การใช้เวลาจินตนาการถึงเรื่องต่างๆ ในคืนที่นอนไม่หลับเป็นความสามารถพิเศษของอินซอบ มันจำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการสร้างจินตนาการ ยิ่งจินตนาการนั้นเป็นรูปเป็นร่างและละเอียดมากเท่าไร เขาก็ยิ่งสนุกมากขึ้นเท่านั้น เขาจะต้องนึกให้ออกเหมือนกับวาดภาพว่าตัวเขาในจินตนาการกำลังใส่เสื้อผ้าแบบไหน และสถานการณ์รอบตัวเป็นอย่างไรบ้าง
แต่ในคราวนี้เขาไม่จำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการจินตนาการเลย เขานึกถึงบ้านของตัวเองที่อเมริกา คุกกี้ที่เต็มไปด้วยกลิ่นของซินนามอนที่แม่เป็นคนอบ เสียงเห่าของวิล เสียงเปียโนที่ไม่ได้เรื่องของพ่อ เสียงน้องๆ วิ่งเล่นตรงบันได และเสียงอันอ่อนโยนของแม่ที่เรียกชื่อเขา…
จินตนาการในคราวนี้ล้มเหลว เขาจะต้องมีความสุขมากพอถึงจะจินตนาการได้สำเร็จ ปัญหาที่ตามมาเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น แต่คราวนี้เขาไม่มีความสุขแม้แต่จะใช้จินตนาการด้วยซ้ำ
ชเวอินซอบเช็ดน้ำตากับหมอนและลุกขึ้น เขามองไม่เห็นเค้าลางของความง่วงเลยสักนิด
เขาหยิบสมุดโน้ตออกมาจากกระเป๋าและเริ่มต้นเขียนเรื่องที่เกิดในวันนี้กับสิ่งที่เขาจะต้องท่องจำลงไป เช่น ยี่ห้อของเบียร์ที่อีอูยอนชอบ จำนวนและชนิดของผักที่ใส่ตอนห่อเนื้อกิน และเสื้อกับรองเท้าที่ใส่วันนี้ เป็นต้น
เขาเขียนข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่สำคัญอะไรในสายตาของคนอื่นไว้แน่นเอี้ยด อินซอบเงยหน้าขึ้นหลังจากเขียนติดต่อกันถึงสามหน้าและเรียบเรียงข้อมูลเสร็จ ที่ด้านนอกหน้าต่างเขาเห็นวิวยามค่ำคืนของบ้านพักตากอากาศที่กรรมการผู้จัดการคิมอวดจนน้ำลายแห้ง
ชเวอินซอบซ่อนสมุดโน้ตไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของกระเป๋าและลุกขึ้นจากเก้าอี้
เขาลงบันไดอย่างระมัดระวัง ประตูห้องนอนชั้นหนึ่งที่อีอูยอนบอกว่าจะใช้ถูกปิดเอาไว้อย่างแน่นหนาแม้แต่ตอนที่เปิดประตูหน้าบ้านเขาก็ระวังเพื่อไม่ให้เกิดเสียง
เขาเดินไปตามทางที่สร้างด้วยหินและนั่งลงตรงหน้าม้านั่งที่มองเห็นทะเลสาบ เขานั่งกอดเข่ามองคลื่นถี่ๆ บนผิวของทะเลสาบที่เย็นยะเยือก
มันเงียบสงบ ไม่สิ มันเป็นความสงบที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดว่าเงียบได้เลย นี่เป็นอากาศที่เขาสัมผัสไม่ได้ในตอนกลางคืนที่กรุงโซล
“…เหงาจัง”
พอพูดแบบนั้นออกมา เขาก็รู้สึกเหงาขึ้นหลายเท่า
“ไม่เหงาเลยสักนิด”
แต่คราวนี้กลับไม่ได้ผล ชเวอินซอบพึมพำสิ่งที่ตนต้องการอีกครั้ง
“ไม่เหงา เรามีความสุข เราชอบงานนี้มากๆ เราภูมิใจกับงานของเรา เราชอบงานที่ทำอยู่ที่นี่มากๆ…ชอบมาก”
จู่ๆ ก็มีผ้าห่มผืนใหญ่มาห่มเขาไว้
“ชอบอะไรขนาดนั้นเหรอครับ”
“…!”
“ชอบผมเหรอ”
อีอูยอนนั่งลงข้างๆ พร้อมกับพูดแบบนั้น ชเวอินซอบไม่สามารถหุบปากลงได้เพราะความตกใจ
“มันหนาวนะครับ ทำไมถึงออกมาล่ะ ไม่สบายอยู่แท้ๆ”
“…มาเดินเล่น…”
“จะเป็นหวัดเอาได้นะครับ”
เพราะผ้าห่มที่อีอูยอนห่มให้ ชเวอินซึงถึงได้รู้ว่าตัวเขาเย็นพอสมควร
“ขอบคุณครับ”
“ไม่เป็นไรครับ”
พูดจบ อีอูยอนก็ยังไม่ยอมลุกและเอนตัวไปด้านหลังพลางซุกมือไว้ในกระเป๋ากางเกง
“ดาวสว่างมากเลยนะครับ”
“…ครับ ใช่ครับ”
“แถมยังเงียบด้วย”
“ครับ”
ชเวอินซอบคิดว่าอีอูยอนคงนั่งเพียงไม่นานก็ลุกออกไป แต่อีกฝ่ายกลับค้นอะไรบางอย่างในกระเป๋าและหยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้ หมายความว่าเขาจะไม่ลุกไปจนกว่าจะสูบบุหรี่อย่างน้อยหนึ่งมวนเสร็จ ชเวอินซอบกอดผ้าห่มเอาไว้และทุ่มเถียงกับตัวเองในใจ ถ้าจู่ๆ เราลุกขึ้นมันจะน่าอึดอัดใจหรือเปล่านะ
“คุณชเวอินซอบครับ”
“ครับ?”
อีอูยอนที่คีบบุหรี่เอาไว้เอ่ยเรียกชื่อของอินซอบ อินซอบคิดว่าชื่อที่ถูกเรียกด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำทำให้คอของเขาตีบตัน
“ทำไมคุณอินซอบถึงเป็นแบบนี้ล่ะ”
“ครับ?“
“ผมถามว่าทำไมคุณถึงเป็นแบบนี้”
คำถามที่ไม่คาดคิดนั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนลิ้นโดนแทงขึ้นมาทันที สายตาที่แหลมคมของอีกฝ่ายโดนผิวของเขาเหมือนกับเป็นเข็ม ชเวอินซอบไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายต้องการคำตอบแบบไหน และเขาก็ค่อยๆ หายใจลำบากขึ้นเหมือนปลาที่ถูกลากขึ้นมาบนบก
“ผมไม่ค่อยเข้าใจมนุษย์มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วล่ะครับ”
“…”
“ถึงตอนนี้ผมจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว แต่ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าคุณอินซอบเป็นอะไร”
ชเวอินซอบพยายามคิด และเขาก็ตอบคำตอบที่ดีที่สุดที่ตนสามารถตอบได้ให้อีกฝ่ายฟัง
“…เป็นผู้จัดการส่วนตัวไงครับ”
อีอูยอนที่ได้ยินคำตอบนั้นถลึงตาเหมือนคนโดนชก เขาระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังหลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมอยู่พักหนึ่ง
“ฮ่าๆๆๆๆ นั่นสินะครับ ใช่แล้ว เป็นผู้จัดการส่วนตัวสินะครับ เป็นผู้จัดการส่วนตัวของผม”
“…”
อีอูยอนหัวเราะเหมือนกับตลกจริงๆ
“ฮ่าๆๆ ได้เลยครับ แล้วสิ่งที่คุณผู้จัดการส่วนตัวต้องการคืออะไรเหรอครับ”
“ครับ?”
“มีสิ่งที่ต้องการจากผมไม่ใช่เหรอครับ”
“ผม…”
ชเวอินซอบสับสนเพราะเขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังแกล้งเขาหรือว่าพูดเล่นกันแน่ แต่อีอูยอนก็เริ่มนับถอยหลังด้วยสีหน้าจริงจัง
“ห้า สี่ สาม…”
“ผมอยากรู้จุดอ่อนของคุณครับ”
คำตอบนั้นหลุดออกมาจากปากราวกับเป็นการตอบสนองโดยอัตโนมัติของร่างกายที่ขาจะเด้งออกมาตอนโดนเคาะเข่า พูดจบอินซอบก็กลับมาคิดว่าตัวเองทำอะไรลงไป แล้วหน้าซีด
บ้าไปแล้ว นี่เราพูดอะไรออกไปเนี่ย
“จุดอ่อนเหรอครับ”
“…”
“จุดอ่อนของผมเหรอครับ”
อีอูยอนชี้ไปที่ตัวเองและยืนยันอีกครั้ง ชเวอินซอบแทบจะเป็นบ้า การนับถอยหลังอย่างกะทันหันทำให้สติของเขาหลุดลอยไป ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ทำแบบนั้น เขาไม่มีทางยอมให้ตัวเองพูดแบบนั้นออกไปได้แน่
“อยากรู้จุดอ่อนของผมเหรอครับ”
“…ไม่ต้องบอกให้รู้ก็ได้ครับ”
ชเวอินซอบว่าพลางเบนสายตาไปที่อื่น เห็นดังนั้นอีอูยอนก็ยื่นหน้าเข้าไปหาและเอ่ยถาม
“จริงเหรอ ไม่ต้องบอกให้รู้ก็ได้จริงๆ เหรอครับ”
“…”
อยากตาย
ชเวอินซอบทำอะไรไม่ได้เลย และตอนนี้เขาก็อยากตายมาก
“ถ้าอย่างนั้นผมจะไม่บอกนะครับ”
อีอูยอนลุกขึ้น ชเวอินซอบคว้าปลายเสื้อของอีกฝ่ายไว้และตะโกนขึ้นมา
“ช่วยบอกให้รู้หน่อยครับ”
ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้เราคงไม่สามารถสืบเองได้ งั้นการได้ยินจากปากของอีอูยอนเองก็คงไม่แย่เท่าไรหรอก
อีอูยอนก้มลงมองมือที่กำลังจับเสื้อของตนไว้ ถึงเขาจะคิดว่าอีกฝ่ายดูเด็ก แม้กระทั่งตอนที่ใส่สูท แต่พอใส่ชุดธรรมดาและไม่ได้เซทผมแล้ว เจ้าตัวกลับดูเด็กลงไปอีก และดวงตาก็ใสแจ๋วเหมือนกับเด็กชายช่างฝัน อีอูยอนสามารถอ่านความหวังที่อยู่ในดวงตาของฝ่ายนั้นได้
“ห้ามเอาไปบอกใครนะครับ”
อีอูยอนก้มลงมองทะเลสาบและพูดต่อ
“ผมว่ายน้ำไม่เป็น”
“…”
“เวลาที่ไปโรงเรียน ผมมักจะโดดเรียนในชั่วโมงว่ายน้ำด้วยครับ ผมเล่นกีฬาอย่างอื่นเก่ง แต่ว่ายน้ำไม่เป็นจริงๆ”
“…อย่างนั้นเองเหรอครับ”
ความสดใสที่อยู่ในดวงตาที่เป็นประกายหายไป มันหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับน้ำที่ซึมเข้าไปในทราย
อีอูยอนแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นพร้อมกับเผยยิ้มและล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
“แล้วผู้จัดการส่วนตัวของผมรู้จุดอ่อนของผมแล้วจะเอาไปทำอะไรเหรอครับ”
“ครับ?”
“ไม่ได้จะเอาไปใช้ที่ไหนใช่ไหมครับ คุณจะเอาไปปล่อยที่ไหนหรือเปล่า”
“เปล่าครับ”
“แล้วถามทำไมเหรอครับ”
อีอูยอนโน้มตัวลงมา เขามองหน้าของชเวอินซอบตรงๆ พลางเอ่ยถาม ในใจก็เฝ้ารอดูว่าทีนี้อีกฝ่ายจะตอบแบบไหน
“อยาก…อยากรู้เฉยๆ ครับ ถ้าผมรู้เรื่องเกี่ยวกับคุณอูยอนทั้งหมด…ทั้งจุดอ่อน ทั้งเรื่องอะไรต่อมิอะไร ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นตัวช่วยได้ในสักวันหนึ่ง”
“เพราะเป็นผู้จัดการส่วนตัวเหรอครับ”
“ครับ เป็นแบบนั้นแหละครับ”
นี่เป็นการแก้ตัวที่โง่จนอยากจะหัวเราะออกมา แม้ชเวอินซอบจะรู้สึกเสียใจที่หลงกลกับการพูดไร้สาระของอีอูยอนมากแค่ไหน แต่มันก็เป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์
อีอูยอนหัวเราะอย่างนึกสนุก เสียงหัวเราะของเขาทำให้เกิดระลอกคลื่นเล็กๆ บนผิวทะเลสาบ เขายืนพาดขาตรงริมทะเลสาบอย่างน่าหวาดเสียว ชเวอินซอบมองไหล่ของอีกฝ่ายที่สะท้อนกับแสงจันทร์พลางกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ มือของเขาสั่นเทาด้วยความเครียดและรู้สึกว่าเซลล์สมองของเขาค่อยๆ ตายลงไปทีละเซลล์ๆ มือเรียวบางของอินซอบยื่นออกมาจากผ้าห่มผืนนุ่ม
“จะผลักผมเหรอครับ”
“…!”
“ถ้าหากคุณมาอยู่ข้างๆ ผมเพราะมีสิ่งที่ต้องการจากผมจริง ตอนนี้ก็น่าจะเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมเลยนะครับ”
“มะ ไม่นะครับ ผมไม่ได้คิดแบบนั้น”
ความตกใจปรากฏบนใบหน้าของชเวอินซอบเพียงครู่เดียว ต่อจากนั้นก็เป็นความรู้สึกมึนงง ความละอายใจ และความทุกข์ ความรู้สึกที่ไม่ควรจะแสดงออกให้อีกฝ่ายเห็นปรากฏขึ้นมาตามลำดับและจางหายไป จนกระทั่งอีอูยอนยิ้มและบอกว่าล้อเล่น สีหน้าของอินซอบก็ยังเครียดอยู่
อีอูยอนอยากจะเตือนอินซอบว่าถ้าอยากจะหลอกคนอื่นก็ต้องไปเรียนมาเพิ่มอีกหน่อย และเขาก็อยากจะบอกว่าไม่ว่าจะหลอกอย่างไร ก็ไม่มีใครหลงเชื่อผลงานชุ่ยๆ ที่ไม่พยายามให้เต็มที่แบบนั้นหรอก รวมไปถึงอยากจะแนะนำผู้จัดการส่วนตัวที่กำลังทำหน้าใสซื่ออยู่ตอนนี้อย่างอ่อนโยนด้วยว่าการหลอกคนอื่นนั้นจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังมากแค่ไหน
“คุณอินซอบ”
นี่เป็นครั้งแรก
ที่เขาตัดสินใจเตือนใครสักคนด้วยความจริงใจแบบนี้
“…!”
เขารู้อะไรแล้วหรือเปล่านะ ตาของชเวอินซอบเบิกโตขึ้นเหมือนกับลูกหมาที่หางติดไฟ
“คุณอินซอบน่ะ…”
อีอูยอนรู้สึกถึงความเจ็บปวดอุ่นๆ บริเวณศีรษะ แม้ชเวอินซอบจะกรีดร้องและลุกขึ้นมา แต่อีอูยอนไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไรกันแน่
อีอูยอนเอามือลูบด้านหลังศีรษะ ก่อนที่เขาจะทันได้ดูว่าของเหลวเปียกๆ นั้นคืออะไร ความเจ็บปวดหนักๆ ก็กระจายไปทั่วหลังเขาอีกครั้ง
ภาษาที่ให้ความรู้สึกขุ่นเคืองและเขาไม่เข้าใจว่ามันเป็นภาษาอะไรดังขึ้นอย่างน่าหนวกหู แล้วอีอูยอนก็ได้รู้ความจริงว่าคนที่ฟาดเขาอย่างแรงจากทางด้านหลังก็คือพวกคนจีนน่ารังเกียจที่เจอที่จุดพักรถ ตอนนี้เองที่เขารู้สึกเสียใจที่ตอนที่ปาประแจใส่รถที่กำลังวิ่งอยู่ เขาปรับทิศทางจนพลาดเป้าไปจากคนพวกนั้น
อีอูยอนปล่อยมัด แม้มันจะโดนหน้าชายคนหนึ่งไปเต็มๆ และทำให้ฝ่ายนั้นหงายลงไป แต่ผู้ชายอีกคนก็ฟาดไหล่ของอีอูยอนอีกครั้งด้วยท่อนไม้ในมือ แม้ชเวอินซอบจะพุ่งเข้าไปห้ามคนพวกนั้น แต่เขาก็สู้แรงพวกนั้นไม่ได้ ชเวอินซอบถูกชกด้วยหมัดที่ไม่ค่อยแรงเท่าไรและล้มลงบนพื้น อีอูยอนคิดว่าคราวหน้าเขาจะต้องเลือกคนที่รู้วิธีป้องกันร่างกายของตนให้ดีที่สุดมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนต่อไปพร้อมกับเหวี่ยงหมัดไปด้วย อีกฝ่ายหลบหมัดเบาๆ ของอีอูยอนได้ พวกมันเป็นคนที่น่าจะถูกเขาฆ่าให้ตายเรียบในยามปกติแท้ๆ แต่เขากลับขยับตัวได้ช้าลงเพราถูกฟาดที่หัว
คนที่เคยโดนอีอูยอนใช้เท้าเตะผ่าหมากอย่างไร้ความปรานีก่อนที่จะออกมาจากห้องน้ำด่ากราดออกมาพร้อมกับพุ่งเข้าใส่อีอูยอน ผู้ชายคนนั้นใช้หัวกระแทกท้องของอีอูยอนอย่างแรงและดันเขาให้ตกลงไปในทะเลสาบ ทันทีที่เสียงตู้มดังขึ้น ผู้ชายพวกนั้นก็พูดภาษาจีนที่เขาไม่เข้าใจพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
ไฟถูกเปิดและสุนัขก็เริ่มเห่าเพราะเสียงโหวกเหวกจากบ้านข้างๆ คนพวกนั้นสัมผัสได้ว่ามีคนมาจึงสบตากันก่อนจะเริ่มขยับตัว หลังจากได้ยินเสียงสตาร์ทรถ ภาษาจีนที่น่าหนวกหูก็ไกลออกไปเรื่อยๆ
ชเวอินซอบที่ล้มลงยันตัวขึ้นมาและวิ่งไปที่ทะเลสาบ เขาหาร่างของอีอูยอนไม่เจอ อีอูยอนจมลงไปใต้ทะเลสาบที่เย็นเหมือนน้ำแข็ง ในที่สุดเขาก็หายไปจากโลก ขาของอินซอบอ่อนแรงและทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างนั้น
อีอูยอนหายไปจากโลกแล้ว การล้างแค้นของเจนนี่สำเร็จโดยที่เขาไม่ต้องแตะต้องอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
“ฮ่าๆ…ฮ่าๆๆ…ฮ่าๆๆ…เจนนี่…ฉัน…”
แต่คำว่าฉันทำได้แล้วกลับไม่หลุดออกมาจากปาก อีอูยอนคนชั่ว คนเลวอย่างนั้นได้รับโทษไปแล้ว แต่เขากลับไม่คิดว่าการล้างแค้นของเจนนี่สำเร็จแล้วแม้แต่น้อย
นี่มันไม่ใช่การล้างแค้น มันเป็นแค่อุบัติเหตุ
เขาไม่สามารถไปหาเจนนี่และบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุได้
ชเวอินซอบกรีดร้อง เขาตะโกนขอให้ช่วยเหลือ ขอให้ส่งรถพยาบาล ตำรวจ หรืออะไรก็ได้มาทีจนคอจะแตก เขาได้ยินเสียงคนมารวมตัวกันจากที่ไกลๆ แต่ชเวอินซอบรู้สึกสังหรณ์ใจว่าทุกอย่างจะจบลงหลังจากที่คนที่จะช่วยได้มาถึง
ยังไม่ได้ ต้องไม่ใช่ตอนนี้ เขาปล่อยอีอูยอนไปแบบนี้ไม่ได้
ชเวอินซอบถอดรองเท้า
เสียงตู้มดังขึ้นเป็นครั้งที่สองพร้อมกับน้ำในทะเลสาบที่เย็นเป็นน้ำแข็งก็กระจายออก
***