“ระวังหน่อยสิ แล้วจะขี่ม้าได้เหรอ ไม่สิ เรื่องขี่ม้าไม่ใช่ปัญหาหรอก”
ฉากขี่ม้าเป็นฉากที่ต้องการความระมัดระวังที่สุดในละครอิงประวัติศาสตร์ เนื่องจากถ้าพลาดตกจากหลังม้าไปก็อาจจะได้รับบาดเจ็บร้ายแรงได้ ดังนั้นในการถ่ายทำละครอิงประวัติศาสตร์นักแสดงชายจะต้องเรียนวิธีการขี่ม้าก่อนเป็นอันดับแรก ถ้านักแสดงไม่สามารถเข้าใจแก่นแท้ของมันได้ การใช้ตัวแสดงแทนแต่แรกนั้นย่อมดีกว่า เนื่องจากมีเหตุการณ์ที่เกิดอุบัติเหตุในระหว่างที่ขี่ม้าอย่างไม่ชำนาญมากพอสมควร แม้กระทั่งวันนี้ก็เป็นวันที่จะต้องถ่ายทำฉากที่อีอูยอนสะดุดเข้ากับหลุมพรางในขณะขี่ม้า
“คงต้องไปบอกผู้กำกับฉากแอคชั่นสินะว่าให้เตรียมตัวแสดงแทนไว้”
“จะใช้ตัวแสดงแทนได้ยังไงล่ะครับ”
ถ้าใช้ตัวแสดงแทนก็จะถูกมองออกในแวบเดียวอย่างแน่นอน เพราะอีอูยอนไหล่กว้างกว่านักแสดงชายคนอื่น
“นี่เป็นฉากที่ไม่สำคัญอะไร ถ้าใช้ตัวแสดงแทนคนที่เห็นก็คงไม่สนใจอะไรหรอกค่ะ”
“ใครจะไปรู้ล่ะ วันนี้จะต้องถ่ายฉากที่กลิ้งตกจากม้า แล้วมือเป็นแบบนี้จะถ่ายยังไง”
อีอูยอนเหลือบมองอินซอบที่ยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าของอีกฝ่ายค่อยๆ แย่ลงเรื่อยๆ เหมือนกำลังถูกบีบคอ ดูเหมือนเขาจะเป็นลมในไม่ช้าถ้าหากปล่อยเอาไว้แบบนั้น นั่นเป็นเรื่องที่เราจะต้องทุกข์ร้อนเหรอ
“ไม่เป็นไรครับผู้กำกับ”
“เป็นแบบนั้นแล้วถ้าบาดเจ็บไปจะทำยังไงล่ะ วันนี้ก็ใช้ตัวแสดงแทนไปก่อนเถอะ แล้ววันนี้จะถ่ายต่อหรือเปล่า”
เขาไม่รู้ว่าถ้าเป็นคนอื่นมันจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าอีอูยอนบาดเจ็บก็จะทำให้การถ่ายทำทั้งหมดเกิดความคลาดเคลื่อน และนั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้โดยเด็ดขาดในสถานการณ์ที่การออกอากาศใกล้เข้ามาแล้ว
“ห้ามใช่ตัวแสดงแทนนะครับ เพราะไม่ใช่ว่าผมจะไม่ถ่ายต่อ”
“ให้ตายเถอะ”
ผู้กำกับคว้ามือของอีอูยอนมองสำรวจทุกซอกทุกมุม
“ไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ ถ้ามันหนักเกินไปก็เลื่อนการถ่ายทำไปวันหลังก็ได้”
การเลื่อนวันถ่ายทำออกไปเป็นเหมือนกับหายนะอันใหญ่หลวงสำหรับเหล่าสตาฟและนักแสดงที่ร่วมแสดงด้วย
“มันแค่แสบเพราะหนังเปิดเท่านั้นเองครับ แต่มันไม่เป็นอุปสรรคในการขยับมือเลย”
“งั้นก็โล่งอกไปที”
อีอูยอนยิ้มอย่างนุ่มนวลเหมือนกับจะบอกว่าตนไม่เป็นอะไรทันทีที่ผู้กำกับทำหน้าข้องใจ ทันทีที่ผู้กำกับเดินออกไปเพื่อเตรียมการถ่ายทำ อินซอบก็ก้มหัวพร้อมกับพูดขอโทษอีกครั้ง
“ขอโทษครับ”
“ผมก็ตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้วไงครับว่าไม่เป็นไร อ้อ ช่วยใส่เสื้อให้ผมหน่อยได้ไหมครับ”
ชเวอินซอบรีบรับเสื้อคลุมกันหนาวของอีอูยอนมาถือไว้ และช่วยจับปลายแขนเสื้อเพื่อให้เขาสามารถใส่เสื้อได้ เขาจงใจขมวดคิ้วทันทีที่เสื้อโดนแผล อินซอบเห็นอย่างนั้นจึงถามเขาว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่าอยู่ตลอดด้วยความตกใจ
“ดูเหมือนผมจะถูกลงโทษเพราะทำให้ผู้จัดการแสนดีตกใจนะครับ”
“ไม่หรอกครับ ผม…”
อินซอบหมดกำลังใจถึงขนาดที่เห็นภาพว่าหูกับหางที่เขาไม่มีกำลังลู่ลง
อีอูยอนดีใจกับภาพของอินซอบที่หมดกำลังใจแบบนั้นเพราะตนเอง เขาคิดว่าแม้จะบาดเจ็บ แต่ก็คงไม่เป็นอะไร ถ้าอยู่ในขอบเขตที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน
เขาห้ามติดนิสัยที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เด็ดขาด
“ทำไมมือถึงเป็นแบบนั้นล่ะ”
คังยองโมที่เดินผ่านมาเจอีอูยอนและพูดด้วย
“ผมล้มน่ะครับ”
อีอูยอนพูดตัดหน้าก่อนที่ชเวอินซอบจะเริ่มพูดอีกครั้ง
“เป็นอะไรหรือเปล่า วันนี้น่าจะมีฉากที่ต้องขี่ม้านี่”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ แต่มันไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ”
“งั้นเหรอ ระวังอย่าให้ตกม้าแล้วบาดเจ็บตรงไหนแล้วกัน เพราะถ้ากระดูกหักตรงไหนสักที่ก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนตัวนักแสดงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยก็ได้”
“ผมจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นครับ”
“ก็ดี งั้นก็ตั้งใจทำงานล่ะ”
ทันทีที่คังยองโมจากไปชเวอินซอบก็ทำตาโตเหมือนประหลาดใจ
“คาดไม่ถึงเลยนะครับ”
“อะไรเหรอครับ”
“ดูเหมือนคุณคังยองโมจะเป็นห่วงคุณอินซอบมากเลยนะครับ ผมก็เลยคิดว่ามันคาดไม่ถึงนิดหน่อย”
ใบหน้าของอินซอบที่มองด้านหลังของคังยองโมพร้อมกับพึมพำแบบนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจเกี่ยวกับอีกฝ่ายจริงๆ อีอูยอนรู้ดีว่าผู้จัดการส่วนตัวของตนไม่ได้ประชดหรือเหน็บแนม แต่กำลังประหลาดใจจริงๆ
“คุณได้ยินว่าเขาเป็นห่วงจริงๆ เหรอครับ”
“เมื่อกี้คุณไม่ได้พูดว่าเป็นห่วงเหรอครับ ผมฟังผิดเหรอครับ”
อีอูยอนยิ้มน้อยๆ เขาตบบ่าผู้จัดการส่วนตัวเงียบๆ
“ได้ยินถูกแล้วล่ะครับ”
อินซอบรอให้อีอูยอนพูดต่อพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย เพราะเขาไม่เข้าใจสถานการณ์นี้เท่าไรนัก
“แล้วคุณผู้จัดการส่วนตัวเป็นยังไงครับ เป็นห่วงผมหรือเปล่า”
อีอูยอนชูมือที่ถูกผ้าพันแผลพันไว้ให้ดูพร้อมกับเอ่ยถาม เขาเห็นความขัดแย้งกับตัวเองและความรู้สึกผิดในดวงตากลมโตของอินซอบอย่างเลือนราง
อีอูยอนจะต้องมาบาดเจ็บเพราะตนทำให้อีกฝ่ายล้มในวันที่จะต้องถ่ายทำฉากที่สำคัญ เขาไม่สามารถที่จะไม่เป็นห่วงได้ แต่เขามีสิทธิ์ทำแบบนั้นหรือเปล่า เขาจะสามารถพูดคำที่ฟังดูรู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บอย่าง ‘ผมเป็นห่วงคุณ’ ‘ผมเป็นห่วงคุณมาก’ ได้หรือเปล่า
ไม่ว่าเขาจะแสดงความใจดีแบบไหนออกไปมันก็ลงเอยเหมือนเดิมอยู่ดี คือเขาจะต้องหักหลังอีอูยอน แต่ทั้งๆ ที่รู้แบบนั้นเขาก็ยังรู้สึกเกลียดชังอยู่บ่อยๆ
“ครับ ผมเป็นห่วงครับ”
ชเวอินซอบจงใจเถียงกลับอย่างห้วนๆ เพื่อที่จะไม่แสดงความเป็นห่วงของตัวเองให้อีอูยอนเห็น
“ก็ดีครับ ทำแบบนั้นแหละ”
เขาได้ยินเสียงนุ่มๆ เหมือนกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิอยู่เหนือหัว อินซอบเงยหน้าขึ้นครึ่งหนึ่งเพราะได้ยินคำพูดที่ตนไม่เข้าใจ แต่เขาก็ไม่มีความกล้าที่จะมองตาอีกฝ่าย ปากของอีอูยอนขยับอย่างงดงาม
“งั้นก็ช่วยเป็นห่วงอยู่ข้างๆ ผมตลอดไปเลยนะครับ”
ในระหว่างที่อินซอบกำลังหาคำตอบให้กับคำพูดที่เหมือนการสาปแช่งที่อ่อนโยน อีอูยอนก็หายไปท่ามกลางเหล่าสตาฟแล้ว อินซอบเหม่อมองด้านหลังที่คุ้นเคยของเขา
***
“ได้ยินเรื่องนั้นหรือเปล่า”
เจนนี่เปิดประตูเข้ามาในห้องโดยไม่เคาะแล้วตะโกนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“เรื่องอะไรเหรอ”
ปีเตอร์ปิดหนังสือที่กำลังเขียนอยู่และเงยหน้าขึ้นมา
“เจ้าชาย! ฟิลลิป! เรื่องเกี่ยวกับเจ้าชายไง”
อินซอบใจเต้นทันทีที่ได้ยินชื่อฟิลลิป เขายังไม่ได้บอกเจนนี่ว่าเขาเจอเจ้าชายที่สมาคมนักเรียนชาวเกาหลีโพ้นทะเล
วันแรกที่เขาได้เจออีกฝ่ายเขาคิดถึงกลอนของคิมนัมโจอยู่ในผ้าห่มตลอดเวลา ปีเตอร์ที่เอาแต่คิดถึงกลอนที่สลักอยู่ในร่างกายเขาทีละคำๆ เหมือนเป็นโรคคลั่งรักลืมเล่าเรื่องเจ้าชายให้เจนนี่ฟัง พอเวลาผ่านไปสองวัน สามวัน สี่วัน การเล่าเรื่องนั้นก็ค่อยๆ ยากขึ้นเรื่อยๆ แม้เขาจะคิดว่าต้องเล่า แต่เขากลับอ้าปากพูดได้ไม่ง่ายเลย
“วันนี้ฉันบังเอิญได้ยินพวกผู้หญิงคุยกัน พวกนั้นบอกว่าเจ้าชายเป็นคนเกาหลี เขาเป็นคนเกาหลีเหมือนนายเลย”
“อืม งั้นเหรอ…”
“ไม่ตกใจเลยเหรอ กับความจริงที่ว่าเขามีสายเลือดที่เหมือนกันนายไหลเวียนอยู่น่ะ”
“ก็ไม่รู้สินะ ฉันไม่เคยคิดว่าฉันเป็นคนเกาหลีเลยสักครั้ง”
แม้จะเป็นความจริงที่น่าอึดอัดใจ แต่นั่นก็เป็นจิตใจที่แท้จริงของเขา
เขาไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับประเทศบ้านเกิดเลย เพราะเขาออกจากเกาหลีมาตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นทารกแรกเกิดและไม่รู้จักหน้าของพ่อแม่ที่แท้จริงด้วยซ้ำ หากจะบอกว่าภาพของประเทศที่ชื่อว่าเกาหลีสำหรับเขาที่เป็นแบบนี้มีแต่สิ่งที่พ่อในปัจจุบันเล่าให้ฟังก็ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงนัก
“ไม่สิ นี่เป็นโอกาสที่ดีนะ เป็นโอกาสที่ดีจริงๆ”
ตาของเธอเป็นประกาย และแก้มของเธอก็กลายเป็นสีกุหลาบ
“โอกาสอะไรเหรอ”
“นายเข้าใจภาษาเกาหลีหรือเปล่า”
“หา? …อือ ทำไมเหรอ”
“ช่วยสอนภาษาเกาหลีให้ฉันหน่อยสิ ฉันจะเขียนจดหมายรักเป็นภาษาเกาหลีให้เจ้าชายก่อนจะเรียนจบล่ะ เขาคงจะสงสัยว่าเป็นใคร และในตอนนั้นฉันก็จะปรากฏตัวขึ้นและพูดกับเจ้าชายเป็นภาษาเกาหลี เพื่อขอให้เขามาเป็นคู่เต้นรำงานพรอมให้ฉันยังไงล่ะ โรแมนติกจะตาย!”
เธอประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันและกางปีกแห่งจินตนาการ ดูเหมือนเธอจะคิดว่าการพูดภาษาเกาหลีกับฟิลลิปที่เป็นคนเกาหลีจะได้ผลเป็นอย่างมาก ปีเตอร์อยากจะเตือนให้เธอเลิกคิด
ทุกครั้งที่ฟิลลิปมาที่การประชุมเยาวชนของสมาคมชาวเกาหลีโพ้นทะเล พวกเด็กผู้หญิงที่ล้อมรอบตัวเขาก็จงใจพูดภาษาเกาหลีกับเขาทั้งนั้น นี่เป็นจุดประสงค์ที่เห็นในดวงตาที่พยายามทำให้รู้สึกว่าเราเป็นพวกเดียวกันได้อย่างชัดเจน ฟิลลิปใจดีกับผู้หญิงทุกคนอย่างที่เจนนี่พูด แต่เขาไม่ได้ทำให้ใครเป็นคนพิเศษ
“ภาษาเกาหลีเหรอ ฉันน่ะนะ สอนเธอน่ะเหรอ”
“ใช่ มันโอเคใช่ไหม นายคิดว่าโอเคหรือเปล่า”
“เจนนี่…เธอจะทำได้เหรอ”
ปีเตอร์รู้ทุกอย่างถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเจนนี่ ไม่ใช่แค่เธอไม่มีถูกกับการเรียนเท่านั้น แต่เธอยังไม่มีความสามารถอีกด้วยโดยเฉพาะวิชาที่เกี่ยวกับภาษาต่างประเทศ
“ฉันทำได้แน่นอน เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย”
ความปรารถนาอันแรงกล้าของเจนนี่เหมือนจะสูงเสียดฟ้า เพราะความคิดที่ว่าเธอจะสามารถเป็นคนพิเศษสำหรับเจ้าชายได้ เจนนี่นั่งที่โต๊ะของปีเตอร์และเร่งให้เขาเริ่มสอนเร็วๆ แต่เธอกลับผ่านหน้าแรกของหนังสือ ‘ก้าวแรกของตัวอักษรเกาหลี’ ที่ปีเตอร์รื้อมาจากตู้หนังสือไม่ได้ และคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะนั้น
“เหมือนจะตายเลย…”
“ถ้าเป็นแบบนี้ในชั่วโมงแรกจะทำยังไงล่ะ แค่จำพยัญชนะกับสระให้หมดก็จะตายแล้วเหรอ”
ปีเตอร์เขย่าไหล่เจนนี่พร้อมกับพูดอย่างล้อเลียน
“ฉันไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร ทำไมพวกตัวอักษรถึงได้แปลกอย่างนี้ล่ะ มันดูเหมือนรูปภาพเลย”
“เธอรู้หรือเปล่าว่าการเรียนภาษาต่างประเทศมันไม่ง่าย วันนี้กลับบ้านไปจำพยัญชนะกับสระให้ได้ทั้งหมดก่อนแล้วค่อยมาใหม่ เข้าใจไหม”
ปีเตอร์บรรจงเขียนลำดับของตัวอักษรเกาหลีลงในแผ่นแบบฝึกหัด เจนนี่ที่แอบดูอยู่เงียบๆ ก็ระเบิดหัวเราะออกมา
“หัวเราะทำไม”
“ตัวอักษรนั้นมันตลกนี่”
“ตัวไหนเหรอ”
“ตัวนี้”
เธอใช้นิ้วชี้ไปที่ตัว ‘ㅎ’
“ตัวนี้มันทำไมเหรอ”
“มันดูเหมือนกำลังใส่หมวกอยู่เลย น่ารักจัง แต่ก็ดูเหมือนดอกไม้ด้วย”
แม้ปีเตอร์จะไม่เคยคิดแบบนั้นสักครั้ง แต่พอได้ยินที่เธอพูดแล้วตัวอักษรนั้นก็ดูเหมือนคนกำลังใส่หมวกอยู่จริงๆ
“ฉันเขียนแค่ตัวอักษรนั้นในจดหมายแล้วส่งไปให้เจ้าชายดีไหม เพื่อบอกให้รู้ว่าเขาเป็นทุ่งดอกไม้ในใจของฉันน่ะ”
“ฮ่าๆๆๆ เขาอาจจะนึกว่าเป็นจดหมายที่ได้จากสตอล์กเกอร์ที่เป็นบ้าก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเขียนแต่ตัวนี้มันจะกลายเป็นเสียงหัวเราะน่ะสิ”
ปีเตอร์เลียนแบบเสียงหัวเราะและหัวเราะอยู่พักหนึ่ง เจนนี่เองก็หัวเราะตามเขา พอเสียงหัวเราะของคนทั้งคู่ดังออกไปที่บันได แม่ของปีเตอร์ก็เข้ามาในห้อง
“มีเรื่องสนุกอะไรเกิดขึ้นเหรอถึงได้หัวเราะแบบนั้นกัน”
“เปล่าครับ ไม่มีอะไรเลยครับ”
ปีเตอร์โบกมือพลางเอ่ยพูด รอยยิ้มขี้เล่นยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา
“เจนนี่ไม่กินข้าวเย็นด้วยกันเหรอจ๊ะ อาหารเย็นวันนี้เป็นอาหารเกาหลีนะ เพราะคุณลุงของปีเตอร์จะมา ถึงจะไม่รู้ว่าจะถูกปากหนูไหม แต่อยากจะลองดูสักครั้งไหมล่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณป้า หนูจะต้องกลับบ้านแล้ว เพราะแม่เตรียมอาหารเย็นเอาไว้และรอหนูอยู่”
ทั้งปีเตอร์และแม่ของเขารู้ดีว่านั่นเป็นการโกหก แต่พวกเขาไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ได้จ้ะ ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้นี่เนอะ คราวหน้าต้องมากินด้วยกันให้ได้เลยนะ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
เจนนี่ยิ้มอย่างร่าเริงพลางลุกขึ้น
“ปีเตอร์ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”
“ได้ พรุ่งนี้ก็ทำการบ้านมาด้วยล่ะ”
ปีเตอร์ยื่นแบบฝึกหัดให้เธอ เจนนี่เอามือแตะหน้าผากให้ดูเหมือนจะบอกว่าเหนื่อย พอส่งเธอออกไปแล้ว ปีเตอร์ก็ไปช่วยแม่เตรียมอาหารเย็น
วันต่อมาอาการซึมเศร้าของเจนนี่ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
***