“เฮ้อ…”
อินซอบเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถอนหายใจ แม้ที่มือขวาจะมีผ้าพันแผลสีขาวพันไว้ แต่มันก็ไม่เป็นอุปสรรคในการเคลื่อนไหว อินซอบถูกอีอูยอนลากไปรักษาแผลที่โรงพยาบาลแถวนั้นก่อนจะถูกบังคับให้กลับมาที่บ้าน แม้เขาจะพยายามบอกว่าตนไม่เป็นไรและยังสามารถขับรถได้ แต่อีอูยอนก็ทำเป็นไม่ได้ยิน อีกฝ่ายสร้างเหตุผลขึ้นมาว่า ‘ผมช่วยฟังคำขอร้องของคุณแล้ว เพราะงั้นคุณอินซอบเองก็ควรฟังคำขอร้องของผมด้วย’ และบังคับให้อินซอบทำตาม
หลังจากที่อีอูยอนทำแม้กระทั่งการเลื่อนเวลาสัมภาษณ์ออกไปและขับรถมาส่งเขาจนถึงบ้านแล้ว อีกฝ่ายก็ยิ้มอย่างพึงพอใจก่อนจะจากไป
“หวัดดีเคท”
อินซอบทักทายกระถางดอกไม้ที่วางอยู่ตรงหน้าต่างพร้อมกับถอดเสื้อคลุม
เขาไม่อยากจะสร้างความสนิทสนมกับใครในประเทศเกาหลีที่เขาจะจากไปเมื่อเป้าหมายของเขาสำเร็จ แต่สำหรับคนขี้เหงาอย่างเขาแล้ว นี่เป็นช่วงเวลาที่ยากจะอดทนกับการใช้ชีวิตตามลำพังในห้องบนดาดฟ้า เขาอยากเลี้ยงอะไรสักอย่างเพราะรู้สึกเหงา แต่เขาไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้านมากนัก และสิ่งที่เขานึกออกเป็นมาตราการสุดท้ายก็คือดอกไม้
เขาไปที่ร้านดอกไม้แถวบ้านทันทีที่จัดข้าวของสำหรับย้ายบ้านเสร็จ สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขาในร้านนั้นคือดอกมิโมซ่า ภาพที่ใบของมันหุบเวลาที่เขาเอามือไปแตะ ทำให้เขารู้สึกว่ามันคล้ายกับสัตว์มากกว่าพืช
เจ้าของร้านดอกไม้ห่อกระถางดอกไม้พลางบอกเขาว่ามิโมซ่าเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าไมยราบ เธอพูดเสริมอีกว่าภาพใบของมันที่หุบลงเพียงแค่เอามือไปโดนนั้น หมายถึงคนที่อ่อนไหวและมีความละเอียดอ่อน
ในวันนั้นอินซอบถือกระถางดอกไม้กลับบ้านอย่างทะนุถนอมและตั้งชื่อให้ดอกไม้ว่า ‘เคท’
เขามักจะพาเธอออกไปตากแดดด้านนอกในวันที่อากาศดีและเอาเข้ามาวางในบ้านในวันที่อากาศหนาว เขาจดบันทึกการรดน้ำพร้อมกับตรวจสุขภาพของเธออย่างพิถีพิถัน ก่อนนอนเขามักจะใช้มือลองลูบใบของเคทอยู่เสมอ อินซอบมองใบที่ถูกพับเข้าไปพร้อมกับเสียงดัง แซก และได้รับการปลอบใจว่าเขาไม่ได้อยู่ลำพัง สำหรับอินซอบเคทเป็นสิ่งที่เขาเปิดใจให้เพียงหนึ่งเดียวที่เกาหลี
“ฉันบาดเจ็บล่ะ”
เขาโชว์มือให้เคทดูพร้อมกับพึมพำอยู่คนเดียว
“เพราะฉะนั้นก็เลยได้เลิกงานก่อนกำหนด…แต่รู้สึกไม่ค่อยดีเลย”
แม้เขาจะอยากลูบเคท แต่เขากำหนดไว้ว่าจะลูบเคทแค่วันละครั้งก่อนนอนเท่านั้น เจ้าของร้านดอกไม้เตือนเขาว่าถ้าเขาสนุกกับการที่ใบของมันหุบและเอาแต่ลูบอยู่เรื่อยๆ พืชจะได้รับความเครียดและเฉาตายได้ เขาเริ่มคร่ำครวญกับตัวเองทั้งๆ ที่ยังนั่งอยู่บนพื้น
“ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่ฉันต้องการเลยเคท”
ถ้าใครมาเห็นก็คงจะชี้นิ้วมาที่เขาแล้วเรียกว่าคนบ้า แต่สำหรับเขาแล้วเขาต้องการแค่คู่สนทนาที่จะสามารถเปิดใจพูดด้วยได้มากจริงๆ
ชเวอินซอบที่พูดน้อยและทำงานอยู่ข้างๆ อีอูยอนอย่างซื่อสัตย์ไม่ใช่ตัวตนของเขา ปีเตอร์ที่ชอบทำตัวเหมือนเด็ก ขี้เหงา และเป็นเด็กขี้แงที่ชอบคุยกับคนสามารถมีตัวตนได้แค่ตอนที่ประตูของห้องบนดาดฟ้าปิดลงเท่านั้น
“ไม่มีเวลาแล้ว แต่ฉันก็ยังทำพลาดอยู่เรื่อย อีอูยอน ไม่สิ ฟิลลิปน่ะ…ทำให้ฉันอยากจะบ้า ไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่ต้องการเลยสักอย่าง เจนนี่ ขอโทษนะ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ฉันกำลังทำอะไรอยู่”
อินซอบเอามือทั้งสองข้างปิดหน้าเอาไว้ น้ำตาของเขาไหลลงมา มันช่างน่าอาย เพียงแค่พูดชื่อของเจนนี่ออกมา ความรู้สึกผิดกับความละอายใจที่เขากดเอาไว้ก็ถูกอัดเข้าไปในลำคอ มันอัดแน่นจนเขาหายใจไม่ออก
อินซอบนั่งร้องไห้อยู่บนพื้นสักพัก แม้มันจะไม่ได้ทำให้ความรู้สึกผิดเจือจางลง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำได้แค่ร้องไห้
อินซอบลุกขึ้นหลังจากที่ร้องไห้จนคอแห้ง เขาหยิบขวดน้ำแร่ในตู้เย็นออกมาและดื่มน้ำ ในระหว่างที่ดื่มน้ำ น้ำตาของเขาก็ไหลทะลักออกมาด้วย
เขาใช้ฝ่ามือเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ และเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาเช็กโทรศัพท์มือถือและเห็นว่ามีข้อความเข้ามาสองข้อความ ข้อความหนึ่งเป็นเบอร์ที่เขาไม่รู้จัก พออ่านเนื้อหาในข้อความแล้วถึงได้รู้ว่าเป็นนักข่าวที่เขาให้เบอร์โทรศัพท์ไปก่อนหน้านี้
[ยุนอารึมเองค่ะ ต่อไปก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ]
เขาคิดว่าควรจะส่งคำตอบอะไรกลับไปดีไหม แต่แล้วก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้น เพราะเขาคิดว่าถ้าไม่ใช่เรื่องงาน ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องติดต่อกัน ส่วนอีกข้อความหนึ่งมาจากอีอูยอน
[วันนี้ก็พักซะนะครับ เพราะตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปจะเริ่มถ่ายละครแล้ว]
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่อีอูยอนส่งข้อความมา เพียงแค่อ่านข้อความสั้นๆ หัวใจของเขาก็เต้นตึกตัก อินซอบมุดหน้าลงหมอน เขาอ้าปากและกรีดร้องอย่างไร้เสียง จนกระทั่งรู้สึกหายใจไม่ออก
“เหนื่อยจัง…”
เขาดึงหน้าออกจากหมอนและบ่นเงียบๆ
ตอนที่เขาตัดสินใจเดินทางมาที่เกาหลี คนในครอบครัวทุกคนห้ามเขา เหตุผลก็คือนอกจากร่างกายเขาจะอ่อนแอแล้ว พวกเขายังไม่สามารถส่งเขามาที่ประเทศอื่นที่ไม่มีคนรู้จักอยู่ได้
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาดื้อรั้นทำอะไรโดยไม่มีแผน เพราะเขารู้ดีว่าต่อให้พูดเสียงดังแค่ไหน มันก็ไม่มีประโยนช์อะไร เขาเริ่มทำงาน เขาตื่นตั้งแต่เช้ามืด และทำงานที่เขาจะสามารถหาเงินได้ตั้งแต่ล้างจานที่ร้านอาหารไปจนถึงการทำความสะอาดโดยไม่เกี่ยงงาน ในระยะเวลาที่เหลือเขาเรียนภาษาเกาหลีทุกครั้งที่ว่าง และเขาก็ไม่หยุดออกกำลังกายด้วย เขาใช้เวลาหนึ่งปีในการรวบรวมเงินทั้งหมดตามที่กำหนดไว้ จากนั้นเขาก็นั่งคุกเข่าต่อหน้าพ่อพร้อมกับถือสมุดบัญชีที่เก็บเงินที่ตนรวบรวมเอาไว้ในมือ ก่อนจะพูดเรื่องการไปเกาหลีอีกครั้ง พ่อมองหนังด้านๆ ที่เกิดขึ้นบนมือของลูกชายและพยักหน้า
พ่อให้ลูกชายสัญญาว่าจะไปแค่หนึ่งปี และจะต้องติดต่อกลับมาสามวันต่อหนึ่งครั้ง ถ้าโทรศัพท์มาหาไม่ได้ ก็ให้ส่งอีเมลมา แต่จะต้องติดต่อกลับมา นอกจากนั้นเขายังจะต้องไปตรวจสุขภาพตามที่กำหนดที่โรงพยาบาลและสแกนผลตรวจส่งกลับมาด้วย ถึงจะอนุญาตให้เดินทางไปเกาหลี
ถ้าจะให้เขาเขียนความลำบากที่เจอหลังจากที่มาถึงเกาหลีออกมาเป็นตัวหนังสือ สมุดโน้ตสิบเล่มก็ยังไม่พอ อันที่จริงแล้วไดอารี่ที่เขาเขียนด้วยน้ำตาในตอนนั้นนับได้สิบสามเล่มพอดี
และแล้วเขาก็สามารถมายืนอยู่จุดนี้ได้ในตอนนี้ ถ้าเทียบกับตอนที่เขาต้องติดตามอีอูยอนและรวบรวมข้อมูลเหมือนสตอล์กเกอร์แล้ว สถานการณ์ในตอนนี้ดีกว่ามาก
แต่เขาก็ยังเหงา
เขาสบายตัว แต่ความเหนื่อยล้าทางจิตใจยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูด เขามีนิสัยขี้แงและขี้กลัว แต่พอแสดงนิสัยเหล่านั้นออกไปไม่ได้ เขาก็รู้สึกเหมือนจะตาย
วันนี้พอเห็นเลือดไหลตอนที่มือเป็นแผล เขาเกือบจะเป็นลม ถึงจะหาผ้าเช็ดหน้ามาพันแผลได้อย่างหวุดหวิด แต่ตอนที่จะต้องเห็นผิวหนังที่เปิดออกอีกครั้ง แซนด์วิชที่กินไปเมื่อเช้าก็เกือบจะตีย้อนกลับขึ้นมา
“เหนื่อยจัง เหมือนจะตายเลย เหงาด้วย…คิดถึงแม่ คิดถึงวิล คิดถึงคุณยาย คิดถึงแมรี่ คิดถึงนิโคลัส อยากกลับบ้าน เบื่อแซนด์วิชของปารีสบาแกตต์แล้ว แฟนคลับที่เอาแต่ใจก็น่ากลัว…เหงาจัง”
เขาดึงหมอนมากอดและทำตัวเหมือนเด็กอย่างเต็มที่ เขาทำตัวอ่อนแอให้เต็มที่ตอนที่อยู่คนเดียว เพราะน่าจะไม่มีใครเห็น
“เกลียดฟิลลิป…เกลียดอีอูยอน เกลียด เกลียด เกลียด เกลียดมากๆ … จะต้องเกลียด เพราะเราเกลียดเขา เกลียด ไอ้คนชั่ว ไอ้คนชั่ว ไอ้คนชั่ว”
เขาเอาแก้มข้างหนึ่งแนบกับหมอนและพึมพำซ้ำๆ คำพูดทั้งหลายสั่งสมอยู่ในใจของเขาเหมือนกับท่องคาถา ในตอนที่เขาพูดคำว่าไอ้คนชั่วกับคำว่าเกลียดซ้ำประมาณร้อยรอบ โทรศัพท์มือถือของอินซอบก็ดังขึ้น
ชเวอินซอบเด้งตัวและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เป็นกรรมการผู้จัดการคิมนั่นเอง
“กรรมการผู้จัดการ ชเวอินซอบเองครับ”
เขากลับมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวที่มีความเป็นผู้ใหญ่ นั่งคุกเข่าและเริ่มคุยโทรศัพท์
[อินซอบ นายอยู่ไหนน่ะ ไม่ได้อยู่กับอีอูยอนเหรอ]
อินซอบเถียงกับตัวเองในใจอยู่พักหนึ่ง เขาจะเล่าเรื่องที่มือของเขาบาดเจ็บเพราะแฟนคลับแปลกๆ หรือจะกุเรื่องขึ้นมาดี
“อยู่บ้านครับ พอดีมีธุระด่วน ผมก็เลยกลับมาก่อนน่ะครับ”
เขาอธิบายสถานการณ์ของตัวเองด้วยคำพูดที่ไม่ได้โกหกแต่ก็ไม่ใช่ความจริง
[ว่าแล้วเชียว เห็นจู่ๆ หัวหน้าทีมชาก็โดนเรียกออกไปน่ะสิ]
“หัวหน้าทีมชาเหรอครับ”
[ใช่ ฉันคิดไว้แล้วเชียวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพราะจู่ๆ อีอูยอนก็บอกว่ามีงานด่วนและขอให้ไปช่วยขับรถให้หน่อย]
“…”
คำสัญญาของอีอูยอนมีแค่เรื่องที่จะไม่บอกว่าตนบาดเจ็บเท่านั้น ถ้าจะให้พูดอย่างละเอียดก็คืออีกฝ่ายไม่ได้โกหก
“ขอโทษนะครับ ผมจะออกไปอีกครั้งเดี๋ยวนี้เลย”
[ไม่ต้องหรอก ไม่เป็นไร หัวหน้าทีมชาเหนื่อยแค่วันเดียวเอง]
“ไม่ครับ ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้”
[…อีอูยอนบอกว่าถ้าเรียกนายมา ต่อไปเขาใช้งานหัวหน้าทีมชาในฐานะผู้จัดการส่วนตัวประจำ เอาน่า วันนี้พักอยู่บ้านไปจะดีกว่า ฉันโทรศัพท์มาหาเพราะสงสัยว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่าเฉยๆ]
อินซอบรู้สึกเป็นทุกข์ทันทีเมื่อนึกถึงสีหน้าของหัวหน้าทีมชาที่ซีดเซียวเป็นพิเศษในวันที่ตนกลับมาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอน
แม้เขาจะไม่อยากสนิทสนมกับใคร แต่เขาก็ไม่อยากสร้างความลำบากให้ด้วยเหมือนกัน
“ขอโทษนะครับ เป็นเพราะผมแท้ๆ”
[ไม่เป็นไรน่า ยิ่งไปกว่านั้นนะ วันนี้น่ะ…ฮ่าๆๆๆ จริงสิ คืนนี้เข้ามาที่บริษัทได้ไหม]
“ได้ครับ ให้ผมไปกี่โมงดีครับ”
[มาสักสามทุ่มก็ได้ ตอนนั้นหัวหน้าทีมชาน่าจะหลุดพ้นแล้วล่ะ]
อินซอบหยิบปากกาและจดลงสมุดโน้ตไว้ว่า ‘เข้าบริษัทตอนสามทุ่ม’ แม้เขาไม่มีทางที่จะลืม แต่เขาจะต้องเขียนทุกอย่างลงไปแบบนี้ถึงจะสบายใจ
“ครับ ผมจะไปก่อนหน้านั้นครับ”
[ไม่ต้องๆ มาตรงเวลาเลย เข้าใจไหม]
“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะไปให้ตรงเวลาครับ”
“โอเค เหนื่อยหน่อยนะ”
โทรศัพท์ถูกวางสายไปแล้ว
อินซอบวางโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะอีกครั้ง และดึงหมอนมากอด
“ไม่อยากไปเลย…ไม่อยากไปเลย”
เขาอยากดูเป็นมืออาชีพ จึงตอบว่าจะไปโดยไม่ถามเหตุผล แต่ภายในใจกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น ในวันแบบนี้เขาอยากพักอยู่บ้านให้เต็มที่ เขารู้สึกเจ็บที่มือที่ได้รับบาดเจ็บ และเขาก็รู้สึกเหนื่อยใจด้วย เขาปรารถนาอย่างมากที่จะใช้เวลาของวันนี้ให้หมดไปกับการอ่านนิยายที่อ่านค้างไว้ก่อนหน้านี้
“ไม่ได้ ตั้งสติซะ”
เขาลุกขึ้นและตบแก้มทั้งสองข้าง ว่ากันว่า ‘การทำใจให้สงบด้วยความเจ็บปวดเป็นวิถีปฏิบัติของศาสนาพุทธ’ ใช่ไหม
พระผู้เป็นเจ้าครับ ขอโทษนะครับ ผมจะใช้ชีวิตเยี่ยงชาวพุทธแค่ตอนที่อยู่ที่เกาหลีเท่านั้น
ตอนที่ความเจ็บแสบจางๆ ที่แก้มหายไป เขาก็รู้สึกว่าหัวใจพลันอ่อนแอขึ้นมาอีกครั้ง อินซอบใช้ฝ่ามือฟาดซ้ำที่แก้มอีกครั้ง
เขาคิดว่าถ้าทั้งร่างกายและหัวใจคุ้นเคยกับความเจ็บปวด จนไม่สามารถรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้อีกก็คงจะดี และอินซอบก็มองตนเองในกระจก
***
“…คุณอินซอบ”
อินซอบหันกลับไปมองด้วยความตกใจ เพราะเสียงที่เรียกตนอย่างเยือกเย็นจากทางด้านหลัง หัวหน้าทีมชาที่กำลังสูบบุหรี่อยู่นั้นเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าย่ำแย่ อินซอบซ่อนมือที่พันผ้าพันแผลไว้ในกระเป๋ากางเกงอย่างเร่งรีบ
“หัวหน้าทีมครับ วันนี้…”
“จัดการเรื่องด่วนเสร็จหมดแล้วเหรอ”
“ครับ ขอโทษด้วยนะครับ”
ถึงเขาจะไม่อยากสร้างความลำบากให้ แต่สุดท้ายเขาก็สร้างความลำบากให้อีกฝ่ายอยู่ดี อินซอบไม่พูดอะไรอีกต่อไป
“ดีแล้ว ดี…ได้ หวังว่าในอนาคตคงจะไม่มีเรื่องด่วนอีกแล้วนะ”
“ครับ ทราบแล้วครับ”
“วันนี้ฉันน่ะ…เอาเถอะ ก็แค่วันนี้ล่ะนะ”
หัวหน้าทีมชาโอบไหล่อินซอบไว้ อินซอบรู้สึกเหมือนจะสำลักเพราะกลิ่นบุหรี่คลุ้งไปทั่ว แต่เขาก็พยายามกลั้นไว้อย่างเป็นผู้ใหญ่
หลังจากขึ้นลิฟต์มาแล้ว หัวหน้าทีมชาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือที่โอบไหล่เขาไว้ ในระหว่างที่อินซอบกำลังคิดว่าต้องเอามือลงตอนไหนถึงจะดูเป็นธรรมชาติดี ลิฟต์ก็หยุดที่ห้องทำงานที่อยู่ชั้นเก้า
ไฟในห้องทำงานปิดหมดแล้ว อินซอบตกใจ และมองไปที่หัวหน้าทีมชาที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ดูเหมือนกรรมการผู้จัดการจะเลิกงานแล้วนะครับ”
“เอ๋? นั่นสิ แต่เขาก็บอกว่าจะรออยู่ที่นี่นี่นา”
“เมื่อกี้เขายังสั่งให้มาที่นี่ตอนสามทุ่มตรงอยู่เลย…”
ตอนนั้นเองจู่ๆ ไฟในห้องทำงานก็ถูกเปิด และประกายไฟก็ลอยขึ้นมาจากตรงนั้นตรงนี้
“เซอร์ไพรส์!”
“ตกใจล่ะสิ!”
“ว้าก!”
อินซอบส่งเสียงร้องและกอดหัวหน้าทีมชาไว้ ยิ่งเมื่อคนที่ซ่อนอยู่ตามมุมต่างๆ ของห้องทำงานดึงพลุสายรุ้งอย่างช้าๆ อินซอบก็ร้องเสียงดังกว่าเมื่อกี้และดึงคอหัวหน้าทีมชาเข้ามากอดแน่นกว่าเดิม