถ้าผมเป็นหวัดขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ”

“นายไม่เป็นหวัดหรอกน่า”

“ใครจะไปรู้ล่ะครับว่าอนาคตจะเป็นยังไง ผมอาจจะป่วยจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อเลยก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นมันจะเป็นปัญหาให้คนอื่นนะครับ”

กรรมการผู้จัดการคิมรู้ถึงความแข็งแรงที่เหมือนกับสัตว์ประหลาดของอีอูยอนดีจึงหัวเราะเจื่อนๆ พลางตอบไปว่า ‘ก็ได้’

“งั้นก็เดินทางปลอดภัยนะครับ ไม่ต้องห่วงทางนี้เลย”

กรรมการผู้จัดการคิมก้าวออกจากประตูพลางคิดว่าน่าจะเป็นเพราะอายุที่มากขึ้น พอได้ยินคำพูดแบบนั้น ความกังวลของเขาถึงเพิ่มขึ้นมาอีกเท่าตัว

ความเงียบที่น่าอึดอัดปกคลุมลงมาทันทีที่พวกเขาอยู่กันตามลำพังอีกครั้ง

“ฝันดีนะครับ”

อีอูยอนเป็นฝ่ายออกจากห้องไปก่อน ชเวอินซอบคิดว่าโล่งอกไปทีพร้อมกับนอนลงบนเตียง แต่เหมือนว่าเขาจะนอนไม่หลับ เขานอนเหม่อลอยอยู่บนเตียงและคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อย


[1] ร่วมหมอน ความสัมพันธ์แบบใช้หมอนใบเดียวกันหรือความสัมพันธ์ของที่ผู้หญิงสองคนมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนเดียว

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท