“อ๊ะ อีอูยอนไม่ได้เอาไอ้นี่ไปนี่”
หัวหน้าทีมชาที่จัดของอยู่หยิบแชมพูออกมาจากกระเป๋า ชเวอินซอบรู้อยู่แล้วว่าอีอูยอนใช้แค่แชมพูของยี่ห้อนี้เท่านั้น
“เอาไปให้เขาหน่อยได้ไหม ฉันต้องออกไปจ่ายตลาดสักหน่อย”
“ได้ครับ”
ชเวอินซอบรับแชมพูมาก่อนจะลุกขึ้น
“เฮ้ย ฉันไปด้วย ไปซื้อเบียร์กับโซจูกัน ส่วนเหล้านอกฉันเอามาแล้ว”
ชเวอินซอบมองด้านหลังของกรรมการผู้จัดการคิมที่ตามหัวหน้าทีมชาออกไป พอนึกถึงความสัมพันธ์ของตนกับอีอูยอน ชเวอินซอบก็รู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมา
เขาสามารถหาห้องน้ำที่มีเสียงน้ำดังออกมาได้ทันทีที่ขึ้นมาชั้นบน ประตูถูกเปิดออกมาในจังหวะที่เขากำลังจะยกมือขึ้นเคาะ
“…!”
“เอ่อ”
แม้แต่อีอูยอนที่เปิดประตูออกมาเองก็ยังรู้สึกตกใจ ชเวอินซอบยื่นขวดแชมพูที่ถืออยู่ออกไปอย่างรวดเร็ว
“นี่…”
“ขอบคุณครับ ผมว่าจะลงไปเอาอยู่พอดี”
อีอูยอนที่มีแค่ผ้าขนหนูพันเอวยิ้มพลางรับขวดแชมพูไป ชเวอินซอบพยายามวางสายตาไว้ที่อื่นและพูดอย่างใจเย็น
“งั้นอาบน้ำให้สบายนะครับ”
เสียงหัวเราะของอีอูยอนเล็ดลอดออกมาจากช่องของประตูที่กำลังปิดลง ชเวอินซอบเอียงคอด้วยความสงสัยว่าตนพูดอะไรผิดอีกแล้วหรือเปล่าก่อนจะลงบันไดไป
อีอูยอนอาบน้ำเสร็จหลังจากนั้นไม่นาน เขาเช็ดผมที่เปียกด้วยผ้าขนหนูระหว่างที่เดินลงมาชั้นล่าง ภาพอีอูยอนในชุดเสื้อยืดสีขาวตัวบางกับกางเกงออกกำลังกายทำให้ชเวอินซอบรู้ซึ้งถึงคำพูดที่ว่าชีวิตประจำวันคือโฆษณาทันที
“คนอื่นๆ ล่ะครับ”
“ออกไปซื้อของครับ”
“งั้นเหรอครับ”
อีอูยอนนั่งลงบนโซฟา เขาอ่านบทที่วางไว้บนโต๊ะก่อนจะเอนหลังพิงเบาะโซฟา ชเวอินซอบทำตัวไม่ถูกและเอาแต่มองไปข้างหน้าอย่างวุ่นวายใจ เพราะกลิ่นแชมพูของผู้ชายที่เขารู้สึกได้ว่าอยู่ใกล้มาก
ระยะห่างระหว่างพวกเขาเรียกได้ว่าแค่ขยับอีกนิดเดียวก็จะโดนไหล่กันแล้ว แม้เขาจะนั่งข้างกันมาในรถ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้อยู่กันตามลำพังหลังจากเกิดเรื่องนั้น ภายในปากของอินซอบแห้งผากเพราะความรู้สึกเครียดจนน่าขนลุก
อินซอบเปิดปากพูดหลังจากที่ลังเลอยู่สองสามรอบ
“เมื่อกี้…”
“รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับ”
“ครับ?”
ชเวอินซอบทำตาโตเหมือนลูกหมาที่ตกใจลูกบอลที่ลอยมาอย่างกะทันหัน
“ดูเหมือนร่างกายคุณจะยังไม่ค่อยดีนะครับ”
“แค่…”
เขาพูดว่า ‘แค่หัวใจไม่ค่อยแข็งแรง’ ออกไปไม่ได้ แม้ตอนนี้เขาจะไม่ต่างอะไรกับคนปกติ แต่มันก็เป็นคำพูดที่เขาพูดออกไปไม่ได้อยู่ดี เพราะมันยังมากเกินไปในตอนนี้ ชเวอินซอบตอบกลับไปเบาๆ ว่าสภาพร่างกายเขายังไม่ค่อยดีเท่าไรแทน
อีอูยอนหยิบบุหรี่ออกมาจากซองบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะและจุดไฟ ชเวอินซอบตกใจ ตามข้อมูลที่ตนรวบรวมมาอีกฝ่ายไม่สูบบุหรี่
“บุหรี่…”
“พอดีมีตอนที่จะต้องสูบตอนแสดงละครน่ะครับ ผมก็เลยสูบบ้างเป็นบางครั้ง”
ภาพของอีอูยอนที่พูดพลางคาบบุหรี่ไว้ในปากดูแปลกตา ชเวอินซอบมองด้านข้างของอีกฝ่ายที่สูบบุหรี่ไปพลางอ่านบทไปพลางพร้อมกับขมวดคิ้วไปด้วยอย่างเหม่อลอย แต่เขากลับไอเล็กๆ ตอนที่สูดควันบุหรี่เข้าไป
“ไม่ชอบควันบุหรี่เหรอครับ ขอโทษนะ”
“ปะ เปล่าครับ”
อีอูยอนลุกไปเปิดหน้าต่าง ไหล่ของอีกฝ่ายทั้งกว้างและใหญ่ ตอนที่เห็นไหล่นั้นชเวอินซอบก็นึกถึงคำคำหนึ่งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
ควอเตอร์แบ็ก
เจนนี่เคยพูดถึงไหล่ของฝ่ายนั้นจนน่าจะเขียนเป็นหนังสือได้สักเล่ม การพูดสรรเสริญเกี่ยวกับไหล่ของเขาที่เธอเอาแต่พูดไม่ยอมหยุดอย่างปลาบปลื้มมักจะจบลงด้วยประโยคเดียวเสมอ
‘เขามีไหล่ของควอเตอร์แบ็ก’
ด้วยเหตุนั้นบางครั้งชเวอินซอบจึงเผลอมองไหล่ของอีอูยอนโดยไม่รู้ตัว
“มีอะไรเหรอครับ”
“เปล่าครับ ไม่มีอะไรครับ”
“ผมไม่สูบบุหรี่เพราะเมื่อก่อนผมเล่นกีฬาน่ะครับ”
อีอูยอนยิ้มบางๆ ในขณะที่ปล่อยควันบุหรี่ออกมาในอากาศ
เขากำลังนึกถึงอดีตอยู่เหรอ ชเวอินซอบสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
“แต่พอได้ลองสูบเป็นครั้งคราว ผมก็พบว่ามันก็ไม่ได้แย่อะไร”
“…ครับ ว่าแต่คุณเล่นกีฬาอะไรเหรอครับ”
คำถามสุดท้ายเป็นคำพูดที่เขาพูดต่อราวกับมีจิตที่มุ่งร้าย เป็นจิตมุ่งร้ายที่อยากจะสร้างรอยแผลเล็กๆ ให้กับอีอูยอนที่มีชีวิตอยู่ราวกับไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต อีอูยอนแอบตกใจเล็กน้อยทันทีที่ผู้จัดการส่วนตัวที่มักจะวางตัวอยู่ในเส้นอย่างเหมาะสมเสมอถามคำถามแบบนั้นขึ้นมา
“ก็เล่นไปเรื่อยแหละครับ ผมก็เล่นเหมือนกับคนอื่นๆ”
อีอูยอนพูดอย่างเป็นธรรมชาติพลางขยี้บุหรี่ที่เหลือเกินครึ่งลงในที่เขี่ยบุหรี่ จากนั้นก็ยื่นมือออกมา อีอูยอนเอามือมาแตะที่แก้มของชเวอินซอบและพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“พักสักหน่อยเถอะครับ เมื่อครู่คุณคงจะตกใจมาก”
“…”
แม้จะรู้สึกได้จากหลังมือว่าตัวของชเวอินซอบแข็งทื่อ แต่อีอูยอนกลับไม่เก็บมือกลับไป ทันทีที่เขาเอามือแตะไปหน้าผาก สีหน้าของชเวอินซอบก็ซีดเผือด
“เหมือนจะมีไข้นะครับ”
“ผมไม่เป็นไรครับ”
“ลืมเรื่องไม่ดีแบบนั้นไปเถอะครับ คิดซะว่าโดนหมาบ้ากัดก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นท่าทางของชเวอินซอบที่พยักหน้าด้วยใบหน้าซีดเผือดราวกับจะเป็นลมในไม่ช้าเพราะคำพูดของเขา อีอูยอนก็นึกถึงสิ่งที่ตนเคยได้รับการสอนมาเสมอว่า ‘เป็นเรื่องที่มนุษย์ไม่สมควรทำ’ ขึ้นมา
อีอูยอนแตกต่างจากคนอื่นตั้งแต่เด็กๆ พ่อแม่ของเขามักจะเรียกเขาว่าเด็กที่สุภาพและรู้จักควบคุมความรู้สึก แต่สำหรับเขาแล้วมันไม่มีความรู้สึกมากพอให้ควบคุมมาตั้งแต่แรกต่างหาก เขาเป็นเด็กที่ต้องท่องจำเหตุผลที่ไม่ควรแกล้งคนที่อ่อนแอกว่าว่าเป็นกฎเกณฑ์ทางสังคมไม่ใช่เพราะเขาเข้าใจด้วยความรู้สึกของตน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความรู้สึก เขาแค่รู้สึกสนุกด้วยวิธีที่ต่างไปจากคนอื่นก็เท่านั้นเอง
เมื่อคนอื่นลำบาก เศร้า ทรมาน หรือเจ็บปวด
เขาสนุกกับเรื่องพวกนั้นนั่นแหละ
เขาต้องเรียนรู้พวกข้อตกลงทางสังคมที่บอกว่า ‘เราจะทำแบบนั้นไม่ได้ หรือมนุษย์จะต้องเคารพความรู้สึกของคนอื่น’ เขาได้รับข้อตกลงเหล่านั้นเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ได้ แต่บางครั้งความต้องการที่จะทำลายข้อตกลงเหล่านั้นก็เพิ่มมากขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่าครับ รู้สึกไม่สบายตรงไหนไหม”
พอเขาก้มตัวลงไปสังเกตสีหน้า ชเวอินซอบก็ทำหน้าเหมือนจะเป็นลมไปจริงๆ
“ผมแค่…”
อีอูยอนกลั้นขำพลางมองผู้จัดการส่วนตัวของตนพูดออกมาอย่างยากลำบากด้วยริมฝีปากที่สั่นระริก เกลียดฉันถึงขนาดนี้แท้ๆ แต่กลับทำตัวติดกับฉันได้ดีเลยนะเนี่ย
นี่ทำหน้าเหมือนตอนที่เจอพวกคนลามกพวกนั้นในห้องน้ำเลยไม่ใช่หรือไง แค่ไม่ร้องไห้เท่านั้นเอง
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้นขึ้นมา ปากของอีอูยอนก็พลันบิดเบี้ยววูบหนึ่ง ความคิดประเภทที่ว่ามีอารมณ์กับผู้ชายด้วยกันและทำเรื่องแบบนั้นไม่ตรงกับสามัญสำนึกของเขาเท่าไร แม้จะเป็นเรื่องน่าตลกที่คนอย่างเขาพูดเรื่องสามัญสำนึกออกมาด้วยตัวเองก็เถอะ แต่มันเป็นภาพที่เขาไม่อยากเห็นอีกเป็นครั้งที่สอง
“พักสักหน่อยนะครับ”
อีอูยอนว่าพลางถอยกลับไป ชเวอินซอบพยักหน้าพร้อมกับกำปลายเสื้อเอาไว้ ส่วนอีอูยอนลุกขึ้นพร้อมบทละครในมือ
***
“พูดถึงปาร์ตี้บาบีคิวข้างนอกแล้วเนี่ย ไม่มีอะไรจะสุขสบายได้เท่านี้อีกแล้ว”
กรรมการผู้จัดการคิมยืดไหล่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้พลางยิ้มกว้าง หัวหน้าทีมชาที่ย่างเนื้ออยู่ข้างๆ จึงเหน็บแนมเข้าให้ว่า ‘นั่นสินะครับ’
“กรรมการผู้จัดการก็สบายสิครับ เพราะผมย่างเนื้อให้หมดเลยนี่”
“ผมย่างเองครับ”
ชเวอินซอบที่ทำตัวไม่ถูกตั้งแต่เมื่อกี้ยื่นมือออกมา แต่หัวหน้าทีมชากลับส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรคุณอินซอบ ดูจากฝีมือที่คุณย่างเนื้อไปสองสามชิ้นเมื่อกี้แล้ว ผมว่ามันผิดตั้งแต่แรกเลย”
“นั่นก็เพราะหัวหน้าทีมชาย่างเนื้อเก่งน่ะสิ”
“ผมเริ่มสงสัยถึงเจตนาที่แท้จริงที่คุณพาผมมาถึงที่นี่แล้วนะครับ”
แม้จะพูดแบบนั้น แต่มือของหัวหน้าทีมชาที่ย่างเนื้ออยู่ก็ไม่ได้หยุดเลยแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากได้ลิ้มรส ‘ปรากฏการณ์อีอูยอน’ ที่ทำให้ถนนบริเวณใกล้เคียงเป็นอัมพาตตอนที่ไปร้านปลาดิบใกล้ๆ ในตอนกลางวันแล้ว กรรมการผู้จัดการคิมก็ไปร้านขายเนื้อและซื้อเนื้อกลับมาเงียบๆ เขาตัดสินไปแล้วว่าการพาอีอูยอนไปไหนมาไหนด้วยนั้น อย่าว่าแต่จะไปตกปลาเลย แค่นอนในบ้านพักตากอากาศยังเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ สุดท้ายอาหารเย็นของพวกเขาทั้งสี่คนก็กลายเป็นปาร์ตี้บาบีคิวตรงสวนหน้าบ้านพักตากอากาศ
“หัวหน้าทีมชา นายบอกเองนี่ว่าจะย่างเนื้อให้ฉันไปตลอดชีวิต เพราะนายแพ้พนันให้ฉันตอนมาตกปลาคราวก่อนโน้น”
“นั่นก็เพราะกรรมการผู้จัดการโกงต่างหากล่ะครับ”
“การมาพูดย้ำๆ ว่าคนอื่นโกงเนี่ย มันไม่สมเหตุสมผลเลยนะ”
“ผมบอกว่ามีคนเปลี่ยนตำแหน่งเบ็ดของผมตอนที่ผมไปเข้าห้องน้ำไงครับ ถ้าไม่ใช่กรรมการผู้จัดการแล้วใครจะมายุ่งล่ะ”
หัวหน้าทีมชาบ่นงึมงำด้วยใบหน้าที่บอกว่าเขารู้สึกไม่ยุติธรรมก่อนจะคว้าไหล่ของชเวอินซอบเอาไว้และเริ่มเตือนอย่างจริงจัง
“ถ้าวันนี้ไปตกปลา หัวใจสำคัญของความสำเร็จในการตกปลาก็คือคนคนนั้นจะแตะหรือไม่แตะเบ็ดของนาย เข้าใจไหม”
“ครับ? ฮ่าๆ…ครับ เข้าใจแล้วครับ”
“อะไรของนาย! ฉันเสียใจนะ เอ้อ ซอบ ซอบ ชื่อนี้เข้าปากเหมือนกันนะเนี่ย ต่อไปฉันเรียกนายว่าซอบดีไหม”
ชเวอินซอบมึนงงและไม่สามารถตอบอะไรออกไปได้ ถ้าถึงขนาดตั้งชื่อเล่นให้แบบนี้ เขาก็ลำบากน่ะสิ เขาคิดว่าจะอยู่อย่างไม่มีตัวตนและค่อยๆ หายไป แต่นี่มันเริ่มออกนอกแผนการของเขาเรื่อยๆ แม้แต่การที่อีอูยอนมาช่วยเขาตอนที่เจอเรื่องน่าอนาถแบบนั้นเมื่อตอนกลางวันก็ด้วย เขาจะต้องอยู่ให้เหมือนกับไม่อยู่ และจะต้องถูกเขี่ยออกให้ได้ภายในสามเดือนด้วย
“ทำไมล่ะ ไม่ชอบชื่อซอบเหรอ มันเข้าปากแล้วการออกเสียงก็ดีด้วยนะ”
“เขาไม่ชอบครับ กรรมการผู้จัดการมองไม่ออกหรือไง”
“ทำไมล่ะ! ดีออก หัวหน้าทีมชาเองตอนแรกก็ไม่ชอบชื่อเล่นของตัวเอง แต่ตอนหลังกลับมาบอกว่าชอบ แถมยังใช้ไปทั่วอีก”
ชื่อเล่นของหัวหน้าทีมชาฮยอนคยูคือชาชาชา เป็นชื่อที่ตั้งมาจากนิสัยที่ชอบเขย่าแทมบูรินและเต้นอย่างลืมตัวตอนที่ไปดื่มเหล้าที่ร้านคาราโอเกะ เขามักจะแนะนำตัวเองว่าชื่อหัวหน้าทีมชาชาชา ถ้าต้องไปในที่ที่จะต้องสร้างบรรยากาศ
“กรุณากินเข้าไปเถอะครับ!”
หัวหน้าทีมชาห่อเนื้อคำใหญ่และยัดใส่ปากของกรรมการผู้จัดการคิม อีอูยอนนั่งมองภาพนั้นอยู่บนเก้าอี้ก่อนจะขยับแว่นกันแดดขึ้นคาดผมและเอ่ยพูด
“พวกคุณดูเหมือนคู่สามีภรรยาเลยครับ”
“…เฮ้ย”
“อีอูยอน…อย่าพูดอะไรแบบนี้สิ”
“กรรมการผู้จัดการคิมเป็นสามีที่ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ ส่วนหัวหน้าทีมชาก็เป็นภรรยาที่ถึงจะชอบบ่นแต่ก็ฟังคำพูดสามีทุกคำ”
เป็นครั้งแรกที่ชเวอินซอบอยากจะแสดงออกว่าเขาเห็นด้วยกับคำพูดของอีอูยอนเป็นอย่างมาก
“ฮ่าๆๆ มันก็ไม่ใช่คำพูดที่ผิดนักหรอก เพราะมีภรรยามาแทรกตรงกลางน่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมหัวเราะเสียงดัง
“ที่บอกว่ามีภรรยามาแทรกตรงกลางหมายความว่ายังไงเหรอครับ”
ชเวอินซอบถามอย่างระมัดระวัง ด้วยเกรงว่ามันจะเป็นสำนวนภาษาเกาหลีที่ตนไม่รู้ ถ้าเป็นสำนวนใหม่ เขาต้องจดลงไปในสมุดคำศัพท์
“เพราะภรรยาคนที่สองของฉันแต่งงานกับหัวหน้าทีมชาไงล่ะ ฉันห้ามถึงขนาดนั้นว่าอย่าแต่ง อย่าแต่ง แต่เพราะไม่ยอมฟังที่ฉันบอก เงินที่หามาได้ก็เลยถูกถอนออกไปเป็นค่าทำขวัญจนหมด”
“ทะ ทำไมถึงพูดเรื่องนั้นที่นี่ล่ะครับ!”
หัวหน้าทีมชาหน้าแดงเหมือนเมาเหล้าและตะโกนขึ้นมา
“แล้วที่ฉันพูดมันไม่จริงหรือไง”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มาพูดเรื่องนั้นเลยมันก็…เฮ้อ ให้ตายสิ”
หัวหน้าทีมชาถือเบียร์ขึ้นมาและเริ่มดื่มจนหมดขวด ก็อย่างที่กรรมการผู้จัดการคิมพูด หัวหน้าทีมชาแต่งงานกับภรรยาคนที่สองของกรรมการผู้จัดการคิมและหย่ากันจนกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว และคนที่รับเขาไว้ก็คือกรรมการผผู้จัดการคิม นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหัวหน้าทีมชาถึงจงรักภักดีต่อกรรมการผู้จัดการคิมที่เขาทั้งขอบคุณทั้งเกลียด