ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 1 เล่ม 1 ตอนที่ 2-9

ภาค 1 เล่ม 1 ตอนที่ 2-9

“…เพราะอย่างนั้นก็เลยอยากมาเพื่อกลับตัวกลับใจเสียใหม่ก่อนจะเริ่มถ่ายละครเหรอ”

“ครับ”

“ฮ่าๆ…ฮ่าๆๆๆ”

กรรมการผู้จัดการคิมหัวเราะด้วยสีหน้าไร้สติ เขาหัวเราะจนกรามค้าง

ไม่ใช่แล้ว มันไม่ใช่เลย ถึงจะลองคิดให้แง่ดีมากๆ ยังไง มันก็ไม่ถูกต้องเลยสักนิด!

แม้แต่หัวหน้าทีมชาที่ถือคันเบ็ดออกมาก็ยังทำหน้าเครียดเมื่อเห็นอีอูยอนยืนอยู่หน้ารถ แม้เขาจะส่งสายตาหากรรมการผู้จัดการคิมอย่างรวดเร็ว แต่นี่เป็นสถานการณ์ที่เขาไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไปเลย

“พอเห็นหัวหน้าทีมชากับกรรมการผู้จัดการคิมแล้ว ผมถึงคิดขึ้นได้น่ะครับ ผมรู้สึกนับถือพวกคุณทั้งคู่ที่ทำงานด้วยกันมานานมากขนาดนั้นจริงๆ”

“…”

“…เหรอ”

“พอเห็นอย่างนั้นแล้ว ผมเลยอยากจะแลกเปลี่ยนความความรู้และประสบการณ์ด้วยน่ะครับ”

กรรมการผู้จัดการคิมอดทนที่จะไม่ตะโกนว่า ‘ไม่ว่าอยากจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์หรือทำตัวบ้าๆ ก็แค่ทำแต่พอดีก็พอ’ และพยายามยิ้มกว้าง

“โอเค เพราะอย่างนั้นถึงมาเหรอ ที่นี่เนี่ยนะ นายน่าจะเหนื่อยเพราะต้องเริ่มถ่ายละครตั้งแต่สัปดาห์หน้าไม่ใช่เหรอ”

กรรมการผู้จัดการคิมกัดฟันยิ้มพลางเอ่ยคำพูดที่มีความหมายลึกซึ้ง อีอูยอนได้ยินดังนั้นก็เถียงกลับอย่างไร้เดียงสา

“คุณก็รู้จักความแข็งแรงของร่างกายผมดีนี่ครับ ว่ามันเป็นยังไง”

หนึ่งในเหตุผลที่บรรดาผู้กำกับหรือโปรดิวเซอร์ชื่นชอบอีอูยอนก็คือความแข็งแรงของเขาที่ไม่รู้จักเหน็ดรู้จักเหนื่อย ปกติแล้วไม่ว่าร่างกายจะแข็งแรงแค่ไหน แต่ถ้าอดหลับอดนอนถึงสามวัน ความเหนื่อยก็ต้องแสดงออกมาทางสีหน้าอยู่แล้ว แต่อีอูยอนสดใสอยู่เสมอไม่เคยเปลี่ยน เขาสดใสถึงขนาดที่มีคำพูดซุบซิบว่า ‘นี่ไม่ใช่ว่าเขากินยาอะไรเข้าไปหรอกนะ’ เกิดขึ้นเลยทีเดียว อีอูยอนเพียงแค่ตอบคำตอบเดิมๆ ว่า ‘ผมออกกำลังกายครับ’ กับคนที่ถามว่าเคล็ดลับในการรักษาร่างกายให้แข็งแรงคืออะไร

“ก็ใช่…ร่างกายของนายยอดเยี่ยม”

“แล้วทำไมกรรมการผู้จัดการถึงอยากจะสนิทกับผู้จัดการส่วนตัวล่ะครับ”

“ไม่ใช่ว่าอยากจะสนิทหรอก…”

หัวหน้าทีมชาสะกิดสีข้างของกรรมการผู้จัดการคิมที่กำลังจะพูด นั่นก็เพราะชเวอินซอบกำลังยืนถือกระเป๋าอย่างใจลอยอยู่ข้างๆ

“…ฮ่าๆๆๆ ก็ต้องอยากสนิทด้วยอยู่แล้วสิ เหมือนฉันกับหัวหน้าทีมชาไง”

กรรมการผู้จัดการคิมวางมือบนไหล่ของหัวหน้าทีมชาในขณะที่พูด หัวหน้าทีมชายิ้มในขณะที่เอาแขนของกรรมการผู้จัดการคิมลง

“แล้วใครจะเป็นคนขับรถครับ”

อีอูยอนเอ่ยถาม ชเวอินซอบที่ถือกระเป๋าอยู่ยกมือขึ้นด้วยความตกใจพลางตะโกนออกมา

“ผมจะขับเองครับ!”

ทั้งสามคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะให้กับการตะโกนอย่างกะทันหันของเขา

“อินซอบนายถูกผีที่ตายเพราะไม่ได้พรีเซนต์งานหน้าห้องสิงเหรอ เอามือลงได้แล้ว”

“คุณอินซอบเนี่ยกระตือรือร้นที่จะพรีเซนต์งานพอสมควรเลยนะ”

ชเวอินซอบที่เอามือลงเรียบร้อยแล้วหน้าแดงขึ้น

“ผมขับเอง เอากุญแจมาครับ”

กรรมการผู้จัดการคิมดึงกุญแจออกมาโยนให้ทันทีที่หัวหน้าทีมชาขยับมือ

“ค่อยๆ ขับล่ะ คราวนี้ฉันเอารถคันใหม่มา”

“งั้นก็ขับรถของบริษัทไปสิครับ”

“รถตู้มันสะดุดตาจะตาย แค่จอดไว้เฉยๆ คนก็นึกว่ามีดารามาแล้ว ฉันไม่ชอบเลยเวลาที่พวกเขามาชะเง้อดู”

“ถ้าอยากจะไปสนุกอย่างเงียบๆ สบายๆ ก็สายไปแล้วล่ะครับ”

หัวหน้าทีมชาปรายตามองอีอูยอนพลางบ่นงึมงำ ถ้าหากไปกับอีอูยอนแล้วล่ะก็ การไปเที่ยวตกปลาอย่างเงียบๆ ก็ถูกทำลายลงไปแล้วล่ะ ไม่รู้ว่าพวกเราจะต้องไปตกปลาตอนกลางคืนในที่ที่ปราศจากผู้คน แล้วติดแหง็กอยู่ที่บ้านพักตากอากาศในตอนกลางวันหรือเปล่า

ทันทีที่หัวหน้าทีมชาขึ้นไปนั่งตรงที่นั่งคนขับ ชเวอินซอบก็ตามไปนั่งข้างคนขับรถอย่างเป็นธรรมชาติ ดูโอกาสแล้วเขาคิดว่าเขาคงจะได้รับช่วงขับต่อ กรรมการผู้จัดการคิมนั่งตรงที่นั่งที่ดีสุดในบริเวณเบาะหลังอย่างเป็นธรรมชาติมากๆ และอีอูยอนก็จับจองที่นั่งด้านข้างเขา

จนกระทั่งรถขับเลี่ยงออกจากตัวเมืองไปก็ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรเลย ในตอนที่ขึ้นทางด่วนและวิ่งมาได้ประมาณสิบกว่านาที กรรมการผู้จัดการคิมก็หันไปมองด้านหลังพลางเอ่ยพูด

“มีรถตามมาข้างหลังหรือเปล่า”

“มีสองคันครับ เป็นรถยนต์สีขาวคันหนึ่งกับรถแท็กซี่สีเทาครับ”

หัวหน้าทีมชาหมุนพวงมาลัยอย่างชำนาญในขณะที่เอ่ยตอบ

“…อย่างนั้นเหรอครับ”

แม้ชเวอินซอบจะหันกลับไปดู แต่เขาก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายพูดถึงรถคันไหน

“ไม่แฟนคลับก็นักข่าวแหละครับ”

อีอูยอนตอบเหมือนกับว่ามันไม่สำคัญ กรรมการผู้จัดการคิมหัวเราะหึพลางจับไหล่ของอีกฝ่ายไว้แน่น

“งั้นก็ทิ้งห่างพวกเขาออกไปหน่อยดีไหม”

“กรรมการผู้จัดการรู้ดีกว่าใครไม่ใช่เหรอครับว่าคนบ้าพวกนั้นเกาะแน่นขนาดไหน”

“ไม่ว่ายังไงพวกเราก็จะไปสนุกกันนะ อยากจะให้ไอ้คนบ้าพวกนั้นตามไปด้วยหรือไง”

พอหัวหน้าทีมชาเหลือบมองทางด้านหลัง เขาก็ถามว่า ‘จะให้สลัดทิ้งไหมครับ’

“สลัดทิ้งไปเลย”

เครื่องยนต์ส่งเสียงดัง บรื้น และถูกเร่งความเร็วขึ้นทันทีที่กรรมการผู้จัดการคิมอนุญาต ทันทีที่ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ชเวอินซอบที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็ส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกับจับราวจับเอาไว้

“ไม่ต้องห่วง หัวหน้าทีมชาเขาขับรถเก่ง”

แม้กรรมการผู้จัดการคิมจะพูดอย่างสบายๆ จากทางด้านหลัง แต่อินซอบก็ไม่สามารถปล่อยราวจับได้ง่ายๆ เพราะความเร็วที่สัมผัสได้จากที่นั่งด้านหน้านั้นเร็วมาก หัวหน้าทีมชาเปลี่ยนเลนพร้อมกับแซงหน้ารถคันหน้าไปเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆ เพิ่มความเร็ว

“อัก!”

ชเวอินซอบหน้าซีดและส่งเสียงร้องออกมาทันทีที่พวกเขาผ่านรถคันข้างหน้าไปได้อย่างฉิวเฉียด อีอูยอนที่กำลังอ่านอยู่ด้านหลังหัวเราะหึให้กับเสียงของอีกฝ่าย

“ไม่ต้องห่วง หัวหน้าทีมชาเขาขับรถมายี่สิบปีโดยไม่มีอุบัติเหตุ เขาเป็นผู้ชายที่มีใบอนุญาตขับรถแท็กซี่ส่วนบุคคลเชียวนะ”

ชเวอินซอบที่ไม่รู้สภาพจริงของเกาหลีไม่มีทางที่จะเข้าใจความนัยของคำพูดนั้นได้เลย เขาพยายามหันหน้าไปพูดกับหัวหน้าทีมชาในขณะที่ยังจับราวจับเอาไว้แน่น

“เยี่ยมไปเลยนะครับที่ได้ใบอนุญาตขับรถแท็กซี่ส่วนบุคคลทั้งๆ ที่ยุ่ง”

“ว่าไงนะ ทำไมฉันถึงต้องมีสิ่งนั้นด้วยล่ะ”

“ก็กรรมการผู้จัดการเขา…ไม่สิ ดูเหมือนผมจะเข้าใจผิดน่ะครับ…อ๊ะ!”

แล้วรถก็ขับผ่านไปทางด้านข้างอย่างฉิวเฉียดอีกครั้ง เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ชเวอินซอบหยิบยาที่อยู่ในกระเป๋าใส่ปากและเริ่มเคี้ยว

“ยาอะไรน่ะ นายกินยาแก้เมารถเหรอ”

มันคือยาโรคหัวใจที่มียาระงับประสาทอยู่ แต่เขากลับตอบไปมั่วๆ เพราะชเวอินซอบในเอกสารเป็นผู้ชายที่มีร่างกายแข็งแรง

“ยาแก้ปวดน่ะครับ”

“แล้วนายกินไอ้นั่นเข้าไปโดยไม่ดื่มน้ำเหรอ ไม่ขมหรือไง”

“ผมกินบ่อยจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้วครับ”

พูดมาถึงตรงนี้ชเวอินซอบก็รู้แล้วว่าตัวเองเผลอปากพูดอะไรออกไป ถ้าหากเป็นคนปกติ คงไม่เคี้ยวยาแก้ปวดจนกลายเป็นความเคยชินหรอก แต่กลับไม่มีใครสนใจคำพูดของอินซอบเลย อินซอบถอนหายใจเบาๆ เขาไม่อยากจะแสดงท่าทางที่หลุดออกไปจากภาพชเวอินซอบที่เป็นคนปกติและธรรมดาออกมาแม้แต่นิดเดียว

“นายอ่านไอ้นั่นรู้เรื่องในรถที่กำลังวิ่งด้วยเหรอ”

กรรมการผู้จัดการคิมมองอีอูยอนที่กำลังอ่านบทอยู่พลางเอ่ยถาม

“ทำไมล่ะครับ”

“ไม่เวียนหัวหรือไง ฉันยังรู้สึกคลื่นไส้เลย”

“ปกติกรรมการผู้จัดการก็คลื่นไส้ตอนอ่านหนังสืออยู่แล้วนี่ครับ”

หัวหน้าทีมชาหัวเราะคิกคักพลางเอ่ยล้อกรรมการผู้จัดการคิม

“ฉันเป็นแบบนั้นตอนไหน ฉันอ่านหนังสือเยอะจะตาย”

“หนังสือที่คุณอ่านเร็วๆ นี้ คุณก็อ่านแค่ชื่อหนังสือเองนี่ครับ”

“เหลวไหลน่า เก็บบทไปเลย”

กรรมการผู้จัดการคิมที่อ้าปากพะงาบๆ หาเรื่องอีอูยอนโดยไม่จำเป็น อีอูยอนตอบว่า ‘ผมจะอ่านเพิ่มอีกสักหน่อย’ และไม่ละสายตาไปจากบทเลย

“นี่นายอ่านจนบทมันขาดรุ่งริ่งแล้ว ยังจะอ่านอะไรเพิ่มอีกล่ะ”

ชเวอินซอบนึกขึ้นได้ว่าอีอูยอนเคยบอกในบทสัมภาษณ์ว่าเขาจะอ่านจนกว่าจะจำบทของคนอื่นได้ทั้งหมด เขารู้สึกแปลกๆ ไม่ง่ายนักที่จะได้เห็นภาพของอีอูยอนรักและพยายามกับอะไรบางอย่าง

“เพราะผมจะต้องจำให้ได้ทั้งหมดไงครับ”

“จำเป็นต้องจำบทของคนอื่นด้วยเหรอ”

อีอูยอนยิ้มจางๆ โดยไม่ตอบอะไร หัวหน้าทีมชาขับรถไปทางนั้นทีทางนี้ทีอย่างน่าหวาดเสียวก่อนจะหันไปมองทางด้านหลังพร้อมกับเอ่ยขึ้นมา

“สลัดได้แล้วครับ”

“สมกับเป็นหัวหน้าทีมชา แบบนี้เรียกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญได้เลยนะ เพราะมีประสบการณ์ในการสลัดเหล่าแฟนคลับของฉันทิ้งเยอะเลยล่ะ ฮ่าๆๆๆ”

“โอ๊ย กรรมการผู้จัดการไม่มีแฟนคลับสักหน่อย เขาแค่มาจับมือกับกรรมการผู้จัดการแล้วก็ไปเฉยๆ เองครับ”

“เอ๊ะ ไอ้เจ้านี่! พูดอะไรต่อหน้าพวกเด็กๆ น่ะ! ฮ่าๆๆๆ ฉันไม่เคยเป็นแบบนั้นหรอกน่า อีอูยอนนายก็อย่าไปเล่นกับพวกแฟนคลับนะ”

“ผมไม่ทำแบบนั้นอยู่แล้วครับ”

“อย่าทำแบบนั้นนะ…อะไรเนี่ย นายจะบอกว่าฉันทำแบบนั้นเหรอ ฉันก็ไม่ทำแบบนั้นเหมือนกัน! หัวหน้าทีมชาพูดอะไรหน่อยสิ!”

หัวหน้าทีมชาผิวปากในขณะที่หลีกเลี่ยงการตอบคำถาม ชเวอินซอบมองคนทั้งคู่ที่เป็นแบบนั้นแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ

“อินซอบหัวเราะอีกแล้วเหรอ”

เมื่อกรรมการผู้จัดการคิมเอนตัวมาข้างหน้าพลางเอ่ยถาม ชเวอินซอบก็ส่ายหน้าและรู้สึกประหม่า

“ทำไมไม่หัวเราะล่ะ ไม่รู้จักคำว่าถ้าหัวเราะแล้วโชคจะมาหาเหรอ”

“ใช่สำนวนที่ว่าถ้าครอบครัวมีความสุข ทุกอย่างก็จะราบรื่นหรือเปล่าครับ…หรือว่าไม่ใช่”

เสียงพึมพำของชเวอินซอบค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ เพราะเขาไม่มีความมั่นใจในเรื่องสำนวนเลยแม้แต่น้อย

“สำนวนว่าโชคจะมาสู่บ้านที่มีความสุขต่างหาก ฮ่าๆๆ จะว่าไปบางครั้งตอนที่ฉันคุยกับเด็กนี่ก็…”

กรรมการผู้จัดการคิมที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างมองอีอูยอนอยู่ครู่หนึ่งและปิดปากเงียบ เขาคิดออกแล้วว่าความรู้สึกขัดแย้งในใจที่เขามักจะรู้สึกเวลาคุยกับชเวอินซอบเป็นความรู้สึกที่เขาเคยสัมผัสได้จากใครมาก่อน

แม้ตอนนี้อีอูยอนที่เกิดและโตที่เมืองนอกจะดีขึ้นมากแล้ว แต่ช่วงที่เจอกันครั้งแรกเขาเหมือนกับชาวต่างชาติที่พูดภาษาเกาหลีได้อย่างคล่องแคล่วมากกว่า เขาไม่ได้มีปัญหาในเรื่องลักษณะการพูดหรือการออกเสียง แต่ก็มีเหตุการณ์ที่บทสนทนาขาดตอนด้วยความต่างทางทัศนคติด้านวัฒนธรรมเหมือนกัน

เหมือนกับตอนนี้เลย

“ผมทำอะไรผิดหรือเปล่าครับ”

ชเวอินซอบที่กำลังกำราวข้างประตูเอาไว้แน่นเอ่ยถามด้วยสีหน้าหวาดกลัว กรรมการผู้จัดการคิมตอบกลับไปว่า ‘เปล่า’ เขาคิดว่าเด็กคนนี้คงเป็นโรคระแวงแม้แต่คนที่ไม่มีอะไรเพราะไอ้เจ้าอีอูยอนนั่น และรู้สึกผิดกับชเวอินซอบขึ้นมา

“ว่าแต่ตอนนี้คุณลดความเร็วลงไม่ได้เหรอครับ”

ชเวอินซอบมองหน้าปัดความเร็วด้วยสายตาเป็นกังวล หัวหน้าทีมชาเอียงหน้าไปมาด้วยสีหน้าที่เหมือนจะถามว่า ‘ทำไมล่ะ’

“รถที่ไล่ตามถูกสลัดทิ้งไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ”

“ก็ถูกสลัดทิ้งไปแล้วน่ะสิ”

“แล้วจะขับไปด้วยความเร็วขนาดนี้เลยเหรอครับ”

“ผมก็เหยียบคันเร่งอย่างพอประมาณแล้วนะ ก็ที่นี่เป็นทางด่วนนี่ แต่พอได้ยินคุณอินซอบพูดแล้ว คุณน่าจะเป็นคนขับรถอย่างมีมารยาทมากแน่ๆ เลย”

“คนขับรถอย่างมีมารยาทเหรอครับ”

“อูยอนคงอกแตกตายแน่เลย ถ้าดูจากการที่คุณอินซอบขับรถไปไหนมาไหนแล้ว”

“แต่ประมาณนั้นมันก็โอเคดีแล้วนะครับ”

ถ้าจะให้เขาบอกข้อเสียของชเวอินซอบที่ปรับตัวเข้ากับงานได้อย่างสมบูรณ์จนเขาคิดว่าอีกฝ่ายเกิดมาเพื่อเป็นผู้จัดการส่วนตัวหรือเปล่าแล้วล่ะก็ คงจะเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายขับรถอย่างมีมารยาทมากๆ นี่แหละ

“มันก็ดีกว่าคนที่ขับรถอันตรายล่ะนะ”

“…ต่อไปผมจะขับรถให้เร็วขึ้นครับ”

ทันทีที่ชเวอินซอบเริ่มวิจารณ์ตนเองจากด้านหน้า อีอูยอนก็ปิดบทลงพร้อมกับบอกว่า ‘ไม่ต้องหรอกครับ’

“ผมไม่ชอบคนที่ขับรถไม่ปลอดภัยมากกว่าครับ ถึงจะอึดอัดใจไปหน่อย แต่ผมก็ชอบคนที่ขับรถอย่างปลอดภัยมากกว่า”

“ใช่แล้ว อย่างน้อยทำให้รู้สึกอึดอัดใจเสียยังจะดีกว่า พวกคนรู้มากที่บอกว่าตัวเองขับรถดีน่ะ แค่วันเดียวก็…”

กรรมการผู้จัดการคิมหุบปาก ชเวอินซอบถามว่า ‘ใครเหรอครับ’

“ก็คนที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุภายในวันเดียวน่ะสิ”

หัวหน้าทีมชาสรุปเหตุการณ์อย่างคร่าวๆ ให้ฟัง

เมื่อก่อนผู้ชายที่ชื่อคังแท็กกึนบอกว่าเขาอยู่ในทีมแข่งรถและวางท่าแปลกๆ มาขอดูแลเรื่องการขับรถ แต่เขาก็ทำกันชนของรถตู้ราคาเกือบร้อยล้านบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว และยื่นใบลาออกภายในวันเดียว สาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดในลานจอดรถก็คือเบรคเสียโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่กรรมการผู้จัดการคิมเดาว่าต้องมีการกระทำของอีอูยอนอยู่ในนั้นแน่นอน

“อินซอบไม่ต้องคิดมาก แค่ขับรถอย่างปลอดภัยไปก็พอแล้ว เรื่องนั้นมันนานมากแล้วล่ะ”

กรรมการผู้จัดการคิมเอ่ยคำตักเตือนที่มีความหมายลึกซึ้งพลางจ้องอีอูยอนเขม้ง อีอูยอนเริ่มอ่านบทอีกครั้งด้วยสีหน้า ‘ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร’

บทสนทนาที่ไม่สำคัญอะไรเกิดขึ้นภายในรถเป็นครั้งคราว หลังจากที่หัวหน้าทีมชาลดความเร็วลงมาที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้ว ชเวอินซอบถึงสามารถปล่อยมือออกจากราวจับได้

รถวิ่งแบบนั้นอยู่สักพักก็เข้ามาในจุดพักรถบนทางด่วนของทะเลตะวันออก

“ทำไมล่ะ ไปต่อเถอะ ไปต่ออีกประมาณหนึ่งชั่วโมงสี่สิบนาทีก็น่าจะถึงแล้ว”

“กระเพาะปัสสาวะผมจะแตกอยู่แล้วครับ คุณนี่ไม่มีความเอาใจใส่คนเลย ความเอาใจใส่น่ะ”

หัวหน้าทีมชาบ่นงึมงำพลางจอดรถในที่ที่เหมาะสม เมื่อชเวอินซอบทำท่าจะเปิดประตูรถออกไป หัวหน้าทีมชาก็จับมือของเขาเอาไว้

“เดี๋ยวก่อน ต้องเช็คระยะห่างให้ดีก่อนออกไป”

“ครับ?”

“เพราะคนที่อยู่ด้านหลังนั่นแหละ เราถึงออกไปตามอำเภอใจได้ยาก”

“อ๋อ อย่างนั้นเองเหรอครับ งั้นจะต้องทำยังไงล่ะครับ”

“ลองถามเขาดูสิว่าจะอยู่ในรถหรือเปล่า หรือว่าจะให้ซื้ออะไรมาให้ไหม”

อีอูยอนปิดบทและสวมแว่นกันแดด กรรมการผู้จัดการคิมมองคนสวมฮู้ดและหยิบเสื้อนอกออกมาใส่พลางถอนหายใจ

“โอ๊ย แบบนี้มันจะเป็นการไปเที่ยวอะไรกันล่ะ”

คนทั้งสามคนลงจากรถมาก่อน จากนั้นอีอูยอนถึงตามลงมา เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ผู้หญิงที่เจออีอูยอนก็มาล้อมพวกเขาไว้อย่างที่คิด

“พี่อูยอน!”

“พระเจ้า อีอูยอนจริงๆ ด้วย”

“อีอูยอน อีอูยอน!”

เขาได้ยินเสียงกดกล้องถ่ายรูปดังมาจากทางนั้นทีทางนี้ที ทั้งสามคนฝ่าฝูงชนที่มารุมพวกเขาเอาไว้ออกมา และสามารถหาที่นั่งในร้านอาหารได้อย่างยากลำบาก

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท