“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ครับ ไม่เป็นอะไรคะ…แหวะ”
ชเวอินซอบที่เดินอยู่ข้างหน้ายันกำแพงไว้ และอ้วกออกมาก่อนจะเริ่มเดินอีกครั้ง เขาไม่สามารถปฏิเสธเหล้าที่คนในปาร์ตี้บังคับให้ดื่มได้ และรับมาดื่มทีละแก้วๆ จนกลายเป็นแบบนี้
ไม่ว่าจะให้ขึ้นแท็กซี่หรือจะพาไปส่ง อินซอบก็ยืนกรานที่จะปฏิเสธด้วยความเกรงใจ เขาเพียงแค่พูดอ้อแอ้ซ้ำๆ ว่าเขาไม่เป็นอะไร เพราะเขาสามารถเดินจากบริษัทไปที่บ้านได้
อีอูยอนที่พาอินซอบไปส่งที่บ้านวันนี้รู้ว่าคำพูดนั้นไม่ผิดอะไรเลย บ้านของอินซอบตั้งอยู่ระหว่างบริษัทกับบ้านของอีอูยอน และก็อยู่ในระยะที่พอจะเดินไปได้
“อ่า…อื้อ…”
แต่แน่นอนว่าต้องเดินในสภาพที่มีสติอยู่กับตัว
สุดท้ายชเวอินซอบที่เดินแล้วก็ยันกำแพง แล้วก็เริ่มเดินและกลับมาพิงกำแพงอีกครั้งก็ทรุดตัวนั่งลงกับพื้น
อีอูยอนส่งสายตาอึดอัดใจไปให้อินซอบที่เป็นแบบนั้นในขณะที่ยังเอามือล้วงกระเป๋าอยู่ อีอูยอนไม่ค่อยได้เดินกลับบ้านไม่ว่าจะดึกขนาดไหน แต่ทุกคนอยู่ในสภาพที่เมาแอ๋เพราะปาร์ตี้ที่จัดขึ้นภายในหลังจากที่ไม่ได้จัดมานาน ทันทีที่ปาร์ตี้เริ่มขึ้น หัวหน้าทีมชาก็ถือขวดไวน์เอาไว้และเริ่มดื่มโดยที่ใครก็ไม่มีโอกาสได้ห้าม นี่เป็นการแสดงออกถึงความตั้งใจที่แน่วแน่ว่าเขาไม่อยากเป็นคนขับรถให้อีอูยอน
พนักงานคนอื่นก็ดื่มกันอยู่ในบรรยากาศที่สนุกสนานทันทีที่อินซอบเข้ามา อีอูยอนเองก็ดื่มไวน์ที่กรรมการผู้จัดคิมผู้มีสีหน้าเศร้าสร้อยรินให้ไปสองสามแก้ว สุดท้ายก็ไม่มีใครพาอีอูยอนกลับไปส่ง ในที่สุดอีอูยอนก็ต้องเดินตามอินซอบกลับบ้าน เพราะเขาถือคติว่าจะไม่เรียกใช้บริการคนขับรถแทนเด็ดขาด
“อ่า…มึนจังเลย”
“ว่าอะไรนะครับ”
“มึน ไม่สิ เวียนหัวจังเลยครับ”
อินซอบพึมพำคำพูดที่ฟังไม่รู้เรื่องทั้งๆ ที่ยังก้มหน้าอยู่
“ลุกขึ้นเถอะครับ การนอนกลางถนนในอากาศแบบนี้มันเกินไปนะครับ”
“ครับ”
อินซอบตอบอย่างเดียว และไม่คิดที่จะลุกขึ้นเลย
“จะอยู่ตรงนี้เหรอครับ”
“ครับ…”
“งั้นผมไปก่อนนะครับ”
“ครับ กลับดีๆ …”
อินซอบไม่สามารถพูดคำว่า ‘กลับดีๆ นะครับ’ ให้จบได้และไถลตัวลงไปตามกำแพง อีอูยอนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเช็กสภาพอากาศวันนี้
สามองศา
นี่ยังไม่ใช่อากาศที่จะแข็งตายแม้ต้องนอนข้างถนนสักคืน
อีอูยอนทิ้งชเวอินซอบที่กำลังนอนลงไว้ด้านหลังและเริ่มออกเดิน คนที่เดินอยู่ตามถนนรีบสาวเท้าเร็วๆ เพราะอากาศตอนกลางคืนที่หนาวเย็น อีอูยอนกดหมวกให้ต่ำลงและปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งของตนเอาไว้ แต่คนที่เดินผ่านไปมาประมาณสองสามคนก็ยังหันกลับมามองอีอูยอน แต่ไม่มีใครหยุดเดินและคุยกับเขา
ถึงกระนั้นอีอูยอนก็ยังหยุดเดินกลางทางอยู่ดี
เขาจมอยู่กับความคิดสักพักหนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจวกกลับไปตามทางที่เดินขึ้นมาและเริ่มเดินลงไปใหม่
ชเวอินซอบกำลังนอนอยู่บนพื้นในท่าที่ล้มลงไปเมื่อกี้
“ลุกครับ”
ถึงอย่างนั้นก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีแม้แต่คำตอบลวกๆ ตอบกลับมา เพราะอีกฝ่ายหลับไปตั้งแต่แรกแล้ว ที่ถนนตอนนี้มีเพียงเสียงรถที่ผ่านไปมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น
อีอูยอนใช้ปลายเท้าสะกิดไหล่ของชเวอินซอบ อินซอบเพียงแค่นิ่วหน้าเท่านั้น ไม่มีวี่แววว่าจะลุกขึ้นมา อีอูยอนใช้เท้ากดไหล่ของอินซอบไว้และเริ่มเขย่าตัวอีกฝ่าย แต่ก็เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์
ถ้าเขาทิ้งชเวอินซอบไว้แบบนี้ ก็จะเป็นอุปสรรคต่อตารางงานในตอนเช้าของเขาอย่างแน่นอน เขาจะต้องเตรียมตัวตั้งแต่เช้ามืด เพราะเป็นวันที่เริ่มถ่ายละคร
แต่ถ้าชเวอินซอบไม่โผล่หัวมา อีอูยอนสามารถไล่อีกฝ่ายออกได้ด้วยข้ออ้างนั้น นี่เป็นโอกาสที่ดีมากๆ ถ้าเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนอื่นเขาจะไม่สนใจกับคำอ้อนวอนและทำแบบนั้นทันที เพราะนี่มันก็ผ่านมาตั้งหนึ่งเดือนแล้ว
อีอูยอนทอดสายตามองหน้าของชเวอินซอบที่นอนอยู่บ้านพื้น
ใบหน้าของอีกฝ่ายอ่อนเยาว์ถึงขนาดที่เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายยังเป็นเด็กนักเรียนที่ต้องไปเรียนอยู่
และร่างกายที่ผอมแห้งถึงขนาดที่สูทที่ใส่ไปไหนมาไหนนั้นใหญ่เกินตัว เขาประหลาดใจว่าอีกฝ่ายจัดการงานที่เยอะขนาดนั้นได้อย่างไรด้วยร่างกายเล็กๆ นั่น
“คุณกำลังทำอะไรอยู่กันแน่”
โลกคือสิ่งที่เขาไม่เข้าใจมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หลังจากที่รู้แบบนั้น อีอูยอนก็ใช้ชีวิตไปพร้อมกับหลอกคนรอบข้างอย่างพอประมาณ เขารู้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วว่าการคิดหรือกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่สามารถเข้าใจได้นั้นเป็นเรื่องเสียเวลา
แต่นี่แตกต่างออกไปนิดหน่อย
ในตอนที่อยู่ในห้องพักฟื้นถ้าอีอูยอนเริ่มคิดว่าทำไมชเวอินซอบถึงทำเป็นแบบนั้น เขาก็จะไม่สามารถหยุดคิดได้ พอตั้งสติได้ตนก็เดินเข้าไปในห้องพักฟื้นข้างๆ และกำลังทอดสายตามองชเวอินซอบที่หลับอยู่แล้ว
แต่เขาก็ยังไม่ได้คำตอบที่ถูกต้อง
อีอูยอนใช้เท้าสะกิดชเวอินซอบอีกครั้ง อินซอบขมวดคิ้วและเงยหน้าขึ้นมาทันทีที่เขาเริ่มเตะแรงขึ้นอีกหน่อย
“ลุกครับ”
เขาคิดว่าถ้าคราวนี้อีกฝ่ายไม่ฟังเขา ต่อให้จะแข็งตายหรือไม่ เขาก็จะกลับไปเฉยๆ และเขาก็คงจะทำเช่นนั้นถ้าอินซอบไม่ตื่นขึ้นมาในสภาพน้ำตาไหลพรากๆ พร้อมกับกอดขากางเกงของอีอูยอนไว้
“…”
แม้เขาจะเป็นอีอูยอนที่มีขอบเขตของความรู้สึกแตกต่างจากคนอื่น แต่เขาก็ทำได้แค่งงนิดหน่อยกับสถานการณ์ในตอนนี้ ในระหว่างที่เขาคิดอยู่พักหนึ่งว่าเขาควรจะเกร็งขาและสะบัดสิ่งที่ติดกับกางเกงของตนออกไปดีไหมอยู่นั้น อินซอบก็กะพริบตาที่กลมโตพร้อมกับเอ่ยพูด
“Don’t leave me. Jannie”
“…”
เขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนไร้เดียงสา แต่ดูเหมือนว่าคำพูดที่บอกว่ามีผู้หญิงที่เคยคบจะเป็นเรื่องจริง นี่เขาคบกับชาวต่างชาติด้วยสภาพแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย
ในระหว่างนั้นชเวอินซอบก็กอดขาของอีอูยอนแน่นขึ้นไปอีกพร้อมกับพึมพำชื่อเจนนี่อยู่สองสามครั้ง
“โธ่เว้ย เห็นฉันเป็นใครเนี่ย เจนนี่เหรอ”
อีอูยอนจับไหล่ของชเวอินซอบไว้และเขย่าอย่างไร้ความปรานี
“นี่ คุณอินซอบ คุณไม่มีเพื่อนที่น่าจะติดต่อได้เหรอครับ”
ชเวอินซอบยิ้มผ่านๆ ในสภาพที่ไม่ยอมลืมตา
“ผมถามว่าไม่มีเพื่อนเหรอครับ”
“…ไม่มีครับ”
“ไม่มีสักคนเลยเหรอ”
“อื้อ ไม่มีสักคนเลย เพราะฉันไม่ต้องการ…”
ขณะที่กำลังจะพูดว่า ‘กล้าพูดจาเป็นกันเองกับฉันได้ยังไง’ อีอูยอนก็ก้มตัวลงไปหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงของอีกฝ่าย เขาหาชื่อของผู้หญิงที่ชื่อเจนนี่ และคิดว่าจะบอกให้เธอมารับไอ้หมอนี่กลับบ้าน แล้วความใจดีที่เขาพอจะมีให้ได้ก็สิ้นสุดลงตรงนี้
ดวงตาของอีอูยอนเบิกกว้างขณะสำรวจประวัติการโทรในโทรศัพท์ของอินซอบ
บริษัท อีอูยอน บริษัท บริษัท กรรมการผู้จัดการคิม บริษัท หัวหน้าทีมชา หัวหน้าทีมชา บริษัท บริษัท และอีอูยอน เขาไม่เจอชื่อเจนนี่เลย แม้เขาจะลองค้นในสมุดรายชื่อตั้งแต่เบอร์โทรแรกจนถึงเบอร์โทรสุดท้ายแล้ว แต่เบอร์ที่ถูกบันทึกไว้มีเพียงแค่คนที่เกี่ยวข้องกับกับงานเท่านั้น ข้อความก็เหมือนกัน ทั้งหมดมีแค่ข้อความที่เขายืนยันตารางงานกับเครื่องแต่งกายของอีอูยอนเท่านั้น นี่ไม่ใช่โทรศัพท์มือถือของคนปกติ
ถ้าหากคอยจับตาดูโทรศัพท์มือถือของชเวอินซอบไว้ล่ะก็ ชีวิตของอีกฝ่ายก็จะมุ่งมาที่อีอูยอนทั้งหมด มุมปากของอีอูยอนที่กำลังเช็กโทรศัพท์มือถือของชเวอินซอบในขณะที่ยืนอยู่ตรงถนนค่อยๆ ยกขึ้น เขาเอื้อมมือไปจับไหล่ของผู้จัดการส่วนตัวที่ไม่ปกติอย่างแรง
***
คนส่วนใหญ่มักจะสนใจกับความทรงจำครั้งแรกเป็นพิเศษ เช่น จูบแรก รักแรก และการจากลาครั้งแรก
สำหรับปีเตอร์ความทรงจำเกี่ยวกับการดื่มเหล้าครั้งแรกก็เป็นแบบนั้น อย่าว่าแต่เหล้าเลย เขาโตมากับการกินผักปลอดสารพิษที่ไร้รสชาติตามคำสั่งของแม่ที่ห้ามไม่ให้เอาของที่ไม่ดีต่อร่างกายเขาปาก เพราะร่างกายของเขาอ่อนแอ
ตอนที่เจนนี่ยื่นกระป๋องเบียร์ที่ซ่อนอยู่ในเสื้อมาให้ ปีเตอร์รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงก่อนจะรู้สึกกังวลเสียอีก ในที่สุดเราก็จะได้ดื่มเหล้าแล้ว!
และมันก็ต่างจากการดื่ม Eggnog[1] ผสมวิสกี้ที่คุณยายอนุญาตให้ดื่มแค่อึกเดียวในวันคริสต์มาสอย่างสิ้นเชิง ปีเตอร์ที่ปรึกษากับเจนนี่ว่าจะไปดื่มเหล้าที่ไหนดี ก็ได้ข้อสรุปว่าจะไปที่ทะเลสาบ ทะเลสาบที่ต้องใช้เวลาเดินไปตามภูเขาถึงครึ่งชั่วโมงจึงจะถึงนั้น เป็นที่ที่ไม่ค่อยมีคนในเวลาปกติและดีต่อการหลบสายตาของคน นี่เป็นที่ที่น่าจะไม่มีใครมาชี้นิ้วหรือตักเตือน แม้ว่าพวกเขาผู้มีอายุยังไม่ถึงเกณฑ์จะดื่มเหล้าก็ตาม
คนทั้งคู่ที่ตกลงกันได้แล้วก็เคลื่อนตัวไปทำการปฏิบัติจริง ปีเตอร์บอกว่าเขาจะไปเดินเล่นสักหน่อยและออกจากบ้านไปพร้อมเจนนี่ ทั้งคู่สามารถมาถึงริมทะเลสาบได้ทันที เพราะวันนี้ร่างกายของปีเตอร์ดีกว่าปกติ
“ดื่มตรงนี้แหละ”
“ตรงนั้นไม่ดีกว่าเหรอ”
เพื่อเป็นที่ระลึกสำหรับการดื่มเบียร์เป็นครั้งแรกของเขา ปีเตอร์จึงทุ่มเทให้กับการเลือกสถานที่เป็นอย่างมาก เด็กทั้งสองคนที่เดินไปเดินมาอยู่สักพักจับจองพื้นที่บนหินกว้างๆ ที่มองเห็นทะเลสาบได้อย่างทั่วถึง
“เคยดื่มเหล้าไหม”
“แน่นอนสิ”
เจนนี่ยักไหล่พร้อมกับดึงกระป๋องเบียร์ที่เริ่มจะหายเย็นแล้วออกมาจากอ้อมอก ปีเตอร์ใช้นิ้วดึงห่วงกระป๋อง
ฟองเบียร์พุ่งขึ้นมาพร้อมกับเสียง ซู่ซ่า เจนนี่ทำมือเป็นเชิงให้เขาดื่ม ปีเตอร์แตะริมฝีปากที่ฟองเบียร์ที่กำลังทะลักออกมา ต่อให้จะผ่านไปอีกกี่ปีเขาก็จะไม่ลืมรสชาติของเบียร์ที่ไหลลงคอเขาไปพร้อมกับการสูดลมหายใจ
“แค่ก แค่ก…”
“เป็นไง”
เจนนี่ที่มีประสบการณ์ในการดื่มเหล้ามาก่อนปีเตอร์ทำหน้าสบายๆ
“ไม่อร่อยเลย”
“เชยชะมัด ใครเขากินเหล้าเพราะมันอร่อยกันล่ะ”
“งั้นเขาดื่มกันทำไมล่ะ”
“เขาดื่มเพราะมันเท่”
“แต่พ่อกับแม่ดื่มเหมือนอร่อยมากเลยนะ”
แม่ดื่มได้น่าอร่อยจนปีเตอร์ที่ไม่เคยลองดื่มเบียร์ดูสักครั้งยังรู้สึกหิวน้ำทุกครั้งที่เห็นกระป๋องเบียร์ ปีเตอร์ดื่มเบียร์เข้าไปอีกอึกหนึ่ง
“ไม่อร่อยเลย”
เจนนี่หัวเราะคิกคัก นกเขาที่กำลังนอนหลับอยู่ตกใจเพราะเสียงของเจนนี่ และบินหนีไป เขาได้ยินเสียงที่ส่งออกมาอย่างมีพลัง ปีเตอร์ชอบเสียงหัวเราะของเจนนี่ ทุกครั้งที่เธอหัวเราะ เขาก็พลอยอารมณ์ดีไปด้วย ถึงขนาดที่เขาเอ่ยคำอธิษฐานที่เป็นไปไม่ได้ว่า ‘ขอให้เธอหัวเราะตลอดไป’
“ชนแก้วไหม”
เจนนี่ยกกระป๋องขึ้นมาก่อนจะกระดิกเท้าพร้อมกับเอ่ยถาม ขาของเธอที่มองเห็นใต้กระโปรงขาดๆ เป็นแผล แต่ก็ไม่มีความหมายที่จะถามว่าได้รับบาดเจ็บมาจากที่ไหน หรือว่าใครเป็นคนทำ
แม่ของเจนนี่มักจะตีเจนนี่ด้วยเหตุผลที่ไร้สาระอยู่เสมอ เธอเป็นผู้หญิงที่ต่อให้ไม่มีเหตุผล เธอก็จะสร้างมันขึ้นมาเพื่อตีลูกสาวของเธออยู่ดี เจนนี่พูดจนเป็นนิสัยว่าในวันที่เธอบรรลุนิติภาวะ เธอจะซื้อเสื้อผ้าของแบรนด์ที่แพงที่สุดในห้างมาใส่ และกล่าวอำลาแม่ของเธอซะ และเขาก็สัญญากับเธอว่าวันนั้นเขาจะไปช่วยเธอเลือกซื้อเสื้อผ้า
“เพื่ออะไรเหรอ”
“เพื่อความรักของฉันกับเจ้าชายไง”
ทันทีที่ได้ยินคำว่าเจ้าชาย ในหัวของปีเตอร์ก็นึกถึงไหล่กว้างๆ ที่เห็นวันนั้น ดูเหมือนว่าเลือดจะมารวมตัวอยู่ที่หน้าของเขาโดยไม่มีเหตุผล
“ปีเตอร์ นายเมาแล้วเหรอ หน้าแดงมากเลย”
“งั้นเหรอ…”
“เฉิ่มชะมัด เพราะแบบนี้ไงถึงเล่นกับเด็กคนอื่นไม่ได้”
พอปีเตอร์ทำปากยื่น เจนนี่ก็หัวเราะเสียงดัง ร่างที่ใหญ่โตสั่นระริกจากการหัวเราะ ปีเตอร์อยากทำให้เธอหัวเราะให้ได้มากที่สุดในตอนที่เธอสามารถหัวเราะได้ เพราะเมื่อเจนนี่ก้าวเข้าสู่ความเศร้าแล้ว ปีเตอร์ไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้เลย
เจนนี่ป่วยด้วยโรคไบโพลาร์[2] ขั้นรุนแรง และเธอเองก็รู้ความจริงข้อนี้ดี แต่ต่อให้จะรู้อยู่แล้ว ก็ไม่มีทางที่อาการจะดีขึ้น ตอนที่ปีเตอร์เจอเจนนี่ที่หดหู่ไม่ใช่เจนนี่ที่สดใสครั้งแรกตรงถนน เขาเกือบจะจำเธอไม่ได้ แม้เขาจะพูดด้วย เธอก็ไม่ตอบและไม่ยอมสบตา
วันนั้นปีเตอร์ไปหาเจนนี่ที่บ้านเป็นครั้งแรก เพราะเขาเป็นห่วงเธอมาก ตอนที่เขากำลังกังวลอยู่ว่าจะกดกริ่งดี หรือว่าจะเคาะประตูดี เขาก็ได้ยินเสียงของเจนนี่ผ่านช่องประตูที่ถูกเปิดไว้ สาบานว่าเขาไม่เคยได้ยินเสียงร้องไห้แบบนั้นมาก่อนเลย มันยากที่จะเชื่อว่าเป็นเสียงที่มนุษย์ร้องออกมาได้ ปีเตอร์มองเจนนี่ที่นอนแผ่อยู่ตรงห้องนั่งเล่นผ่านช่องประตู และก็ได้รู้ว่าเสียงร้องนั้นคือเสียงของเจนนี่
เจนนี่ที่ส่งเสียงร้องพิลึกๆ ที่กดความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้นั้น จู่ๆ ก็ลุกขึ้นและเริ่มกินไอศกรีมอย่างมูมมาม เธอกินมูมมามจนเขาแยกไม่ออกว่ามันเป็นการกิน หรือการยัดเข้าปากกันแน่
ปีเตอร์ขนลุกซู่ทันทีที่เห็นภาพเจนนี่ซึ่งชอบพูดว่าตนไม่ค่อยกินแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไมน้ำหนักถึงขึ้นขนาดนี้ซ้อนทับกับภาพของเจนนี่ตรงหน้า แม่ของเจนนี่ที่เห็นเหตุการณ์นั้นเริ่มด่ากราดพร้อมกับตีเธอ คนทั้งคู่ผลัดกันสาดคำด่าหยาบคายใส่กัน ซึ่งปีเตอร์ไม่เคยได้ยินคำด่าเหล่านั้นมาก่อนและมันทำให้ใบหน้าของเขาซีดเผือด
[1] Eggnog เครื่องดื่มที่มักจะดื่มในฤดูหนาวหรือช่วงวันคริสต์มาส เป็นเครื่องดื่มที่จะนำนมมาผสมกับแอลกอฮอล์และตอกไข่ใส่ลงไป โดยแต่ละครอบครัวจะมีสูตรเป็นของตนเอง
[2] โรคไบโพลาร์ โรคอารมณ์สองขั้ว หรือโรคอารมณ์แปรปรวน