อีอูยอนนั่งอยู่กลางร้านอาหารด้วยสีหน้าที่บอกว่าเขาไม่สนใจเสียงรอบข้างเลย กรรมการผู้จัดการคิมสั่งอาหารเสร็จในระหว่างที่หัวหน้าทีมชาไปเข้าห้องน้ำและกลับมาพอดี
“กินอะไรง่ายๆ ไปก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อเถอะ เพราะยังไงตอนที่ไปถึงเราก็ต้องกินปลาดิบอีกอยู่ดี”
“หัวหน้าทีมชา ทางนี้”
หัวหน้าทีมชาเห็นทั้งสามคนในทันทีและเดินเข้ามาหา
“โชคดีนะครับที่คนไม่เยอะ ถ้ามีทัศนศึกษาจากที่ไหนมาล่ะก็ จบเห่แน่”
“ตอนนี้มันไม่ใช่ช่วงที่คนจะมาทัศนศึกษานี่นา จำเรื่องเมื่อก่อนได้ไหมล่ะ ตอนที่ไปถ่ายละครที่ต่างจังหวัดแล้วแวะพักตรงจุดพักรถ แต่ดันมีรถสำหรับไปทัศนศึกษาจอดอยู่สักสี่ยิบคันได้มั้ง ฮ่าๆๆๆ แล้วอีอูยอน นายเองก็โทรมาหาฉันนี่ เพราะตอนนั้นมันวุ่นวายจนไม่สามารถเอารถออกได้เลยล่ะ”
“ครับ ใช่เลยครับ”
ดูเหมือนเขาจะเล่าถึงความทรงจำที่แสนสนุก แต่เรื่องขำขันที่แฝงอยู่ในนั้นช่างป่าเถื่อน ตอนนั้นอีอูยอนออกไปถ่ายละครที่ต่างจังหวัดแล้วโทรมาบอกแค่ว่า ‘ผมติดอยู่ที่นี่เพราะไอ้ผู้จัดการส่วนตัวโง่ๆ นี่ ส่งหัวหน้าทีมชามาหาผมเลย’ และวางสายไปเท่านั้น พอหัวหน้าทีมชาถึงตำแหน่งที่อยู่และออกไปหาอย่างรีบร้อน เขาก็เห็นว่าอีอูยอนอยู่ในรถตู้ และผู้จัดการส่วนตัวเองก็ไม่สามารถเข้าไปใกล้ๆ กับรถตู้ได้และไม่รู้ว่าควรจะต้องอย่างไรดี ในขณะที่เริ่มมีเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมา พอเขาถามว่าแล้วทำไมจะต้องเลือกจอดรถในจุดพักรถที่มีรถบัสสำหรับไปทัศนศึกษาเป็นสิบคันจอดอยู่ด้วย อีกฝ่ายก็บอกว่าคราวนี้ตนเองต้องไปถ่ายภาพยนตร์อะไรสักเรื่องกับอีอูยอน และต้นเหตุของหายนะก็คือการที่เขาคุยโทรศัพท์เสียงดังมากๆ ในห้องน้ำ ในที่สุดอีอูยอนก็โดนนักเรียนหญิงที่ออกมาเพื่อตามหาเขาล้อมเอาไว้และติดอยู่ในรถตู้ พอโรงเรียนหนึ่งไป อีกโรงเรียนก็เข้ามา และรถของอีกโรงเรียนก็เข้ามาอีกเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด อีอูยอนติดแหง็กอยู่ในรถประมาณสามชั่วโมง ส่วนการถ่ายทำในวันนั้นก็พังไม่เป็นท่า ด้วยพฤติกรรมที่บ้าคลั่งของอีอูยอนและการกดดันของหัวหน้าทีมชากรรมการผู้จัดการคิมจึงได้ไล่ผู้จัดการส่วนตัวในตอนนั้นออก
“เคยมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นจริงๆ ด้วย”
กรรมการผู้จัดการคิมนึกถึงความทรงจำที่ขมขื่นและปิดปากเงียบ พออาหารถูกยกมาเสิร์ฟ การจู่โจมขอลายเซ็นก็ลดน้อยลงไปทันที เพราะพวกผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่แล้วมีสติพอที่จะรอให้เขาทานอาหารเสร็จ
“การกินอูด้งที่จุดพักรถเนี่ยอร่อยที่สุดอย่างที่คิดไว้เลยนะ ถึงจะไม่ใช่รสชาติแบบที่เคยกินตอนไปทัศนศึกษาก็เถอะ”
“ใช่ไหมล่ะครับ อูด้งที่กินตอนไปทัศนศึกษาน่ะอร่อยที่สุด”
หัวหน้าทีมชาก็ช่วยพูดเสริมอีกแรง อีอูยอนกับชเวอินซอบเพียงแค่ขยับตะเกียบโดยไม่พูดอะไรเท่านั้น
“จะว่าไปอินซอบเองก็จะมาจากโรงเรียนมัธยมปลายชินซอกใช่หรือเปล่า ใครนะ หัวหน้าทีมวางแผนก็จบมาจากที่นั่นด้วยไม่ใช่เหรอ”
“งั้นเหรอครับ ผมไม่เห็นรู้เลย”
“ใช่แล้ว โรงเรียนมัธยมปลายชินซอก พวกนายสองคนไม่รู้จักกันเหรอ”
“แล้วกรรมการผู้จัดการรู้จักทุกคนคนที่จบมาจากโรงเรียนเดียวกันเหรอครับ”
แม้จะโดนหัวหน้าทีมชาต่อว่า แต่กรรมการผู้จัดการกลับพูดอย่างหนักแน่น
“แน่นอน เด็กๆ ทุกคนที่เรียนโรงเรียนเดียวกันกับฉันรู้จักฉันกันหมดนั่นแหละ”
“นั่นก็เป็นเรื่องของกรรกมารผู้จัดการใช่ไหมล่ะครับ สมัยเรียนคุณอินซอบก็น่าจะเป็นเด็กดีและเรียบร้อยแบบนี้แหละ จะเอาตรงไหนไปเทียบกับคนที่ยุ่งวุ่นวายไม่เข้าเรื่องอย่างกรรมการผู้จัดการล่ะครับ”
ชเวอินซอบขยับตะเกียบโดยไม่พูดอะไร ชีวิตในโรงเรียนของเขาช่างน่าเศร้า ในโรงเรียนเขาได้ชื่อว่าเป็น ‘ไอ้ขี้แพ้’ เพราะร่างกายที่ถูกแปะป้ายไว้ว่าเป็นบุตรบุญธรรมชาวเอเชียนั้นอ่อนแอจนไม่สามารถเข้าเรียนได้ และยังไม่ได้เลื่อนชั้นถึงสองสามครั้ง เขาสงสัยเหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วในบรรดาคนที่ไปเรียนกับเขาจะมีสักคนหรือคนสองไหมที่จำเขาได้ พอไม่มีมีเจนนี่ที่จำเขาได้แล้ว ชเวอินซอบในสมัยนั้นก็ไม่มีตัวตนอยู่ในความทรงจำของใครเลย
“ตอนเรียนมัธยมปลายนายไปทัศนศึกษาที่ไหนเหรอ”
“ครับ?”
“ทัศนศึกษาน่ะ”
ดูเหมือนว่าหัวข้อในการสนทนาจะดำเนินมาถึงตรงนี้ในขณะที่เขากำลังเหม่อลอย ชเวอินซอบแกล้งทำเป็นคิดและขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนจะลุกขึ้น พอเขาลุกออกไปจากที่ กรรมการผู้จัดการคิมก็เหลือบตาขึ้นมองและเริ่มทุบอีอูยอน
“แล้วนายนี่ยังไง มาที่นี่ทำไมกัน”
“ผมก็มารับลมบ้างสิครับ”
“วางแผนอะไรไว้ในใจอีกล่ะ ไม่ใช่ว่าตามมาเพื่อแกล้งเด็กนั่นหรอกนะ”
กรรมการผู้จัดการคิมชี้ไปทางที่อินซอบหายไปพลางถามต่อ
“นายไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ฉันกลัวนะ”
อีอูยอนวางตะเกียบลงก่อนจะยิ้ม
“ถ้ากลัวขนาดนี้ กรรมการผู้จัดการได้หัวใจวายตายไปตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วล่ะครับ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะครับ อย่างกับมือสมัครเล่นแน่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมไม่สามารถหัวเราะให้กับคำพูดล้อเล่นที่มีความนัยนี้ได้เลย
“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว นายมาทำไมกันแน่”
“ผมมาเพราะสงสัยครับ”
“สงสัยเรื่องอะไร เรื่องปลาเหรอ มาเพราะสงสัยว่าเราจะจับปลาอะไรกันเหรอ”
“สงสัยว่าผู้จัดการส่วนตัวของผมเขาคิดอะไรอยู่ในหัวต่างหาก”
“ว่าไงนะ”
กรรมการผู้จัดการคิมมองหัวหน้าทีมชาเหมือนกับจะหาตัวช่วย หัวหน้าทีมชายักไหล่เบาๆ ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับอีอูยอนเหมือนกัน
“ตอนนี้คุณควรจะต้องสนใจคังยองโมมากกว่าเรื่องนั้นไม่ใช่เหรอครับ”
ทันทีที่หัวหน้าทีมชาเอ่ยถึงชื่อของนักแสดงชายที่ได้รับบทเป็นนักแสดงนำอีกคนในละครเรื่องเดียวกันกับอีอูยอน สีหน้าของกรรมการผู้จัดการคิมก็แย่ลง เขาได้รับรายงานว่ามีการเปลี่ยนแปลงนักแสดงเมื่อวานนี้ เพราะจู่ๆ นักแสดงที่จะได้รับเล่นบทนี้ก็ขาหัก
คังยองโมที่โด่งดังในเรื่องนิสัยแย่ๆ นั้นทนไม่ได้ถ้าหากสปอร์ตไลท์จะตกไปอยู่ที่นักแสดงคนอื่นที่ไม่ใช่ตนเอง เขาทำตามอำเภอใจถึงขนาดพาคนเขียนบทที่ปรับเปลี่ยนบทให้ตรงกับความต้องการของตนไปไหนมาไหนด้วย แค่ได้ยินชื่อของคังยองโม คนที่เคยทำงานด้วยแค่ครั้งเดียวก็ถึงกับส่ายหัว แต่ถึงอย่างนั้นเหตุผลที่เขาผ่านการแคสติ้งอยู่เรื่อยๆ มีเพียงข้อเดียว นั่นก็คือเขาเป็นนักแสดงที่ทำให้ เรตติ้งของละครสูงอยู่ประมาณหนึ่ง แม้จะแสดงแค่ฉากเดียวก็ตาม เพราะเขาแสดงเก่งอยู่แล้ว
“อ๋อ เปลี่ยนเป็นคนนั้นเหรอครับ”
“ถ้ารู้ว่าหมอนั่นจะมาแสดง ฉันจะไม่ให้นายเล่นเด็ดขาด”
“ผมจะทำให้ดีครับ ไม่ต้องห่วง”
“…ฉันจะไม่ห่วงได้ยังไงล่ะ”
เขาได้ยินข่าวลือว่าคังยองโมมักจะทะเลาะชกต่อยกับโปรดิวเซอร์ เพื่อนนักแสดง ตัวประกอบไปจนถึงพวกสตาฟอยู่บ่อยๆ เพราะนิสัยที่บ้าระห่ำของเขา คังยองโมเกลียดการที่ใครสักคนได้รับความสนใจมากกว่าตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นการที่อีอูยอนที่มีทั้งความสามารถและชื่อเสียงโด่งดังนั้น มีเงื่อนไขทุกอย่างที่เหมาะที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาอย่างแน่นอน
“นิสัยของหมอนั่นไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ มีข่าวบอกว่าตอนที่ถ่ายภาพยนตร์คราวที่แล้วเขาเอาเหล้าราดหัวคิมซอกฮยอน แล้วทั้งคู่ก็เลยต่อยกันนี่”
“มันไม่ใช่เรื่องจริงสักหน่อย มีคนออกมาแก้ข่าวแล้วนี่ครับว่าสองคนนั้นกอดคอกันอย่างสนิทสนมเลย”
“นายคิดว่าบริษัทผลิตภาพยนตร์จะปล่อยข่าวแบบนั้นเอาไว้ก่อนที่จะมีการเปิดตัวภาพยนตร์หรือไง เขาจ่ายเงินแล้วก็เลี้ยงเหล้าพวกนักข่าวต่างหาก”
“คิมซอกฮยอนน่ะถึงจะทะเลาะกันแต่ก็อดทนถ่ายหนังต่อไปได้ เพราะเขาเป็นเด็กดี แล้วตัวนายเองล่ะจะทำยังไง”
อีอูยอนยิ้มพราย
“ผมไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ”
ทันทีที่คนที่ผ่านไปผ่านมาทักทายอีอูยอน เขาก็ยิ้มละมุนพร้อมกับก้มหัวให้ จากนั้นเขาก็กระซิบเสียงต่ำทั้งที่ยังอยู่ในท่าเดิม
“ผมจะฆ่าเขาในที่ที่ไม่มีใครเห็น”
“…”
“…”
“ฮ่าๆๆๆ ล้อเล่นครับ ล้อเล่น”
แม้อีอูยอนจะโบกมือปฏิเสธอย่างร่าเริง แต่ทั้งคู่กลับรู้ดีว่าคำพูดเมื่อสักครู่นี้เป็นความจริงใจที่จะจบลงที่การล้อเล่น
“อะไรกัน ผมก็เป็นเด็กดีนะครับ”
“…”
“…”
แฟนๆ เรียกร้องยิ้มของอีอูยอนว่ารอยยิ้มนักฆ่าอยู่บ่อยๆ เพราะดวงตาที่โค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยวในยามที่ยิ้ม กรรมการผู้จัดการคิมกับหัวหน้าทีมชาเห็นด้วยกับชื่อเล่นนั้น เพราะถ้าอีอูยอนยิ้มแบบนั้น มันมักจะเกิดเรื่องที่ทำให้เขาอยากจะฆ่าคนเสมอ
“บอกผู้กำกับว่าขอถอนตัวไม่ได้เหรอครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมลุกพรวดทันทีที่หัวหน้าทีมชาแสดงความคิดเห็นออกมาเงียบๆ
“จะบ้าหรือไง ตอนนี้เขาปล่อยโฆษณาไปหมดแล้ว แถมยังจัดงานแถลงข่าวแล้วด้วย นายคิดว่าถ้าถอนตัวตอนนี้จะมีข่าวแบบไหนออกมากันล่ะ”
“มันก็ใช่แหละครับ แต่ถึงอย่างนั้น…”
สายตาเศร้าสร้อยของหัวหน้าชาจ้องมองไปที่อีอูยอนที่กำลังกินอูด้งด้วยสีหน้าอ่อนโยนที่สุดในโลก
“แต่ถึงอย่างนั้นก็ดีกว่าจะปล่อยให้เขากลายเป็นฆาตกรไม่ใช่เหรอครับ”
“งั้นเหรอ”
“ทำไมกรรมการผู้จัดการถึงเลี้ยงคนแบบนี้ไว้ล่ะครับ”
อีอูยอนกินอาหารเสร็จอย่างสบายอารมณ์ในระหว่างที่ความกังวลใจของสองคนที่เหลือสุกได้ที่
“ไปกันไหมครับ”
“เอาสิ ว่าแต่ทำไมอินซอบยังไม่มาอีกล่ะ”
“เขาอาจจะทำธุระอยู่มั้งครับ”
“งั้นผมจะไปรอที่รถนะครับ ยังไงซะอูด้งนั่นก็เหมือนจะกินไม่ได้แล้ว เพราะชืดหมดแล้ว แล้วผมก็จะไปห้องน้ำด้วยเหมือนกัน ขอกุญแจด้วยครับ”
หัวหน้าทีมชาหยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้เขา ทันทีที่อีอูยอนลุกขึ้น ผู้หญิงที่จับตามองเขาอยู่ตามมุมต่างๆ ก็เข้ามาล้อมเขาประมาณคนถึงสองคน หัวหน้าทีมชามองอีอูยอนที่ปฏิเสธพวกเธอด้วยรอยยิ้มอย่างพอประมาณและแหวกทางออกไปพลางถอนหายใจ
“เขามาทำไมครับ”
“ฉันไม่รู้”
“เขามีเรื่องอะไรกับผู้จัดการส่วนตัวหรือเปล่าครับ ไม่ใช่ว่าเขาตามมาฆ่าอินซอบหรอกนะ”
“ฉันบอกว่าฉันไม่รู้ยังไงล่ะ”
“กรรมการผู้จัดการต้องรู้สิครับ ถ้าคุณไม่รู้แล้วใครจะรู้ล่ะ”
“ถ้าฉันรู้ถึงจิตใจของอูยอนได้ฉันจะเป็นแบบนี้เหรอ ให้ตายสิ”
“ยกเลิกสัญญากับเขาไม่ได้เหรอครับ ถ้าเป็นอีอูยอนล่ะก็ จะต้องมีบริษัทที่ยินดีที่จะรับเขาไปแน่นอน”
หัวหน้าทีมชาเอ่ยคำพูดที่อยู่ในใจของเขาและเขาอยากจะพูดมันออกมาจริงๆ ออกมา กรรมการผู้จัดการคิมที่กำลังกินอูด้งอยู่ทำตาโตและทำสีหน้าเหมือนกับจะบอกว่านายพูดอะไรของนาย
“แค่เห็นเขาผมก็อึดอัดใจจนจะตายอยู่แล้วครับ ถึงผมจะไม่พูด แต่ผมก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ แค่คิดถึงตอนที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้เขาแล้วก็…”
“ไม่พูดอะไรล่ะ”
เป็นหัวหน้าทีมชาเองที่ปอกลอกกรรมการผู้จัดการคิมว่า ‘คิมฮักซึง นายรู้ไหมว่าตอนนั้นฉันลำบากขนาดไหน’ ในตอนที่ยังเมาอยู่ ด้วยเหตุนั้นตอนที่เขาดื่มเหล้ากับกรรมการผู้จัดการคิมเขาถึงไม่เคยจ่ายเงินเลยสักครั้ง ประโยชน์ของอีอูยอนก็มีเท่านั้นเอง
“คิดว่าฉันอยากรับเขาไว้หรือไง หลังจากนี้อีกสามเดือนเราจะเริ่มจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ ถ้าจู่ๆ ยกเลิกสัญญากับอีอูยอนไปจะมีอะไรดีล่ะ”
“งั้นมันก็ยิ่งน่าลำบากใจน่ะสิครับ ถ้าการจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์หยุดชะงักเพราะรับเด็กแบบนั้นเข้ามา แล้วจู่ๆ ก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นจะทำยังไงกันล่ะครับ ก็เท่ากับว่าตอนนี้กรรมการผู้จัดการกำลังเดิมพันชีวิตอยู่ไม่ใช่เหรอครับ”
“ก็เดิมพันอยู่น่ะสิ กำลังเดิมพันอยู่อย่างแน่นอนเลยล่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมลงแรงไปกับการจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ถึงขนาดต้องแอบไปโรงพยาบาลเพราะผมร่วงเป็นวงๆ จากความเครียดเลยทีเดียว
“เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องใส่ใจอีอูยอนมากขึ้นไง”
“ให้ผู้จัดการส่วนตัวด้อยประสบการณ์ตามประกบเขาเป็นการใส่ใจประสาอะไรกัน”
กรรมการผู้จัดการคิมวางตะเกียบลงบนโต๊ะกินข้าวจนเกิดเสียงดังทันทีที่หัวหน้าทีมขาบ่นคนเดียวเหมือนเป็นตาแก่
“งั้นฉันฝากเขาให้นายดูแลดีไหมล่ะ”
“ยังไม่เลิกฝันอีกเหรอครับ”
“…”
“จะให้ผมเรียกนักข่าวมาแล้วจัดงานแถลงข่าวสู้กันไหมครับ มันเป็นฝันที่ยิ่งใหญ่ของผมเลยล่ะ”
“พอแล้ว ฉันจะไม่ทำแบบนั้นแล้วกัน ขอโทษนะ”
หัวหน้าทีมชาพยักหน้ารับคำขอโทษทันทีที่กรรมการผู้จัดการคิมอย่างสุภาพ แม้ในระหว่างนั้นจะเกิดเรื่องขึ้นมากมาย แต่พวกเขาก็อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ เพราะนิสัยเห็นอกเห็นใจคนอื่นและเรียบง่ายของคนทั้งคู่ หัวหน้าทีมชาที่บ่นเหมือนคนแก่หรี่ตาและเอ่ยถามอีกครั้ง
“อีอูยอนกับคังยองโมน่ะ มันจะไม่น่ากังวลไปหน่อยเหรอครับ”
“เขาจัดการได้น่า เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์อยู่แล้วนี่”
ถึงเมื่อสักครู่นี้เขาจะพูดแบบนั้นต่อหน้าอีอูยอน แต่กรรมการผู้จัดการคิมก็เชื่อในการเสแสร้งแกล้งทำของอีอูยอน ถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็คือเขาอยากที่จะเชื่อ
“ครับ ถ้าดูจากการที่เขายังไม่ถูกเหยียบหางแล้ว ถึงจะเป็น ‘จิ้งจอก[1]’ ก็คงจะไม่ใช่ ‘จิ้งจอก’ ธรรมดาแน่นอนครับ คงเป็นโชคดีแล้วล่ะครับ ถ้าดูจากการที่เขาหลอกพวกเราวันนั้น…หรือจะเรียกว่าโชคร้ายดีนะ”
สีหน้าของคนสองคนที่นึกถึงความทรงจำนองเลือดนั้นเข้มขึ้น ผู้ชายสองคนที่รู้ว่าถ้าอยู่โดยไม่รู้อะไรเลยน่าจะเป็นเรื่องดีกว่ารินน้ำให้กันด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
แกร๊ง
พวกเขาชนแก้วสแตนเลสกันโดยไม่พูดอะไรก่อนจะให้กำลังใจกันและกัน
จากนั้นหัวหน้าทีมชาที่ดื่มน้ำล้างปากอยู่ก็เอ่ยคำถามที่เหมือนกับจังหวะซิทคอมขึ้นมาอีกครั้ง
“ว่าแต่เขามาทำไมกันครับ อีอูยอนน่ะ”
***
[1] จิ้งจอก คำเปรียบเทียบคนเจ้าเล่ห์หรือคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมเยอะ