ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 1 เล่ม 2 ตอนที่ 5-2

ภาค 1 เล่ม 2 ตอนที่ 5-2

ฟิลลิป เลวิน

เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงถึงขนาดที่ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของเขา เนื่องจากเขาเป็นควอร์เตอร์แบ็กของทีมอเมริกันฟุตบอล W.T Woodson

“ฟิลลิป โอเค ออกมาข้างหน้าหน่อยได้ไหม”

แม้ตนจะไม่โดนเรียก แต่ปีเตอร์ก็ใจเต้นแรงจนไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาดีๆ ได้ ฟิลลิปค่อยๆ ลุกขึ้นและออกไปหน้าห้องประชุม ตอนนั้นเองปีเตอร์ถึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น

“มีชื่อเกาหลีไหม”

“มีครับ”

เด็กหนุ่มยิ้มอย่างนุ่มนวลพลางพูดต่อ

“ผมอีอูยอนครับ ต่อไปก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”

นั่นเป็นครั้งแรกที่ปีเตอร์ได้รู้ว่าภาษาเกาหลีเป็นภาษาที่มีเสียงสะท้อนที่นุ่มนวลขนาดนั้น และเขาก็อดที่จะตกใจไม่ได้กับการออกเสียงภาษาเกาหลีของอีอูยอนที่แทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ

“ช่วยอ่านกลอนบทนี้ทีได้ไหม”

คุณครูยื่นหนังสือให้เขา เด็กหนุ่มจับสันหนังสือด้วยมือที่งดงามและเริ่มยืนอ่านกลอน

“ ‘แด่เธอ’ คิมนัมโจ”

ภายในห้องประชุมเต็มไปด้วยความเงียบสงบ

[“คำอธิษฐานยามค่ำของข้า แสนยาว แต่ข้าเอ่ยเพียงคำคำหนึ่งซ้ำๆ บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นเงียบๆ นี่คือคำอ้อนวอนที่เหลือเชื่อ”]

ช่างเป็นคำพูดที่งดงาม คำพูดทั้งหลายที่ออกมาจากปากของเด็กหนุ่มทำให้เกิดเป็นบทกลอนขึ้นมา ปีเตอร์จดจ่ออยู่กับการมองเด็กหนุ่มที่กำลังอ่านกลอน

[“มีเพียงแสงสว่างที่ผลิบานขึ้นใหม่เท่านั้น ที่จะเติมเต็มจิตวิญญาณของเจ้าผู้เป็นที่รักได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม้จะล้มตัวลงนอนพร้อมผมสีดำขลับที่ปล่อยสยาย แต่ข้าก็มิเคยได้รับความรักที่อัศจรรย์ถึงเพียงนี้มาก่อน”]

แสงแดดส่องผ่านหน้าต่างบานสูงของห้องประชุมกระทบเข้ากับเส้นผมของเด็กหนุ่ม ปีเตอร์ถอนหายใจทุกครั้งที่น้ำเสียงนุ่มนวลของเด็กหนุ่มคนนั้นทะลุผ่านแสงและกระจายตัวไปในอากาศ

เสียงพูดของเด็กหนุ่มดังแผ่วๆ อยู่ในห้องประชุม เสียงพูดของเด็กหนุ่มที่กระจายอยู่ในอากาศ และทำให้เกิดภาพที่งดงามของการกลับมาเจอกันอีกครั้งกระซิบอยู่ข้างหูของเขา

[“เพื่อเจ้าแล้ว ข้าจักมีชีวิตอยู่ ข้าจักมอบทุกสิ่งอย่างที่แสนล้ำค่าให้แก่เจ้า สิ่งใดมอบให้แล้ว ข้าจักลืมเสีย แลจักจำเพียงความรักที่ยังมิได้มอบให้เจ้าได้เท่านั้น ที่รักของข้า ข้ามองเห็นเจ้าเหมือนเห็นจันทร์ทรงกลดบนฝากฟ้าไกลที่มีหิมะตกลงมาผะแผ่ว”]

ไม่มีใครละสายตาไปจากภาพด้านข้างของเด็กหนุ่มที่หลุบตาลงอ่านกลอนเลย เขาขโมยสายตาของทุกคนที่อยู่ในห้องประชุม ปีเตอร์ก็ไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้เช่นกัน

[“เพื่อเจ้าแล้วทุกสิ่งอย่างล้วนมีนามให้กล่าวขาน แลสิ่งนั้นคือความยินดี ที่รักเอ๋ย”]

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น

เด็กนักเรียนหญิงที่กำลังตั้งใจฟังการอ่านกลอนของเขาส่งสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและเคารพไปให้เขาอย่างพร้อมเพียงกัน

เขาส่งหนังสือคืนคุณครูอีกครั้ง เด็กนักเรียนหญิงที่นั่งใกล้ๆ เอี้ยวตัวมาส่งสายตาให้เด็กหนุ่มอย่างเปิดเผย เด็กหนุ่มเท้าคางและฟังคำอธิบายของครูเหมือนกับว่าเขาจดจ่ออยู่กับบทเรียน

เขาจะต้องจดทุกอย่างลงสมุดโน้ต แต่ปีเตอร์ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ สิ่งที่เขาทำมีเพียงแค่อ่านหน้ากระดาษเดิมของหนังสือซ้ำๆ เท่านั้น แต่ไม่มีคำศัพท์คำไหนเข้าหัวของเขาเลยแม้แต่คำเดียว

ตอนที่ตั้งสติได้ปีเตอร์ก็ได้รู้ว่าตนเองเอาแต่เขียนคำเดิมๆ ซ้ำๆ ลงในสมุดโน้ต

ที่รักของข้า ที่รักของข้า…ที่รักของข้า

นั่นคือวรรคสุดท้ายของกลอนที่เด็กหนุ่มคนนั้นอ่าน

ปีเตอร์ฉีกกระดาษสมุดโน้ตนั้นลงถังขยะทันทีที่เลิกเรียน เขามีความลับกับเจนนี่เป็นครั้งแรก และนั่นก็คือเรื่องในตอนบ่ายวันอาทิตย์

***

“เฮ้อ…”

อินซอบถอนหายใจ เขาเปิดน้ำที่อ่างล้างหน้าและเริ่มล้างมืออีกครั้ง เขาปิดก๊อกน้ำลงในตอนที่ความรู้สึกตรงปลายนิ้วค่อยๆ หายไป สิ่งที่เหลืออยู่ตรงปลายนิ้วมีเพียงความเย็นที่เหมือนจะเย็นจนกลายเป็นน้ำแข็งเท่านั้น

อินซอบมองตัวเองในกระจกพร้อมกับทุบหน้าอกตัวเองเบาๆ

“นายทำได้ มาคิดแค่เรื่องเดียวกันเถอะ”

เขาใช้ฝ่ามือตบแก้มจนเกิดเสียงและเดินออกจากห้องน้ำ

‘อย่าทำตัวอ่อนแอ นายทำได้ นายทำได้ ทิ้งความคิดไร้สาระพวกนั้นไปซะ’ อินซอบพึมพำไม่ยอมหยุดพร้อมกับก้าวเท้าเร็วๆ เขามองไม่เห็นคนที่เดินมาจากอีกฝั่งในตอนที่เลี้ยวตรงหัวมุม และบวกกับความเร็วที่เขาเดิน ผลลัพธ์ที่ออกมาย่อมแน่นอน

“โอ๊ย!”

เสียงของผู้หญิงดังขึ้นหลังจากที่เขารู้สึกถึงแรงปะทะ ตอนที่อินซอบเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ อีกฝ่ายที่ถูกเขาชนก็ล้มกระแทกพื้นและหงายหลังไปแล้ว

“ขอโทษครับ”

ชเวอินซอบรีบเอื้อมมือไปช่วยดึงอีกฝ่ายที่ล้มให้ลุกขึ้น

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ เพราะผมเดินไม่ระวังเองครับ ขอโทษด้วยนะครับ”

เขาขอโทษพร้อมกับสำรวจดูว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่

“ไม่เป็นไรค่ะ แค่ล้มลงไปเท่านั้น…โอ๊ะ”

หญิงสาวอุทานสั้นๆ พร้อมกับชี้หน้าอินซอบ

“คุณชเวอินซอบเพื่อนสนิทของคุณอีอูยอนที่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว และตอนนี้กำลังทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้กับคุณอีอูยอน!”

มีเจตนาร้ายแฝงอยู่ในคำพูดนั้น ชเวอินซอบจำนักข่าวคิมแฮชินได้และโค้งคำนับอีกฝ่าย

“คุณอูยอนนี่ดีนะคะ ได้เพื่อนสนิทมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้ด้วย”

“…”

อินซอบไม่ได้แก้ตัวอะไรเป็นพิเศษ เพราะเขารู้สึกได้ว่าเธอกำลังวิเคราะห์สถานการณ์ทั้งหมดอยู่

“เห็นว่าหลังจากวันนั้นคุณอูยอนบอกว่าจะไม่รับการสัมภาษณ์เพื่อทำข่าวจากพวกเราแล้วนี่คะ”

“ไม่ใช่นะครับ เราไม่ได้ปฏิเสธการให้สัมภาษณ์บริษัทไหนเป็นพิเศษครับ ถ้าเวลาตรงกันผมจะนัดเวลาให้นะครับ”

“ได้ค่ะ แต่ดูเหมือนจะบังเอิญเวลาไม่ตรงกับทางเราอยู่เรื่อยเลยนะคะ คุณอูยอนน่ะ”

หลังจากที่สัมภาษณ์ไปวันนั้น อีอูยอนก็สั่งห้ามไม่ให้รับงานสัมภาษณ์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับนักข่าวคิมแฮชิน บางทีวันที่เธอจะได้สัมภาษณ์อีอูยอนอย่างเป็นทางการอาจจะมาไม่ถึงก็เป็นได้ ทั้งนักข่าวคิมแฮชินและชเวอินซอบต่างก็รู้ความจริงนั้นดี

“ถ้าเวลาตรงกันผมจะนัดวันให้ครับ”

เพราะฉะนั้นอินซอบจึงทำได้เพียงพูดคำที่เหมือนกับเมื่อสักครู่นี้อีกครั้ง นักข่าวคิมแฮชินทอดสายตามองเขานิ่งๆ พร้อมหยิบบุหรี่จากกระเป๋ากางเกงมาคาบไว้ หญิงสาวที่ค้นกระเป๋ากางเกงกับกระเป๋าถือเพื่อหาไฟแช็กพลางถามอินซอบว่าเขามีไฟแช็กไหม

อินซอบหยิบไฟแช็กออกมาจากกระเป๋าและจุดบุหรี่ให้เธอ นักข่าวคิมแฮชินพ่นควันออกมาพร้อมกับชวนให้ชเวอินซอบสูบบุหรี่ด้วย

“ผมไม่สูบบุหรี่ครับ”

“ทำไมคนที่ไม่สูบบุหรี่ถึงพกไฟแช็กไปไหนมาไหนด้วยล่ะคะ เอาไว้จุดให้ใครเหรอ”

“…”

หลังจากวันที่เขารู้ความจริงว่าอีอูยอนสูบบุหรี่บ้างเป็นบางครั้ง อินซอบก็พกไฟแช็กไว้ในกระเป๋าของตนเสมอ

“ผมพกไว้เพราะไม่รู้ว่ามันจะจำเป็นตอนไหนครับ”

อินซอบเก็บไฟแช็กกลับใส่กระเป๋าและตอบอีกฝ่ายอย่างที่ควรตอบ

“ว่าแต่คุณมาที่นี่ในเวลานี้ทำไมครับ”

“ถามตั้งแต่เนิ่นๆ เลยสินะคะเนี่ย ทำไมคนอย่างฉันถึงมาในที่แบบนี้ในเวลานี้น่ะเหรอคะ มันก็แน่อยู่แล้ว ฉันก็เดินเตร็ดเตร่หาข่าวไปเรื่อยน่ะสิคะ”

นักข่าวคิมแฮชินยกกล้องตัวใหญ่ที่สะพายอยู่ตรงไหล่ข้างหนึ่งให้ดูพลางยิ้ม เนื่องจากช่วงนี้ยิ่งข่าวในหนังสือพิมพ์บันเทิงเขียนได้เร้าใจเท่าไรก็ยิ่งขายได้มากขึ้นเท่านั้น อินซอบจึงเคยได้ยินเรื่องที่ว่าพวกนักข่าวตามดาราพร้อมกับแอบเก็บข้อมูลเพื่อทำข่าวเหมือนกับพวกปาปารัซซี่ที่เมืองนอก

“ลำบากแย่เลยนะครับ”

“นั่นไม่ได้พูดแซะฉันใช่ไหมคะ”

“ครับ ผมพูดอย่างจริงใจนะครับ นี่ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ”

“เปล่าค่ะ พอมองหน้าแล้วคุณก็จริงใจจริงๆ นั่นแหละ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่คำที่จะได้ยินจากผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนที่ฉันกำลังเพ่งเล็งอยู่เลย”

แม้คำพูดที่บอกว่ากำลังเพ่งเล็งอยู่จะดูน่าขนลุก แต่ถ้ามองแบบกว้างๆ ตนกับนักข่าวคิมแฮชินคือเพื่อนร่วมอุดมการณ์กัน อินซอบพึมพำว่า ‘อย่างนั้นเหรอครับ’ พร้อมทั้งหลุบตาลง

“เริ่มทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของคุณอีอูยอนมานานหรือยังคะ”

“ยังไม่นานเท่าไรครับ”

“งั้นเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นรับนี่ไปสิคะ”

เธอคาบบุหรี่ไว้และดึงนามบัตรออกมายื่นให้เขา ในนามบัตรนั้นมีเบอร์ติดต่อกับอีเมลส่วนตัวของเธอเขียนไว้อยู่

ชเวอินซอบลังเลไปพักหนึ่ง ในฐานะผู้จัดการส่วนตัวการได้รับนามบัตรจากนักข่าวไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่กลับคิมแฮชินนั้นต่างออกไปเล็กน้อย เนื่องจากเธอเป็นนักข่าวที่อีอูยอนสั่งห้ามไม่ให้รับงานสัมภาษณ์ด้วยตนเอง จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่เขาจะระมัดระวังการกระทำ

“ขอบคุณครับ”

แต่ถ้าไม่รับตรงนี้มันจะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าได้ อินซอบรับนามบัตรของคิมแฮชินด้วยสองมือพร้อมกับก้มหัว

“แล้วคุณผู้จัดการส่วนตัวไม่ให้นามบัตรฉันเหรอคะ”

“ผมยังไม่มีครับ”

และผมก็ไม่คิดจะทำด้วย

“คิดได้ดีเลยค่ะ ยังไงคุณก็น่าจะโดนให้ออกก่อนที่หมึกจะแห้งอยู่แล้ว”

“…”

“ตอนเลิกทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวแล้ว ช่วยโทรศัพท์หาฉันสักครั้งนะคะ ฉันจะสัมภาษณ์คุณโดยใช้นามสมมติสักหน่อย”

“ถ้าผมลาออกแล้วไว้ตอนนั้นผมจะคิดดูนะครับ”

อินซอบให้คำตอบที่คลุมเครือที่ไม่ใช่ทั้งการตอบรับและการปฏิเสธก่อนจะเอ่ยลาหญิงสาว

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

“ได้ค่ะ ถ้าคิดจะลาออกแล้วต้องติดต่อมานะคะ”

ชเวอินซอบมั่นใจว่าเขาจะโดนไล่ออกเร็วๆ นี้เพราะคำพูดของนักข่าวคิมแฮชิน อินซอบก้มหัวลาอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไร

อีอูยอนที่กำลังถือบทอยู่หน้ากองถ่ายถอดเสื้อส่งมาให้เขาเหมือนกำลังรอชเวอินซอบอยู่

“เดี๋ยวผมจะต้องไปถ่ายทำต่อแล้วนะครับ”

“ครับ ทราบแล้วครับ”

ชเวอินซอบรับเสื้อของอีอูยอนมาพับครึ่งและพาดไว้ตรงแขน พอเขาทำแบบนั้นอีอูยอนก็แย่งเสื้อกลับไปถืออีกครั้ง

“อย่าทำแบบนั้นสิครับ”

เขากางเสื้อของตนออกและเอามันคลุมไหล่ให้อินซอบ เสื้อของอีอูยอนคลุมเหมือนกับโอบกอดร่างกายของชเวอินซอบไว้เพราะขนาดรูปร่างที่ต่างกันของคนทั้งคู่ และมันก็ทำให้เขาดูเหมือนเด็กที่เอาเสื้อผ้าของผู้ใหญ่มาใส่ พวกสตาฟที่เดินผ่านเห็นเขาและหัวเราะคิกๆ

“ผมไม่เป็นไรครับ”

ทันทีที่ชเวอินซอบพยายามจะถอดเสื้อออกอย่างลุกลี้ลุกลน อีอูยอนก็ใช้มือกดไหล่ของเขาไว้ คราวนี้อีกฝ่ายใช้แรงจับที่มหาศาลจนอินซอบต้องร้องออกมาเบาๆ พร้อมกับเอามือกุมไหล่ตัวเองไว้

“ขอโทษครับ เจ็บเหรอ”

“ไม่ครับ”

แม้เขาจะเจ็บจนน้ำตาจะไหล แต่อินซอบกลับแกล้งทำหน้านิ่งและเงยหน้าขึ้น เขาสบตากับอีอูยอน อีอูยอนยิ้มพรายพร้อมกับตบบ่าเขา

“งั้นก็รออยู่ตรงนี้นะครับ ห้ามถอดเสื้อนะ ถ้าคุณถอดเสื้อคลุม ผมจะออกมาใส่ให้คุณใหม่”

อีอูยอนพูดอย่างนั้นและเดินกลับเข้าไปในกองถ่ายอีกครั้ง อินซอบที่ถูกเสื้อคลุมของอีกฝ่ายห่อเอาไว้ยืนนิ่ง ไม่สามารถทำอะไรได้ สุดท้ายเขาก็ต้องยืนรอให้การถ่ายทำจบลง

เป็นไปตามที่อีอูยอนพูด

วันนี้เป็นวันที่ยาวนานมากจริงๆ

***

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท