“ผมเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนครับ”
ทันทีที่คำยืนยันหลุดออกมาจากปากของอินซอบ เธอก็พูดว่า ‘ไม่น่าเชื่อ’ และตื่นตระหนกขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ
“จริงเหรอคะ จริงๆ เหรอคะ เป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนจริงๆ เหรอคะ”
“ครับ”
“ว้าว ดีจัง ถ้าอย่างนั้นก็ได้เห็นหน้าใกล้ๆ ได้คุย แล้วก็ได้กินข้าวด้วยกันทุกวันสินะคะ”
“ครับ ก็กินข้าวด้วยกันบ้าง แต่…”
“ดีจัง! น่าอิจฉา! แล้วเป็นไงคะ ตัวจริงของอีอูยอนน่ะเป็นคนมีมารยาทและใจดีขนาดนั้นไหม”
อินซอบที่ลังเลอยู่พักหนึ่งตอบว่า ‘ครับ’
“ฉันเห็นเขาไกลๆ เมื่อกี้ เขาหล่อมากจริงๆ ค่ะ ถ้ามองใกล้ๆ ก็จะยิ่งหล่อเข้าไปอีกใช่ไหมคะ”
อินซอบยิ้มเจื่อน เขาไม่คิดที่จะเถียงคำพูดของเธอที่ชมว่าอีอูยอนหล่อ
“แล้วพวกคุณสนิทกันมากไหมคะ จะช่วยขอให้เขาถ่ายรูปกับฉันสักครั้งได้หรือเปล่า”
“ขอโทษนะครับ ดูเหมือนเรื่องนั้นจะยากเกินไป”
“อ๋า คุณอีอูยอนไม่ชอบเรื่องแบบนั้นสินะคะ”
“ไม่ใช่หรอกครับ…คือผมไม่สนิทกับคุณอีอูยอนน่ะครับ”
อินซอบพูดแบบนั้นและก้มหน้าลง
ถึงตอนนี้จะยังไม่สนิทกัน แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะสนิทกับอีกฝ่ายในอนาคต เป้าหมายของเขามีเพียงแค่รีบหาจุดอ่อนของอีอูยอนให้เจอไวๆ และกลับอเมริกาเท่านั้น เขาต้องคิดถึงเรื่องนั้น แต่เขาก็ดันคิดเรื่องอื่นจนภายในหัวสับสนวุ่นวายอยู่เรื่อย
“เพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นานเหรอคะ”
“ครับ”
“งั้นค่อยๆ สนิทกันไปก็ได้ค่ะ จะเศร้าอะไรขนาดนั้นล่ะคะ”
หญิงสาวตีความสีหน้าเหงาหงอยของอินซอบไปในความหมายอื่น เธอยิ้มสดใสพลางตบไหล่เขา อินซอบเผลอพึมพำความคิดที่อยู่ในใจออกมาเพราะรอยยิ้มงดงามนั้น
“คงจะไม่สนิทกันหรอกครับ”
“คะ?”
“คง…จะไม่สนิทกันต่อไปเรื่อยๆ นั่นแหละครับ”
“เอ๋ มีอย่างนั้นที่ไหนล่ะคะ พอเวลาผ่านไปก็ต้องสนิทกันมากกว่าเดิมสิคะ อย่ากังวลไปเลยค่ะ คุณเป็นแบบนั้นเพราะเพิ่งเริ่มทำงานที่แรกใช่ไหมคะ ฉันก็เหมือนกันค่ะ ฉันอยากเป็นนักแสดงหญิงแถวหน้าของเกาหลี แต่ก็ได้รับบทหญิงเจ้าของโรงเตี๊ยมตลอดเลย แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ใช้ชีวิตอยู่โดยคิดว่าเดี๋ยวฉันก็จะได้รับบทที่ดีขึ้นเองแหละ”
ฝ่ายนั้นเป็นคนสดใสมาก เขารู้สึกว่าถ้าอยู่ข้างๆ เธอ เขาจะพลอยได้รับความสดใสนั้นไปด้วย อินซอบกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“สู้นะคะ เพราะถึงแม้จะทำงานแล้วก็ยังเจอเจ้านายที่ประหลาดแบบนั้นได้ ตอนที่ฉันทำงานที่บริษัทประกันสมัยก่อนน่ะ มีหัวหน้าแผนกที่นิสัยเสียเหมือนกับคังยองโมเปี๊ยบอยู่ด้วย น่ารำคาญมากเลยค่ะ รู้ไหมคะว่าเขาสั่งให้ฉันไปส่องกระจก และเยาะเย้ยฉันขนาดไหนตอนที่ฉันต้องลดน้ำหนัก เพราะไปเรียนที่สถาบันสอนการแสดง”
“ทำไมล่ะครับ คุณก็สวยนี่ครับ”
“ฉันว่าคุณอินซอบก็เอาใจเก่งอยู่เหมือนกันนะคะเนี่ย แต่ก็นั่นแหละค่ะ ชีวิตการทำงานก็แบบนั้นแหละ”
“ผมไม่ได้เอาใจนะครับ คนทุกคนสวยกันหมดแหละครับ”
“ตายแล้ว ตายแล้ว ถึงจะไม่ได้ดูเป็นแบบนั้น แต่คุณก็มีนิสัยของคาสโนว่าอยู่ในทีเหมือนกันนะคะเนี่ย”
“เปล่านะครับ ผมไม่ได้พูดเพื่อที่จะทำแบบนั้นนะ…”
“ฮ่าๆๆๆ รู้แล้วค่ะ คุณอินซอบน่ารักมากเลยนะคะ แยกคำพูดล้อเล่นไม่ออกจนหน้า…”
อีอึนยองพูดเพียงเท่านั้น เธออ้าปากค้างด้วยความตกใจเหมือนคนเห็นผี ชเวอินซอบหันมองตามสายตาของอีกฝ่าย
“อยู่ที่นี่เองเหรอครับ ผมหาตั้งนาน”
“…!”
อินซอบที่ตกใจดีดตัวขึ้นมาจากที่นั่ง อีอูยอนยืนยิ้มหวานพร้อมกับกอดอกและถือบทไว้ในมือ
“คุณอินซอบเก็บกุญแจรถไว้ใช่ไหมครับ”
“ครับ? อ๋อ ครับ ผมเก็บไว้ครับ”
ทันทีที่อินซอบลนลานควานหาของในกระเป๋ากางเกง อีอูยอนก็ยกมือขึ้นมาเหมือนกับจะบอกว่าพอแล้ว
“เดินไปคุยไปก็ได้ครับ”
อีอูยอนทักทายหญิงสาวที่กำลังมองตนด้วยสีหน้าตกใจทางสายตาพร้อมกับจับแขนอินซอบไว้
ชเวอินซอบตกใจและสะบัดแขนที่ถูกอีอูยอนจับไว้ออก ไม่มีใครเห็นว่าความเย็นชาได้ฉายผ่านเข้ามาในดวงตาของอีอูยอนที่กำลังยิ้มอยู่เลย
“ขอโทษครับ คุณน่าจะยังเจ็บมืออยู่ ผมเองก็ไม่ได้ใส่ใจเลย”
อีอูยอนสร้างเหตุผลเกี่ยวกับการที่ชเวอินซอบสะบัดแขนของตนไว้แล้ว
“…ครับ ไม่เป็นไรครับ”
อินซอบที่ไม่สามารถพูดโกหกได้เลยเบนสายตาไปด้านข้าง อูยอนที่มองผู้จัดการส่วนตัวที่ไม่ยอมสบตา และใช้มืออีกข้างถูแขนที่โดนเขาจับรู้สึกไม่สบอารมณ์
ไอ้โง่นี่ พอฉันทำดีด้วยก็ไม่รู้จักฐานะของตัวเองเลยนะ
พวกนักแสดงตัวประกอบหรือพวกสตาฟเหลือบมองด้านข้างของอีอูยอนที่คิดแบบนั้นด้วยใบหน้าหล่อสะอาดสะอ้านในขณะที่เดินไปด้วย
“พอดีผมลืมของไว้ในรถน่ะครับ ช่วยไปเป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม”
“เดี๋ยวผมไปเอามาให้ครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมต้องหาก่อนน่ะ”
“ครับ นี่ครับ”
ชเวอินซอบเอาเสื้อตัวนอกของอีอูยอนที่ตนถืออยู่คลุมไหล่ให้อีกฝ่าย
แล้วคนทั้งคู่ก็เริ่มเดินข้างกัน อีอูยอนฮัมเพลงในขณะที่เดินและทักทายคนที่เจอไปด้วย ชเวอินซอบเองก็ทำได้แค่ทักทายคนอื่นอยู่ข้างๆ อีกฝ่าย และไม่มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นระหว่างคนทั้งคู่
นี่มันน่าอึดอัดกว่าเมื่อกี้อีก ไม่ชอบเลย…อยากกลับบ้านแล้ว
“ที่ผมพูดไปก่อนหน้านี้น่ะครับ”
อีอูยอนเป็นฝ่ายพูดก่อน แต่เพราะสายตาของเขาที่ทำตายิ้มพร้อมกับมองตนอยู่นั้น ทำให้อินซอบตอบกลับด้วยน้ำเสียงอึกอักทันที
“ไม่เป็นครับ ผมคิดว่ามันเป็นชีวิตการทำงาน และจะอดทนกับมันครับ คุณไม่ต้องใส่ใจก็ได้ครับ ผมเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนักหรอกครับ”
พูดจบ อินซอบก็กัดปลายลิ้นของตัวเองในปาก
ไม่ใช่สิ ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดประโยคสุดท้ายซะหน่อย พูดแบบนั้นจะต่างอะไรกับการบอกให้เขาช่วยใส่ใจเราหน่อยล่ะ
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะครับ บางทีผมน่าจะไปถามเพื่อนคนเมื่อกี้นี้ดูนะครับ”
“ครับ? เพื่อนเหรอครับ”
“ก็ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ คุณอินซอบไงครับ ไม่ใช่เพื่อนใหม่เหรอ”
“อ๋อ คุณอึนยอง…เปล่าครับ เราไม่ได้เป็นเพื่อนกันหรอก ก็แค่…”
“แค่?”
“แค่คุยกันเฉยๆ ครับ แต่ดูเหมือนเธอจะเป็นคนดีนะครับ”
แม้จะตอบไปแล้ว แต่อินซอบก็ไม่สามารถลบความรู้สึกแปลกๆ ที่เหมือนกับว่าเขาโดนซักถามได้
“ได้ยินมาว่ามันไม่จำเป็นนี่”
อินซอบที่ได้ยินอีอูยอนพึมพำเสียงเบาก็ถามกลับมาว่า ‘ครับ?’
“เปล่าครับ เพราะอย่างนั้นก็เลยจะสนิทกับเขามากขึ้นเหรอครับ”
“ไม่รู้เหมือนกันสิครับ เพราะผมก็เพิ่งเจอเธอวันนี้ครั้งแรก”
“แล้วจะสนิทกันได้ไหมครับ”
“…?”
“สนิทกันในขณะที่บอกว่าจะไม่สนิทกับผมน่ะ”
“…!”
เขาไม่คิดว่าอีอูยอนจะได้ยินตั้งแต่ตรงนั้น ใบหน้าของชเวอินซอบซีดและกลายเป็นสีเขียวสลับกัน
“ทำไมล่ะครับ ทำไมถึงจะไม่สนิทกับผมล่ะ คุณเป็นผู้จัดการส่วนตัวของผมนะครับ”
“เรื่องนั้นน่ะ…เพราะผมยังทำงานได้ไม่ดี ผมก็เลย…”
“คุณอินซอบทำงานเก่งนะครับ”
อีอูยอนค่อยๆ หลับตาและลืมตาขึ้น ภาพของอีกฝ่ายที่ทำให้แสบตาจนต้องหยีตาเนื่องจากแดดที่ส่องลงมาปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในตาของอินซอบ
“คุณทำงานดีที่สุดในบรรดาผู้จัดการส่วนตัวที่ผ่านมาของผมเลย แล้วคุณก็ไม่เคยทำพลาดด้วย”
อินซอบพยักหน้าเงียบๆ ให้กับคำชมที่เขาไม่รู้ว่าจะต้องดีใจหรือเสียใจดี
“แล้วเรื่องทำงานไม่เก่งมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่จะสนิทกันล่ะครับ ใช่ไหม”
“…ครับ”
“ยิ่งไปกว่านั้นคุณอินซอบเป็นผู้มีพระคุณในชีวิตผมนะครับ”
“…ครับ”
“เพราะฉะนั้นเรามาสนิทกันเถอะครับ”
ใบหน้าของอินซอบยุ่งเหยิงเพราะคำพูดนั้น อีอูยอนกำลังยิ้ม แต่อารมณ์ของเขาไม่ได้ดีไปด้วยเลย เขาไม่สบอารมณ์กับท่าทีของผู้จัดการส่วนตัวโง่เง่า แม้จะเป็นคำพูดที่ไม่มีความหมายอะไรอย่างเช่นคำว่า ‘ไว้ไปกินข้าวกันสักมื้อนะครับ’ แต่อีกฝ่ายก็ไม่สามารถตอบว่า ‘ได้ครับ’ ได้ทันที
“เกลียดผมเหรอครับ”
อีอูยอนถาม
ชเวอินซอบตกใจเหมือนคนโดนปลายมีดแหลมๆ แทงกระดูกสันหลัง และตอบกลับไปว่า ‘เปล่าครับ’
“ฮ่าๆๆๆ ผมรู้ครับ ว่าคุณอินซอบไม่มีทางเกลียดผมหรอก ก็คุณเป็นคนที่เสี่ยงชีวิตช่วยผมไว้นี่นา”
อินซอบรู้สึกอึดอัดใจกับบทสนทนานี้ขึ้นเรื่อยๆ เขารู้สึกเสียใจที่ตัดสินใจทำแบบนี้ รู้อย่างนี้เขาน่าจะยื่นกุญแจรถให้อีอูยอนแล้วบอกว่าตนจะรออยู่ตรงนี้ดีกว่า
“ว่าแต่ที่บอกว่าไม่ต้องใส่ใจเนี่ย หมายถึงอะไรเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรครับ”
อินซอบคิดว่าจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับคังยองโมเมื่อกี้นี้ให้อีอูยอนฟัง เขาสบตากับอีอูยอนจากที่ไกลๆ ในตอนที่คังยองโมเอาบทที่ม้วนอยู่ฟาดหัวเขา
เขาสบตากับอีกฝ่ายอย่างแน่นอน…
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”
“เปล่าครับ ไม่ได้มีเรื่องอะไรครับ”
เขาไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องราวมันใหญ่โตโดยไม่จำเป็น ไม่สิ ต่อให้เขาพูดไป แต่อีอูยอนก็คงไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่อยู่ดี
อีอูยอนยื่นมือออกมาทันทีที่มาถึงรถ ชเวอินซอบหยิบกุญแจออกจากกระเป๋าแล้วส่งให้อีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไร อีอูยอนทำท่าเหมือนมาหาอะไรบางอย่างที่สำคัญหยิบปากกาด้ามหนึ่งออกมาจากเบาะหลัง
“เจอแล้วครับ”
“ไม่มีของอย่างอื่นแล้วเหรอครับ”
“ครับ ผมจะต้องใช้ปากกาด้ามนี้ขีดเส้นในขณะที่ท่องบทถึงจะจำบทพูดได้ดีน่ะครับ”
ปกติแล้วอีอูยอนจำบทพูดง่ายๆ ได้ด้วยการไล่สายตาอ่าน คำพูดนั้นของเขาจึงฟังดูน่าสงสัย แต่อินซอบก็ไม่ได้พูดอะไร เขาล็อกประตูรถ และดึงที่จับประตูถึงสองรอบเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าประตูถูกล็อกแล้วหรือยัง
“ทำไมต้องดึงตั้งสองรอบล่ะครับ”
“เป็นการดับเบิ้ลเช็กน่ะครับ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
สายตาของอีอูยอนที่ก้มลงมองอินซอบค่อยๆ ลุ่มลึกขึ้น
“การออกเสียงดีนะครับ”
”ครับ?”
“การออกเสียงภาษาอังกฤษน่ะ ดูเหมือนจะดีกว่าการออกเสียงภาษาเกาหลีซะอีก”
“ไม่หรอกครับ ไม่เลย การออกเสียงภาษาเกาหลีต้องดีมากกว่าอยู่แล้วครับ”
ชเวอินซอบโบกมือเหมือนนกตีปีกพลางทำหน้าตาเคร่งเครียด อีอูยอนยิ้ม
“ผมชมว่าภาษาอังกฤษคุณดีนะครับ คุณไม่ชอบเหรอ”
“ขอบคุณครับ”
เหงื่อเย็นๆ ไหลลงมาตามหลัง เขาทำพลาดอีกแล้ว
ชเวอินซอบตั้งใจว่าถ้าเป็นไปได้ เขาจะไม่พูดอะไรกับอีอูยอนนอกจากคำพูดที่จำเป็น และจะต้องตอบคำถามของอีกฝ่ายด้วยคำตอบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“ถ้ารอแล้วหนาว ก็รอที่รถได้นะครับ”
“ไม่ต้องหรอกครับ”
“แต่คุณจะเหนื่อยนะครับ ในกรณีอย่างละครอิงประวัติศาสตร์น่ะ การรอเข้าฉากมันนานมากเลย”
“ครับ”
ผู้ช่วยผู้กำกับหาอีอูยอนจนเจอและโบกมือเรียกจากที่ไกลๆ อีอูยอนถอดเสื้อนอกที่กำลังสวมอยู่ออกและยื่นให้อินซอบ
“จะต้องเป็นวันที่ยาวนานแน่ๆ เลยครับ”
พูดจบ อีอูยอนก็ก้าวฉับๆ จากไป ส่วนชเวอินซอบยืนมองด้านหลังของอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไร