“คุณอินซอบ นี่คุณอินซอบ…”
ยิ่งหัวหน้าทีมชาพยายามจะดึงอินซอบที่ส่งเสียงร้องด้วยความกลัวออกมาเท่าไร เขาก็ยิ่งเกร็งแขนที่กอดหัวหน้าทีมชาไว้มากขึ้นเท่านั้น
กรรมการผู้จัดการคิมเอาเค้กไปจุดเทียนอยู่ตรงมุมห้องและเดินกลับมาก่อนจะเริ่มร้องเพลงอวยพรวันเกิดโดยไม่อ่านสถานการณ์
“แฮปปี้เบิร์ทเดย์ทูยู แฮปปี้เบิร์ทเดย์ทูยู แฮปปี้เบิร์ทเดย์อินซอบบี้ แฮปปี้เบิร์ทเดย์ทูยู!”
ทุกคนปรบมือและรู้สึกสนุกสนาน อินซอบยังไม่ได้ประเมินสถานการณ์ จึงไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้ หัวใจเขาเต้นตึกๆ จนทำให้เขาตาลาย
“อินซอบทำอะไรอยู่ เค้กมันหนักนะ”
ทันทีที่กรรมการผู้จัดการคิมเรียกชื่อเขา หัวหน้าทีมชาก็ดึงแขนของอีกฝ่ายออกจากตัว
“คุณอินซอบ ตกใจอะไรขนาดนั้นล่ะครับ”
“เอ่อ…”
“วันนี้วันเกิดนี่นา ตอนมาคุณก็ควรจะคิดแล้วสิว่าจะต้องมีปาร์ตี้วันเกิดวัน”
คำพูดเจือการหยอกเล่นของหัวหน้าทีมชาทำให้อินซอบเพิ่งได้รู้ว่าวันนี้ตรงกับวันเกิดของเจ้าของชื่อชเวอินซอบที่ตนยืมมา และเขาก็ได้รู้ความจริงว่าสาเหตุที่หัวหน้าทีมชาสมัครใจเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนในวันนี้โดยไม่พูดอะไรเลยก็เพราะเป็นวันเกิดของชเวอินซอบ
“อธิษฐานสิ”
กรรมการผู้จัดการคิมยื่นเค้กมาตรงหน้า คนที่เหลือในห้องทำงานปรบมือพร้อมกับตะโกนชื่อของอินซอบเพื่อบอกให้เขารีบเป่าเทียน
“สุขสันต์วันเกิดนะคะคุณอินซอบ”
“สุขสันต์วันเกิดครับ”
“ยินดีสำหรับการออกจากโรงพยาบาลด้วยนะ ต่อไปก็ขอให้ตั้งใจทำงาน แล้วก็รีบเป่าเทียนเร็วเข้า”
“อธิษฐานเร็วค่ะ!”
ชเวอินซอบรู้สึกว่าน้ำตาจะไหล เพราะเขาไม่ใช่คนที่ควรจะได้รับการปฏิบัติแบบนี้ แต่เขาก็ดีใจกับความใจดีของทุกคน
อินซอบกลัวว่าใครจะเห็นว่าตาของเขาแดงจึงรีบเป่าเทียน จากนั้นใครบางคนก็พูดว่า ‘ขอโทษนะครับ’ ก่อนจะเปิดไฟในห้องทำงาน
“หืม? เป็นอะไร ตื้นตันใจเหรอ เริ่มจะรู้สึกซึ้งใจจนคิดว่าต้องทำงานที่นี่ไปตลอดชีวิตแล้วใช่ไหมล่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมพูดติดตลกพร้อมกับเอ่ยตอบ ชเวอินซอบพยายามทำเป็นไม่รู้สึกอะไร และพูดคำที่ตรงข้ามกับความรู้สึกของตนออกมา
“เรื่องแบบนี้ทำให้ผมลำบากใจครับ”
“ว่าไงนะ”
“ผมไม่ชอบเรื่องแบบนี้ครับ เพราะฉะนั้นต่อไปผมหวังว่าพวกคุณจะไม่จัดงานแบบนี้…ให้อีกนะครับ”
แม้เขาจะรู้ดีอยู่แล้วว่าโอกาสที่คนในบริษัทจะได้จัดงานวันเกิดให้ตนจะไม่มาถึงอีกครั้ง แต่เขาก็จงใจพูดคำพูดที่ใจร้ายออกไป
บรรยากาศที่เงียบขึ้นมากะทันหันทำให้ทุกคนลืมคำที่จะพูด อินซอบพูดว่า ‘งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ’ และออกจากห้องทำงานไป
เขารู้สึกว่าน้ำตาที่กลั้นไว้กำลังไหลลงมาในตอนที่รอลิฟต์ เขาได้ยินเสียงหัวหน้าทีมชาเรียกชื่อตัวเองจากทางด้านหลัง อินซอบตัดสินใจไม่รอลิฟต์และวิ่งไปทางบันไดหนีไฟ
เขาเริ่มขึ้นบันไดหนีไฟไปในทางตรงข้าม เพราะคิดว่าคงจะถูกจับได้หากหัวหน้าทีมชาตามมา ตอนที่เขาเดินผ่านชั้นสิบและมาถึงดาดฟ้า เขาก็เปิดประตูและเริ่มร้องไห้
“ฮึก…”
ตอนนี้เขาอยากลงไปที่ห้องทำงานและจับมือทุกคนเพื่อขอบคุณ เขาอยากบอกว่า ขอบคุณที่ทำดีกับผม ถ้าคุณทำดีกับผมในอนาคตด้วย ผมจะยิ่งขอบคุณมากกว่านี้ เรามาสนิทกันเถอะ ถ้าจะช่วยไปดูหนังกับผมในวันที่ไม่มีงาน ผมจะยินดีมาก ผมจะรู้สึกขอบคุณมากถ้าผมโทรไปคุยอะไรก็ได้ด้วยได้ในตอนที่เหงา เรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ
เขาอยากพูดคำที่อยู่ในใจออกมาและรักษาความสัมพันธ์ที่อบอุ่นนั้นไว้ แต่สิ่งเหล่านั้นสำหรับเขาในตอนนี้เป็นเพียงเรื่องที่เกินตัวไปมากเท่านั้น
เพราะเขามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อหักหลังอีอูยอนคนเดียวเท่านั้น แต่เขายังหักหลังทุกคนที่ทำงานกับเขาด้วย
เขาจะมาทำตัวเป็นเด็กไม่ได้ เขาจะต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่ แต่การรักษาเส้นแบ่งเหล่านั้นยากเกินไป ชเวอินซอบใช้มือทั้งสองข้างปิดหน้าและร้องไห้เสียงดัง
“ฮึก….ฮือ อ๊ะ!”
ขณะที่กำลังเช็ดน้ำตาเขาก็ตกใจขวัญหนีดีฟ่อจนล้มลงไปด้านหลัง ผู้ชายที่กำลังพิงราวกั้นของดาดฟ้าและสูบบุหรี่อยู่ส่งสายตามาทางเขาด้วยความสนใจ
“…”
อินซอบกัดริมฝีปากด้วยความรู้สึกผิดพลาดที่เอ่อล้นไปทั่วตัว แต่น้ำตาของเขาก็ยังไม่หยุดไหล อีอูยอนดับบุหรี่ก่อนจะเดินมาทางอินซอบที่ล้มลงกับพื้น อินซอบตกใจกับท่าทางของอีอูยอนซึ่งฉีกยิ้มพลางเดินล้วงกระเป๋าเข้ามาหา เขาถอยหนีไปด้านหลังทั้งที่ยังกองอยู่กับพื้น
“เอ่อ…ทำไม…บ้าน”
“จะถามว่าทำไมยังไม่กลับบ้านเหรอครับ”
อินซอบพยักหน้าแทนคำตอบ น้ำตาที่ยังไหลอยู่ทำให้ปกเสื้อของเขาเปียก เขาควรหยุดร้องไห้ แต่เขากลับตกใจจนไม่สามารถหยุดได้
“ผมแวะมาเพราะหัวหน้าทีมชาบอกว่ามีธุระที่นี่แป๊บหนึ่งน่ะครับ เขาบอกว่าแค่สิบนาทีก็พอ”
อินซอบเองก็รู้ว่าจริงๆ แล้วอีอูยอนไม่ชอบขับรถเองเป็นอย่างมาก ถึงเขาจะไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด แต่ด้วยนิสัยแบบนั้น อินซอบถึงตกใจและร้อนรนมากที่อีกฝ่ายไปส่งตนจนถึงบ้านวันนี้
“ผมมาสูบบุหรี่ตรงนี้เป็นบางครั้ง เพราะด้านล่างมีคนมองน่ะครับ”
“…ครับ”
เขาเพียงแต่นึกแค้นใจตัวเองที่มองข้ามความจริงที่ว่าบริษัทอยู่ระหว่างทางไปบ้านของอีอูยอน อินซอบรู้สึกอายเหมือนจะตายที่ถูกอีอูยอนไม่ใช่ใครอื่นจับได้ว่าเขามีด้านที่ดูไม่เป็นผู้ใหญ่
“ร้องไห้ทำไมครับ”
อีอูยอนนั่งยองๆ ลงตรงหน้าอินซอบ และเอ่ยถามพร้อมกับยื่นหน้ามาใกล้
“…”
“ทำไมถึงร้องไห้ขนาดนั้นล่ะครับ”
“…ขอโทษครับ”
เขาคิดคำพูดอื่นไม่ออกแล้วนอกจากคำว่าขอโทษ
“ขอโทษอะไรกันล่ะครับ ผมแค่สงสัยเฉยๆ ว่าทำไมคุณถึงร้องไห้”
นี่เป็นการแสดงออกถึงความอยากรู้อยากเห็นล้วนๆ ไม่ได้มีความเป็นห่วงหรือสงสารอีกฝ่ายอยู่เลยแม้แต่น้อย ตอนที่ผู้จัดการส่วนตัวที่มักจะเงียบและจริงใจอยู่ตลอดร้องไห้เหมือนเด็กและวิ่งขึ้นมาบนดาดฟ้า เครื่องหมายคำถามอีกหนึ่งอันก็โผล่มาในหัวของเขา ทำไมหมอนั่นถึงเป็นแบบนั้น
อีอูยอนเอียงคอด้วยความสงสัยและถามอีกครั้ง
“ทำไมถึงร้องไห้ขนาดนั้นล่ะครับ”
เขาเก็บคำว่าเหมือนคนโง่ไว้ในใจ
ชเวอินซอบเค้นสมองอย่างสุดชีวิตเพื่อคิดเหตุผลที่เหมาะสม จะต้องบอกว่าอะไรดีนะ จะต้องบอกว่าอะไรถึงจะสามารถรักษาภาพลักษณ์ของผู้จัดการส่วนตัวที่สุขุมและเป็นผู้ใหญ่ได้ล่ะ
ระหว่างที่กำลังคร่ำครวญพร้อมกับครุ่นคิดไปด้วยนั้น อินซอบก็นึกถึงปาร์ตี้เซอร์ไพรส์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่
“ผมร้องไห้เพราะ…ซึ้งครับ”
“ครับ?”
“ผมร้องไห้เพราะซาบซึ้งมากๆ ที่ทุกคนจัดปาร์ตี้วันเกิดให้ผมครับ”
มันก็ไม่ใช่คำพูดที่ผิดทั้งหมด ถ้าจะให้แยกส่วนประกอบของน้ำตาแล้วล่ะก็ ยี่สิบเปอร์เซ็นต์คือความซาบซึ้ง เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์คือการโทษตัวเองของจิตใต้สำนึก และสิบเปอร์เซ็นต์คือความสิ้นหวังกับสภาพตอนนี้
“วันนี้เป็นวันเกิดเหรอครับ”
“ครับ”
“ทำไมถึงไม่บอกล่ะครับ”
เขาไม่สามารถพูดออกไปได้ว่าตนจำวันเกิดในเอกสารไม่ได้จนกระทั่งกรรมการผู้จัดการคิมดันเค้กมาให้ และบอกว่าสุขสันต์วันเกิด อินซอบพูดเสียงแผ่วว่า ‘แค่ไม่ได้บอกเฉยๆ ครับ’
“ซาบซึ้งกับการที่คนจัดปาร์ตี้ให้ขนาดนั้นเลยเหรอครับ ถึงขนาดที่ต้องขึ้นมาร้องไห้คนเดียวที่นี่เลยเหรอ”
แต่เห็นผู้ชายที่โตแล้วร้องไห้ขนาดนี้ ตามมารยาทก็ควรจะแกล้งทำเป็นไม่เห็นและมองข้ามไปไม่ใช่หรือไง
อีอูยอนเอาแต่ถามซ้ำๆ ราวกับจะยืนยันความจริงเรื่องที่ตนร้องไห้เหมือนเด็ก และอินซอบก็ไม่อาจรู้ถึงความคิดภายในใจของฝ่ายนั้นได้เลย
“ครับ ผมซาบซึ้งมากครับ”
แต่ตอนนี้เขาทำได้แค่หมอบและตอบกลับไปแบบนี้เท่านั้น
“ซาบซึ้งขนาดนี้เลยเหรอครับ”
“…ครับ”
“แค่อ่อนโยนใช่ไหมครับ สเปคของคุณน่ะ”
“ครับ?…ครับ”
แม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงพูดเรื่องนั้นขึ้นมาตอนนี้ แต่เขาก็ตอบไปก่อน
เขาได้ยินเสียงหัวเราะต่ำๆ ของอีอูยอนดังขึ้นเหนือศีรษะ
“จะง่ายหรือยาก เราก็ไม่สามารถรู้ได้เลยนะครับ”
“…?”
คนที่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลยมันคุณต่างหาก ชเวอินซอบไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอีอูยอนถึงหัวเราะแบบนั้น และคำพูดที่บอกว่าง่ายหรือยากของอีกฝ่ายนั้นคืออะไร
“งั้นถ้าผมอ่อนโยนกับคุณ คุณจะร้องไห้ขนาดนั้นลับหลังหรือเปล่าครับ”
“เอ่อ เรื่องนั้น…”
“จะร้องหนักขึ้นอีกเหรอครับ”
“ไม่ครับ ไม่เป็นแบบนั้นหรอก”
เขาไม่อยากสร้างความลำบากให้ใครในระหว่างที่ทำงาน แม้ว่าคนที่เขาจะต้องล้างแค้นจะเป็นอีอูยอนก็ตาม
เขาวางแผนว่าเขาจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ และถูกเลิกจ้างอย่างสมเกียรติ
“ไม่ร้องหรอกครับ วันนี้ผมแค่ร้องไห้เพราะตกใจนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกครับ”
เมื่อได้ยินคำตอบของอินซอบ ความผิดหวังอันเลือนรางก็ฉายบนใบหน้าของอีอูยอน ความผิดหวังนั้นละลายหายไปในดวงตาสีเข้มของเจ้าตัวอย่างรวดเร็วเหมือนกับเกล็ดหิมะที่ตกลงในเตาไฟ
“ผมเป็นห่วงมากเลยล่ะครับ”
ขณะที่อินซอบคิดจะตอบไปว่า ‘ตอนนี้คุณไม่ต้องเป็นห่วงขนาดนั้นหรอกครับ’ กรรมการผู้จัดการคิมก็เปิดประตูดาดฟ้าและก้าวขึ้นมา
“อินซอบ!”
“กรรมการผู้จัดการ…”
อินซอบรีบหันหน้าหนีและใช้มือเช็ดหน้า เพราะเขากลัวว่ากรรมการผู้จัดการคิมจะรู้ว่าตนร้องไห้
“ทำไมถึงทำให้ผู้จัดการส่วนตัวของผมร้องไห้ล่ะครับ”
แต่คำพูดของอีอูยอนก็ทำให้มันเปล่าประโยชน์
“ร้องไห้เหรอ? อินซอบร้องไห้งั้นเหรอ?”
“ครับ”
อีอูยอนยิ้มพลางเสริมว่าร้องไห้แงๆ ถ้าอินซอบสามารถบินได้ เขาก็อยากจะกระโดดลงจากดาดฟ้าไปเดี๋ยวนี้เลย
“แงๆ เหรอ ทำไมล่ะ ไม่ได้โกรธใช่ไหม”
“ทำไมต้องโกรธด้วยล่ะครับ”
“เปล่าหรอก ก็เห็นเขาบอกว่าลำบากใจกับปาร์ตี้จนโมโหแล้วก็เดินออกไป ฉันก็นึกว่าเขาโกรธที่โดนเรียกมาด้วยเรื่องแบบนี้ซะอีก”
“เขาบอกว่าเขาน้ำตาไหลเพราะซาบซึ้งนะครับ”
ใบหน้าของอินซอบค่อยๆ ขึ้นสีเหมือนคนเมาเหล้า จากสถานการณ์ตอนนี้เขาสังหรณ์ใจว่าต่อให้ตนจะแกล้งทำเฉยและใช้น้ำเสียงเป็นการเป็นงานแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่สามารถร้องไห้เสียงดังพร้อมกับเปิดเผยความคิดที่อยู่ในใจได้เช่นกัน
“เป็นแบบนั้นเพราะซาบซึ้งจริงๆ เหรอ ฉันนึกว่าโกรธเพราะโดนเรียกมาโดยไม่จำเป็นซะอีก”
พอกรรมการผู้จัดการคิมทำสีหน้าโล่งใจ อินซอบก็ยิ่งรู้สึกผิด กรรมการผู้จัดการคิมยิ้มกว้างทันทีที่เขาก้มหัวและกล่าวขอโทษ
“เอาน่า ถ้าเป็นอย่างนั้นก็กลับไปร่วมปาร์ตี้วันเกิดกันเถอะ”
“…”
นี่คือรสชาติของความตาย[1] เขาปฏิเสธปาร์ตี้วันเกิดเหมือนชายหนุ่มในเมืองผู้เย็นชา แต่สุดท้ายเขาก็ต้องกลับไปที่นั่นอีกด้วยดวงตาที่บวมฉึ่งหรือนี่
“นึกว่าอินซอบจะเป็นคนสมบูรณ์แบบเสียอีก แต่กลับอ่อนไหวกว่าที่เห็นนะเนี่ย ถึงกับน้ำตาหยดแหมะๆ ให้กับปาร์ตี้วันเกิด รู้สึกขอบคุณขนาดนั้นเลยเหรอ”
“…ครับ”
เขาตอบกลับไปแบบนั้นอย่างมีมารยาท เพราะมันเป็นเรื่องจริงที่เขารู้สึกขอบคุณ
“ถ้ารู้สึกขอบคุณต่อไปก็ต้องทำงานให้ดีนะ ใช่ไหม”
“ครับ ผมจะทำงานให้ดีครับ”
เมื่ออินซอบตอบอย่างว่านอนสอนง่าย กรรมการผู้จัดการคิมก็หัวเราะและยิ้มด้วยความพอใจ อีอูยอนรู้ทันว่านี่เป็นแผนตื้นๆ ของกรรมการผู้จัดการคิมที่จะมัดชเวอินซอบเอาไว้ให้อยู่ข้างตน แต่ดูเหมือนผู้จัดการส่วนตัวโง่เง่าของตนที่ประหม่าและกำลังก้มหน้าจึงไม่รู้ความจริงข้อนี้
ไม่รู้เลยจริงๆ แฮะ
นี่เขาทำตัวให้เข้าใจยากในตอนที่เราคิดว่ามองเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่ง และทำตัวเรียบง่ายจนน่าตกใจในตอนที่เราคิดว่าเขาเข้าใจได้ยากหรือเปล่า
“อีอูยอน นายจะลงไปที่ห้องทำงานด้วยกันไหม”
กรรมการผู้จัดการคิมรีรอพร้อมกับเอ่ยถาม เป็นคำถามที่แฝงความหวังว่า ‘นายต้องไม่ไปอยู่แล้วใช่ไหม’ เอาไว้
อีอูยอนยิ้มพราย ช่างเป็นรอยยิ้มที่สวยจริงๆ กรรมการผู้จัดการคิมนึกถึงวันเก่าๆ ที่เขาตกหลุมพรางให้กับรอยยิ้มนั้น เขาเจ็บใจ เขานึกถึงท่าทีตอนเมาเหล้าของหัวหน้าทีมชาที่ร้องไห้คร่ำครวญว่ารอยยิ้มนั้นของอีอูยอนคือการหลอกลวงระดับชาติ แม้จะแกล้งทำเป็นคนมีมารยาทหรือคนอ่อนโยน แต่อีอูยอนกลับเป็นคนเลวที่มีนิสัยเน่าเฟะ เขาไม่ใช่มนุษย์ที่จะทำ หรือแบ่งเวลาส่วนตัวของตนให้กับผู้จัดการส่วนตัว และกรรมการผู้จัดการคิมก็ไม่ได้คาดหวังในสิ่งนั้นอยู่แล้ว เขาไม่อยากมองเห็นสายตาของอีอูยอนในปาร์ตี้ที่ตั้งใจจะสนุกด้วยกัน
“ทำไมต้องถามถึงเรื่องที่มันแน่นอนอยู่แล้วด้วยล่ะครับ”
“ฮ่าๆๆ อย่างนั้นเหรอ”
ใช่แล้ว ถามไปก็เจ็บปาก[2] ตัวเองเปล่าๆ ยังไงซะไอ้หมอนี่ก็ไม่มีทางตามไปปาร์ตี้วันเกิดของผู้จัดการส่วนตัวระ…
“ต้องไปอยู่แล้วสิครับ”
“ว่าไงนะ!”
“ก็นี่เป็นวันเกิดของผู้จัดการส่วนตัวของผมนะครับ คุณถามเรื่องที่มันแน่นอนอยู่แล้วแท้ๆ เลยนะครับกรรมการผู้จัดการ”
สีหน้าของชเวอินซอบยุ่งเหยิง เป็นสีหน้าที่บอกว่าเขาไม่อยากจะเชื่อ อีอูยอนโอบไหล่อินซอบและขัดจังหวะไม่ให้เขาพูด
“งั้นลงไปกันเถอะครับกรรมการผู้จัดการ”
ชเวอินซอบถูกแขนของอีอูยอนรั้งลงบันไดไปด้วยสีหน้าเศร้าหมอง กรรมการผู้จัดการคิมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเงียบๆ ถึงคราวที่เขาจะต้องบอกข่าวร้ายกับหัวหน้าทีมชาที่ลงไปด้านล่างแล้วว่าจะพาอีอูยอนไปด้วย
***
[1] รสชาติของความตาย สำนวนที่หมายถึงแย่มากจนอยากตาย
[2] ถามไปก็เจ็บปาก สำนวนแปลว่าพูดเรื่องโดยเปล่าประโยขน์