“คัต”
ทันทีที่ผู้กำกับสั่งคัต อีอูยองกับคังยองโมที่นั่งมองหน้ากันและแสดงให้เห็นถึงมิตรภาพของพวกเขาที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกจนถึงเมื่อสักครู่นี้ก็เบือนหน้าหนี
“พักห้านาทีนะครับ แล้วเราจะไปต่อกันที่ฉากที่คุณยองโมอ่านจดหมายเลย”
คังยองโมขยับมือเป็นเชิงบอกว่ารับรู้แล้วและลุกไป ผู้จัดการส่วนตัวของเขาวิ่งตามและเอาผ้าห่มกับเสื้อมาคลุมให้ คังยองโมถามเสียงดังว่าทำไมไม่เอาน้ำอุ่นมาด้วย
ชเวอินซอบที่ยืนพิงเสารออยู่วิ่งไปหาอีอูยอน
“เหนื่อยแย่เลยนะครับ”
ถ้าถ่ายทำสองฉากที่เหลือเสร็จ งานของวันนี้ก็หมดแล้ว แต่ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าการถ่ายทำฉากนี้จะนานแค่ไหน
อินซอบเอาเสื้อคลุมตัวนอกที่ถืออยู่คลุมไหล่ให้อีอูยอน
“ไปนอนที่รถเถอะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“แต่มันน่าจะใช้เวลาอีกประมาณสองถึงสามชั่วโมงเลยนะครับ”
นี่ก็เลยเที่ยงคืนมาแล้ว อินซอบอยากร้องไห้ให้กับคำพูดที่ว่าจะใช้เวลาอีกสามชั่วโมง แม้เขาจะไม่แสดงออกทางสีหน้าและตอบกลับไปนิ่งๆ ว่า ‘ไม่เป็นไรครับ’ แต่ตอนนี้เขาคิดอยากจะกลับไปนอนที่บ้านเท่านั้น
ถ้าได้อาบน้ำอุ่นๆ แล้วลูบเคทก่อนนอนก็คงจะดี…แต่วันนี้เป็นวันที่เขาต้องโทรศัพท์ไปหาแม่ ที่โชคดีก็คือตอนที่เขากลับบ้านไปโทรศัพท์ เวลาที่อเมริกาจะเป็นตอนเที่ยงพอดี
“แต่คุณดูไม่เหมือนคนไม่เป็นไรเลยนะครับ”
อีอูยอนยิ้มพร้อมกับล้วงมือเข้ากระเป๋า เขามองอินซอบ ขณะเดียวกันปลายนิ้วก็สัมผัสเข้ากับบางสิ่งอุ่นๆ
“ถุงร้อนเหรอครับ”
“ครับ”
“เพราะอย่างนั้นเสื้อก็เลยอุ่นสิน้า”
อีอูยอนเอาเสื้อคลุมไหล่ไว้และจอจ่ออยู่กับบทแม้จะเป็นช่วงเวลาพักจึงไม่รู้เลยว่ามีอะไรใส่อยู่ในกระเป๋า
“ขอบคุณนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ดูเหมือนจะมีแค่คุณอินซอบคนเดียวเท่านั้นนะครับที่คิดถึงผมขนาดนี้”
นั่นเป็นคำพูดที่ถูกต้อง
ตั้งแต่ตอนที่ลืมตาตื่นจนกระทั่งตอนที่หลับตานอน อินซอบคิดถึงแต่อีอูยอนทั้งวัน เขานึกถึงตารางงานของอีกฝ่าย และวางแผนชีวิตในวันที่จะต้องใช้เวลาอยู่ข้างๆ อีกฝ่าย เขาจ้องเพียงโอกาสที่จะเจอจุดอ่อนที่ร้ายแรงของอีอูยอน
เพราะฉะนั้นเขาจึงคิดถึงแต่อีอูยอน
“แล้วทำไมตัวคุณเองถึงไม่มีล่ะครับ”
อีอูยอนชี้ไปที่ปลายนิ้วของอินซอบที่เย็นจนเป็นสีแดงพลางเอ่ยถาม
“เพราะถุงร้อนไม่พอ ผมก็เลย…”
อินซอบไวต่ออุณหภูมิมากกว่าคนอื่น ตัวเขาเย็นและร้อนได้ไวมาก เป็นเพราะระยะเวลาถ่ายทำที่นานกว่าที่คาดการณ์ไว้ อินซอบเลยใช้ถุงร้อนที่ซื้อมาไปกับการทำให้เสื้อของอีอูยอนอุ่นจนหมด และเขาก็ไม่สามรถเอามือล้วงกระเป๋าได้เพราะถือเสื้อผ้าของอีอูยอนเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากเอามือใส่ไว้ในเสื้อของอีอูยอนอยู่ดี สุดท้ายมือของชเวอินซอบจึงเย็นเป็นน้ำแข็ง
ชเวอินซอบเป่ามือพร้อมกับถูมือไปด้วย อีอูยอนดึงถุงร้อนที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของตนออกมา
“อันนี้เย็นแล้วนี่ครับ”
เขาโยนถุงร้อนที่แข็งแล้วลงถังขยะ และจับมือของอินซอบไว้แน่น
“ทำให้มืออุ่นขึ้นหน่อยนะครับ”
อีอูยอนดึงมือของอินซอบเข้ามา และเอาไปใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุมของตัวเอง แม้ชเวอินซอบจะพยายามดึงมือออก แต่ยิ่งทำให้อูยอนยิ่งกำมือเขาแน่นขึ้น อินซอบเกือบจะร้องออกมาเพราะเจ็บมือ แม้อุณหภูมิที่ถ่ายทอดให้กันผ่านมือจะอบอุ่น แต่เพราะแรงจับที่มหาศาลแบบนี้ เขาจึงแยกไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายหวังดีหรือประสงค์ร้ายกันแน่
“อยู่เฉยๆ สิครับ มือแข็งไปหมดแล้วนะ”
“มะ ไม่เป็นไรครับ”
แม้เขาจะรู้ว่าอินซอบมึนงงจนตื่นตระหนก แต่อีอูยอนก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ และเบนสายตาไปมองที่อื่น พวกสตาฟผู้หญิงทีเดินผ่านไปผ่านมาแซวอีอูยอน
“ผู้จัดการส่วนตัวของคุณอีอูยอนนี่ดีจังเลยน้า”
“ฉันอยากเป็นผู้จัดการส่วนตัวของคุณอีอูยอนบ้างจังเลยค่ะ”
ไม่บ่อยนักที่จะเห็นเหล่าสตาฟพูดคุยอย่างเปิดเผยหรือแซวเล่นกับนักแสดงนำ แต่ความอ่อนโยนซึ่งเป็นภาพลักษณ์ของนักแสดงที่ชื่ออีอูยอนทำให้เป็นแบบนั้นได้
“ตอนนี้มือผมหายแข็งแล้วครับ”
“ยังเย็นอยู่เลยไม่ใช่เหรอครับ”
“ไม่เป็นไรแล้วครับ ตอนนี้คุณปะ…”
คังยองโมที่เดินผ่านมาพลางดื่มกาแฟไปด้วยเห็นภาพนั้นและทำหน้านิ่วคิ้วขมวดทันที
“อะไรกัน เป็นแบบนั้นกันเหรอ”
“หมายความว่ายังไงครับรุ่นพี่”
“ก็พวกนายสองคนเป็นแบบนั้นกันเหรอ ฮ่าๆๆ เชื่อไหมว่าผู้จัดการส่วนตัวของนายหยิ่งกับฉันขนาดไหน”
แค่วันนี้วันเดียวคังยองโมใช้ให้ชเวอินซอบไปเอาน้ำอุ่นมาให้ถึงสามรอบแล้ว ดูเหมือนอินซอบจะไม่รู้ว่าคังยองโมมีนิสัยชอบใช้ให้ผู้จัดการส่วนตัวของคนอื่นทำงานหนักทั้งๆ ที่ผู้จัดการส่วนตัวของตัวเองก็อยู่ข้างๆ และอินซอบก็ไปตักน้ำมาให้คังยองโมอย่างขยันขันแข็ง แน่นอนว่าทุกครั้งคังยองโมจะบอกว่าน้ำมันร้อนไปหรือเย็นไปพร้อมกับเทน้ำที่อินซอบเอามาให้ลงพื้น
อินซอบอยากถามคังยองโมว่าการกระทำของตนมีส่วนไหนที่สามารถเกี่ยวกับคำว่าหยิ่งได้บ้าง
แม้ได้ยินที่คังยองโมพูดแล้ว อีอูยอนก็ยังไม่แสดงท่าทีอะไร และนั่นเป็นการกระตุ้นความโมโหของคังยองโม
“ไม่รู้เลยนะว่าอีอูยอนชอบผู้ชายด้วย ถึงจะรู้ก็เถอะว่านายหลงใหลพวกผู้หญิง”
“ฮ่าๆๆๆๆ”
อีอูยอนหัวเราะเสียงดัง ชเวอินซอบผวา อีอูยอนอาจจะแสดงนิสัยเดิมของตัวเองออกมา และโกรธจนไม่ลืมหูลืมตาพร้อมกับเข้าไปต่อยคังยองโมไม่ยั้งก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นแม้เขาจะไม่ได้คุ้ยเขี่ยความลับของอีกฝ่ายด้วยตนเอง แต่ก็น่าจะสามารถทำตามคำอธิษฐานของเจนนี่ได้…
อีอูยอนที่หัวเราะจนไหล่สั่นทำหน้านิ่งและเดินไปตรงหน้าคังยองโม ทันทีที่อีอูยอนผู้โดดเด่นกว่าคนอื่นเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าตนอย่างกะทันหัน คังโมยองก็ผงะและถอยไปข้างหลัง
อีอูยอนยืนอยู่ตรงหน้าคังยองโมพร้อมกับทำหน้าตาน่ากลัว
แม้แต่พวกสตาฟยังหยุดเคลื่อนไหวและมองพวกเขาด้วยความตกใจ ทุกคนงงกับกับการเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของอีอูยอนที่มักจะยิ้มอย่างอ่อนโยนเหมือนพระโพธิสัตว์อยู่เสมอ
“ให้ผมจับมือรุ่นพี่ด้วยไหมครับ”
แต่คำพูดที่มาจากปากของอีอูยอนกลับเป็นคำพูดที่คาดไม่ถึง
“ว่าไงนะ“
“ผมจะจับมือรุ่นพี่เอง ถ้ารุ่นพี่หนาวน่ะ”
อีอูยอนคว้ามือของคังยองโมมาจับ คังยองโมตกใจแหวว่า ‘พอแล้ว’ พร้อมกับดึงมือออก อีอูยอนมองภาพด้านหลังของอีกฝ่ายที่บ่นกระเง้ากระงอดขณะที่เดินจากไปและหัวเราะหึหึ
ชเวอินซอบสบโอกาสดึงมือของตนออกมาจากกระเป๋าอีกฝ่ายบ้าง
“ไปห้องน้ำ…”
อินซอบพูดเหมือนพึมพำและออกไปจากตรงนั้นราวกับวิ่ง มือที่ถูกอีอูยอนจับไว้ร้อนวูบวาบ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับเขาทายาบรรเทาอาการปวดไว้ที่มือ เขาอยากล้างมือ เขาอยากจะล้างความรู้สึกนี้ให้ไหลไปกับน้ำไวๆ
ชเวอินซอบไปที่ห้องน้ำ และเปิดน้ำเย็นๆ ล้างมือ แผลที่ยังไม่หายสนิทเจ็บแปลบ แต่เขาไม่สนใจ ถ้าหากมันจะช่วยล้างอุณหภูมิที่เหลืออยู่ที่มือออกไปได้
ปลายนิ้วที่เคยอุ่นเย็นลงอย่างรวดเร็ว และมือของเขาก็ไร้ความรู้สึก ในห้องน้ำโล่งๆ นี้มีเพียงเสียงน้ำจากอ่างล้างหน้าที่เขาเปิดไว้เท่านั้น
เขาเงยหน้ามองกระจก ชเวอินซอบเอามือมาแตะหน้าด้วยความเคยฃิน ปลายนิ้วที่เคยเย็นเป็นน้ำแข็งอยู่เมื่อสักครู่นี้เริ่มมีเลือดมาเลี้ยงแล้ว
พอความเย็นที่เหมือนจะทำให้หัวใจหยุดเต้นผสมเข้ากับไออุ่นแปลกๆ ที่เหมือนจะทำให้เซลล์แต่ละเซลล์ค่อยๆ กลับมาทำงาน เขาก็ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าอะไรเป็นอะไร
“อย่างกับคนโง่…”
เขาเกลียดตัวเองที่หวั่นไหวกับเรื่องที่ไม่มีอะไรเลยแบบนี้จนไม่สามารถทนได้ เขาคิดว่าหัวใจดวงนั้นได้ตายไปแล้ว…เขาเชื่อว่าเขาได้ฝังมันไว้ที่นั่นพร้อมกับเจนนี่
เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เปียกชื้นกลายเป็นสีแดง
คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ใช่ชเวอินซอบ แต่คือปีเตอร์
***
“ปีเตอร์สายแล้วนะ รีบๆ ลงมาเร็วเข้า”
“รู้แล้วครับ รอแป๊บหนึ่งนะครับ”
ปีเตอร์ที่เตรียมตัวเสร็จแล้วลงบันไดมาอย่างช้าๆ พ่อของเขาขยับมือสั่งให้เขารีบลงมา
“สายแล้ว ไปตอนนี้จะไปถึงทันเวลาอย่างฉิวเฉียดเลยใช่ไหม”
“ไม่ไปไม่ได้เหรอครับ”
“ไม่ได้”
แม้ปกติพ่อจะเป็นพ่อที่รับได้กับการทำตัวเป็นเด็กๆ ของลูกชาย แต่คราวนี้ปีเตอร์รู้ว่าพ่อรับไม่ได้อย่างเด็ดขาด และเขาก็ต้องขึ้นรถไปโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ วันนี้เป็นวันประชุมของสมาคมนักเรียนชาวเกาหลีโพ้นทะเล[1] ที่มักจะจัดขึ้นเดือนละครั้ง ปีเตอร์ไม่มีความรู้สึกรักชาติที่ชื่อว่าเกาหลี เพราะเขาถูกรับมาเลี้ยงที่อเมริกาตั้งแต่หนึ่งขวบ แต่พ่อของปีเตอร์บอกว่าการรู้จักรากเง้าของตนเป็นเรื่องสำคัญ และตั้งชื่อเกาหลีให้เขาด้วย
พ่อยืนกรานว่าถ้าเขาลองออกไปที่สมาคมนักเรียนชาวเกาหลีโพ้นทะเล และมีปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนคนอื่นๆ ที่เป็นชาวเกาหลีเหมือนกัน ก็จะช่วยให้เขาสามารถเข้าใจเกี่ยวกับบ้านเกิดเมืองนอนของตนได้มากขึ้น แต่ปีเตอร์จะไม่เห็นด้วย
แม้จะอยู่ในสมาคมนักเรียน แต่ปีเตอร์ไม่รู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสมาคมเลย เขาต้องเข้าร่วมอย่างเลี่ยงไม่ได้เพราะพ่อบังคับ ทั้งหมดที่เขาทำในที่ประชุมมีเพียงแค่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่แถวหลังสุด หรือสนุกกับการเพ้อฝันของตนก่อนกลับออกมาเท่านั้น ที่นั่นไม่มีใครสนใจเขาเลย ตั้งแต่ที่เขาคิดว่ามันเสียเวลา ปีเตอร์ก็ไม่ออกไปสมาคมอีก พ่อซึ่งได้รับแจ้งจากสมาคมนักเรียนชาวเกาหลีโพ้นทะเลว่าเขาไม่ได้ไปประชุมมาสี่เดือนแล้ว จึงตัดสินใจหาเวลาพาลูกชายไปส่งด้วยตนเองในวันนี้
“ถ้าเสร็จแล้วก็โทรมานะ เดี๋ยวพ่อจะมารับ”
“เดี๋ยวผมกลับเองครับ”
“เพื่อที่ลูกจะออกไปที่อื่นอีกน่ะเหรอ”
แม้คนเป็นพ่อจะรู้อยู่แล้วว่าลูกชายแอบออกไปที่อื่น และไปนั่งอ่านหนังสืออยู่ตามห้องสมุดหรือม้านั่งในสวนสาธารณะ แต่เขาก็ส่ายหน้าด้วยสีหน้าเข้มงวด
“ไม่ได้ วันนี้พอเลิกแล้วต้องโทรมาเข้าใจไหม เพราะลูกจะต้องรออยู่ที่นี่แหละ”
“ครับ”
ปีเตอร์ตอบกลับอย่างไม่มีแรง และเดินเข้าไปในตัวตึก พวกเด็กๆ ที่นั่งอยู่ก่อนแล้วกำลังพูดคุยเรื่องไร้สาระกันอย่างอึกทึกครึกโครม ไม่มีคนที่รู้จักเขาและทักทายเขาสักคน ปีเตอร์นั่งตรงมุมห้อง และเริ่มหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน
วันนี้เป็นวันที่มีการเรียนและการอภิปรายเกี่ยวกับวรรณกรรมเกาหลี แม้เขาจะอึดอัดใจกับการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน แต่การเรียนวรรณกรรมเกาหลีก็ไม่แย่เท่าไรนัก
เพื่อลูกชายที่รักหนังสือแล้ว พ่อสั่งพวกนิยายภาษาเกาหลีมา และตัดสินใจมอบมันให้ลูกชายเป็นของขวัญ นิยายที่เขากำลังอ่านอยู่ตอนนี้ก็เป็นหนังสือที่พ่อมอบให้เป็นของขวัญเช่นกัน แต่มันก็เท่านั้น เพราะเขามีหนังสือดีๆ แล้ว ปีเตอร์จึงไม่หาอะไรไปมากกว่านั้นที่นี่ เขาพลิกหน้าหนังสือ และภาวนาให้เวลาผ่านไปเร็วๆ ชั่วโมงเรียนจะได้จบลงเสียที
ในตอนนั้นเอง
เสียงรอบตัวเขาก็เงียบลงเหมือนกับมีใครเอาน้ำเย็นมาสาด[2] ในตอนที่เงยหน้าขึ้น ปีเตอร์ก็ได้ยินเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นเหนือหัว
“ที่นั่งข้างๆ มีคนนั่งไหม”
“…เอ่อ ไม่มีครับ”
เด็กหนุ่มคนนั้นนั่งลงข้างๆ ปีเตอร์ พวกเด็กนักเรียนผู้หญิงที่อยู่ในห้องประชุมกระซิบกระซาบพลางมองเด็กคนนั้น ปีเตอร์รู้ได้ในทันทีเลยว่ามีความหมายอะไรซ่อนอยู่ในสายตาพวกนั้น
ชื่นชม ใฝ่ฝันอยากได้ และตกตะลึง
วันนี้ปีเตอร์ได้รู้ความจริงว่าเจ้าชายของเจนนี่มีเชื้อสายเกาหลีเป็นครั้งแรก และดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่ที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ก็เป็นเหมือนเขา
เจ้าชายไม่สนใจสายตาที่มองมาที่ตน และนั่งรอให้การเรียนการสอนเริ่มขึ้นอย่างใจเย็น สายตาของทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมจ้องมาทางเด็กหนุ่มที่นั่งข้างๆ ปีเตอร์จนกระทั่งตอนที่คุณครูเข้ามา และสั่งให้ทุกคนนั่งที่
การเรียนการสอนดำเนินไปด้วยภาษาเกาหลี ปีเตอร์มัวแต่สนใจเจ้าชายของเจนนี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ และไม่ได้ยินเสียงของคุณครูเลย
เด็กหนุ่มคนนั้นส่งสายตาเป็นมิตรมาให้ปีเตอร์ เพราะสัมผัสได้ถึงสายตาที่แอบมองตน ปีเตอร์รีบหันหน้าหนีไปอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกผิดที่เผลอสบตากับเจ้าชายของเจนนี่โดยที่เธอไม่ได้อนุญาต
“มีใครลองอ่านกลอนที่จะเรียนกันวันนี้มาบ้าง”
สายตาของคุณครูไล่มองไปทั่วห้องประชุม ทุกคนรู้ได้ทันทีเลยว่าสายตาของเธอหยุดอยู่ตรงไหน
“ใช่สิ ได้ยินว่ามาวันนี้วันแรกสินะ ชื่อ…”
“Phillip Levin”
ชื่อของเขาหลุดออกมาจากปากของใครบางคนก่อนที่เจ้าตัวจะตอบ
[1] ชาวเกาหลีโพ้นทะเล ชาวเกาหลีที่อาศัยอยู่ต่างแดน
[2] มีใครเอาน้ำเย็นมาสาด สำนวนเกาหลีแปลว่าถูกขัดจังหวะ