สุดท้ายเขาก็กลับมาที่บ้านโดยไม่ได้คุยอะไรกับเจนนี่ เจนนี่ที่ซึมเศร้ามักจะไม่ไปโรงเรียน ถ้าเธอหลุดออกมาจากอุโมงค์แห่งความซึมเศร้าที่ทอดยาวได้แล้ว เธอก็มักจะมาหาปีเตอร์พร้อมทำสีหน้าสดใสคล้ายจะถามว่าเธอเคยเป็นแบบนั้นตอนไหน เด็กหญิงมักจะเล่าเรื่องที่เธอไปเที่ยวมาในช่วงสองสามวันนั้นด้วยท่าทางโอเวอร์กว่าปกติถึงสองเท่า
ที่ที่เธอไปเที่ยวคือบ้านของคุณป้าสเปนเซอร์ เจนนี่อธิบายเรื่องของคุณป้าผู้เป็นเศรษฐีนี และเรื่องที่เธอได้เดินทางไปเที่ยวรอบโลกด้วยสายตาที่เป็นประกาย ยิ่งพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับปาร์ตี้ที่จัดขึ้นที่บ้านของคุณป้าสเปนเซอร์กับพวกเพชรพลอย หรือเรื่องชุดเดรสที่คุณป้าให้เธอเป็นของขวัญ เธอก็ยิ่งอธิบายละเอียดมากขึ้นเท่านั้น ปีเตอร์รู้ว่าจริงๆ แล้วเด็กสาวกำลังกุเรื่องขึ้นมาเหมือนกับตน
ถ้าจะมีจุดที่แตกต่างกันในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ ก็คือปีเตอร์รู้ความจริงว่าเรื่องเล่าที่ตนสร้างขึ้น เป็นแค่การแต่งเรื่องขึ้นมา แต่เจนนี่มัวเมากับเรื่องโกหกที่ตนสร้างขึ้น และเห็นว่ามันเป็นเรื่องจริง
เจนนี่จะแต่งเรื่องขึ้นมาทุกครั้งที่เธอทนกับความเป็นจริงไม่ไหว แม้ปีเตอร์จะรู้ความจริงพวกนั้นทั้งหมด แต่เขาก็ไม่อยากบอกเรื่องนั้นและสร้างบาดแผลให้เธอ
“ฉันเล่าไปหรือยังนะ ว่าคราวก่อนโน้นฉันได้สบตากับเจ้าชายที่โรงอาหารของโรงเรียนด้วย ฉันกำลังถือจานเดินผ่านไป แล้วเจ้าชายก็มองฉันพร้อมกับทำตายิ้มให้ด้วย เห็นได้ชัดเลยว่าเขาจะต้องสนใจฉันแน่ๆ เขาจะต้องพูดกับฉันอีกครั้งสักวันอย่างแน่นอน”
“นั่นสิ หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะ”
“แล้วนายไม่มีคนที่ชอบบ้างเหรอ”
“ไม่มีหรอก”
“ทำไมล่ะ ในห้องนายก็มีคนสวยๆ อยู่ไม่น้อยเลยนะ”
ปีเตอร์ยิ้มโดยไม่พูดอะไร
เด็กสวยๆ มีอยู่มาก พ่อของปีเตอร์พูดเสมอว่า ‘ผู้หญิงทุกคนบนโลกเป็นสิ่งที่สวยงามและล้ำค่า’ ปีเตอร์เองก็คิดอย่างนั้น
“เธอก็สวยนะ”
“ตายแล้ว ฉันควรจะทำยังไงดีล่ะ แต่ว่านะ ฉันมีผู้ชายที่ชอบอยู่แล้วน่ะสิ ถ้าฉันไปได้ไม่สวยกับเจ้าชาย ฉันจะลองคิดดูก็แล้วกันนะ”
“อะไรกัน ฉันเป็นตัวสำรองเหรอ”
“เปล่า นายเป็นเพื่อนของฉันไง”
เจนนี่ที่กำลังดื่มเบียร์อยู่หัวเราะร่า เธอพูดเสริมอีกว่า ‘ต่อให้ฉันต้องมอบหัวใจให้เธอ ฉันก็ไม่เสียดายแล้ว’ เพราะเธอคิดว่าแค่คำพูดนั้นมันยังไม่พอ
“เธอเองก็เป็นเพื่อนคนสำคัญของฉัน เพราะฉะนั้นฉันจะไม่แย่งเธอไปจากเจ้าชาย”
“เฮ้อ ปีเตอร์ ขอโทษนะ ไว้เจอกันใหม่ในโลกหน้าเถอะ ตอนนั้นฉันจะให้นายเป็นที่หนึ่งเลย”
ปีเตอร์เอามือยันหินและเอนตัวไปด้านหลัง ลมเย็นๆ ของริมทะเลสาบพัดเส้นผมของเขา
“รู้สึก…ดีจัง”
ปีเตอร์บ่นพึมพำ เจนนี่ตอบว่า ‘ฉันด้วย’ และนอนลงข้างๆ เขา
“การดื่มเหล้ารสชาติเป็นแบบนี้เองสินะ”
“เฮ้ๆ พูดอะไรน่ะ เบียร์ยังหมดไปไม่ถึงครึ่งกระป๋องเลย”
“ฮ่าๆๆๆ งั้นเหรอ”
ปีเตอร์ดื่มเบียร์ไปอีกอึกหนึ่ง เขานิ่วหน้าเพราะรู้สึกถึงความซ่าที่ไม่เย็น แต่เขารู้สึกดีขึ้นเพราะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกมึนๆ ของแอลกอฮอล์ที่กระจายอยู่ในเส้นเลือด
“ปีเตอร์ ดาวตก”
เจนนี่ที่นอนอยู่กระดุกเสื้อของปีเตอร์
“อธิษฐานหรือยัง”
“แน่นอนสิ งานพรอมกับเจ้าชายไง”
แม้จะรู้แล้วว่าเขาชื่อฟิลลิป แต่คำอธิษฐานของเจนนี่ก็ยังเหมือนเดิม คือการเป็นคู่ในงานพรอมของอีกฝ่ายซึ่งเป็นเจ้าชายของโรงเรียน
“แล้วฉันก็จะเต้นกับนายด้วย”
“ตอนนั้นฉันไม่ใช่นักเรียนที่กำลังจะเรียนจบน่ะสิ”
“แต่ถึงยังไงนายก็เต้นได้หน่า ไม่เป็นไรนะ ฉันจะนำเอง”
คำพูดของเธอที่เหมือนจะมีความเมตตาน่าตลก และปีเตอร์ก็ระเบิดหัวเราะ เขาไม่หยุดหัวเราะเลย แล้วเสียงหัวเราะก็กลายเป็นเสียงสะอึกในทันที
“เมาเหรอ”
“ฮ่าๆๆๆ…ฮึก อื้อ…หึๆๆๆ”
“โอ้ ปีเตอร์ที่น่าสงสาร”
เธอช่วยลูบหลังของปีเตอร์ ปีเตอร์ถูกทำให้นอนลงบนหิน และเขาก็อารมณ์ดีขึ้นมาก
“นายเองก็รีบๆ หาคนที่ชอบเข้าล่ะ”
“เรื่องนั้นก็แล้วแต่ฉันจะตัดสินใจหรือเปล่า”
“ถ้าตัดสินใจก่อนแล้วค่อยชอบ มันจะเป็นปัญหาสองต่อนะ แค่ทำตามหัวใจก็พอ เพราะถ้าทำแบบนั้นจะง่ายขึ้น”
ปีเตอร์ยิ้มและพยักหน้าให้กับคำเตือนของเจนนี่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องรักข้างเดียว
“สิ่งที่หัวใจพาไปน่ะ ไม่มีอะไรสามารถขวางได้หรอก ตาเราจะมองไปที่คนคนนั้นก่อน และตอนที่รู้สึกตัวมันก็สายไปแล้ว เพราะก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าหัวใจเราต่างหากที่ไปก่อนสายตา”
“แล้วอะไรอีก”
“ตอนที่ตั้งสติได้ เขาก็กลายเป็นโลกทั้งใบไปแล้ว นี่! เจ้าชาย! เจ้าชายคือโลกทั้งใบของฉันนะ!”
เจนนี่กางแขนทั้งสองข้างไปทางท้องฟ้า ปีเตอร์กางมือออกตามเธอ ลมเย็นๆ ทำให้เขารู้สึกจั๊กจี้ที่ปลายนิ้ว โลกสั่นไหวไปตามที่สายลมพัด การดื่มเหล้าที่เพิ่งเคยสัมผัสเป็นครั้งแรกทำให้เขาอารมณ์ดีที่สุด จนกระทั่งปีเตอร์รู้สึกว่าท้องไส้ปั่นป่วนและอ้วกของที่กินไปเมื่อเย็นวันนั้นออกมาจนหมด
***
“อื้อ…”
ความรู้สึกปวดสุดขีดกำลังผ่าหัวของเขาออก มันเจ็บเหมือนมีใครเอามงกุฎมารัดตั้งแต่กระหม่อมไปจนถึงบริเวณขมับในระหว่างที่เขาหลับ และภายในของเขาก็ปวดถึงขนาดที่เขาคิดว่ามีใครทำยาพิษหกลงไปหรือเปล่า
เขารู้สึกดีตอนที่ดื่มเหล้า แต่เช้าวันต่อมาคือความทรมาน ถึงเขาจะรู้ความจริงข้อนี้มาตั้งนานแล้ว แต่เขาก็ยังหาวิธีหลุดพ้นจากอาการเมาค้างไม่ได้เสียที
อินซอบพยายามลุกขึ้น แต่ร่างกายของเขาไม่ขยับอย่างที่ตั้งใจ นั่นเป็นเพราะพวกพนักงานเข้ามาอวยพรวันเกิดให้เขา และเขาไม่สามารถปฏิเสธเหล้าที่คนเหล่านั้นส่งให้ได้ ก็เลยดื่มมันลงไปจนหมด เขาอยากจะปฏิเสธไปตามสมควร แต่เขาก็ดื่มจนหมดแก้ว ตามมารยาทของคนเกาหลีที่จะต้องดื่มเหล้าที่คนอาวุโสกว่ามอบให้ให้หมดในรวดเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อวานเป็นวันเกิดปลอมๆ ในเอกสารของเขา ที่เกาหลีเรียกความรุนแรงที่เพื่อนร่วมงานที่สนิทมีสิทธิ์มอบให้ในวันเกิดว่าของขวัญ มันเรียกว่าอะไรน้า วันเกิด…อะไรน้า ใช่แล้ว การแกงในวันเกิด นี่เราถูกแกงในวันเกิดแล้วเหรอเนี่ย
“อื้อ…ปวดหัวจัง”
อินซอบใช้มือกดหน้าผากพลางบ่นพึมพำ แม้จะรู้สึกหิวน้ำเหมือนความชื้นทั้งตัวบินหายไป แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะเดินไปจนถึงตู้เย็น
“ดื่มน้ำไหมครับ”
“ครับ”
“นี่ครับ”
แก้วน้ำถูกยื่นมาเหนือหัว อินซอบยื่นมือไปรับมาถือไว้ และยันตัวขึ้นมาอย่างยากลำบาก เขาซึมซับความรู้สึกตอนที่น้ำเย็นๆ กระจายไปทั่วร่างพลางหลับตา
ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ก็ใจดีจริงๆ นะ เขารู้ได้ยังไงว่าเราคอแห้ง
“ขอบคุณคะ…!”
อินซอบพ่นน้ำที่อยู่ในปากออกมา น้ำที่พุ่งออกมาจากปากเขาทำให้พรมเปียก
“ให้ตาย”
อีอูยอนมองพรมที่เปื้อนน้ำด้วยสายตาเป็นกังวลพลางเดาะลิ้น ชเวอินซอบลองกะพริบตาอยู่สองสามทีเพราะคิดว่าตัวเองตื่นหรือยัง
อีอูยอนกำลังยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ ใต้เอวของเขามีผ้าขนหนูผืนหนึ่งพันเอาไว้
“ทำไม…ผม…ถึง…”
“เมื่อวานคุณเมาเหล้าแล้วทรุดตัวลงไปนอนที่ถนนน่ะครับ จำได้ไหม”
อินซอบส่ายหน้าทั้งๆ ที่ยังอ้าปากค้างอยู่
“ถึงจะตื่นแล้ว แต่คุณก็ไม่ยอมลุก ผมก็เลยพากลับมาก่อนที่จะมีใครมาพาไปน่ะครับ”
“…”
“ผมพาคุณกลับมาที่บ้านของผมเองครับ ผมเหนื่อยมากเลยนะเนี่ย เพราะมัวแต่ต้องแบกคุณ”
“บะ แบกเหรอครับ”
อีอูยอนมองตาที่กลมโตของชเวอินซอบค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับพูดต่อช้าๆ
“คุณจะต้องเพิ่มน้ำหนักหน่อยนะครับ ไม่ใช่ว่าผมเหนื่อยเพราะคุณหนักนะ แต่กระดูกมันทิ่มเพราะคุณผอมมาก”
“…ผม…”
อินซอบไม่สามารถตอบได้อย่างปกติ เนื่องจากความตกใจที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง
ความจริงสิ่งที่อีอูยอนทำหลังจากที่คิดจะเก็บชเวอินซอบกลับมาจากถนนคือการยกมือเรียกแท็กซี่เท่านั้น ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของคนขับแท็กซี่ที่ได้รับทิปจำนวนมาก
“ขอโทษครับ”
อินซอบที่แทบจะตั้งสติไม่ได้ก้มหน้า เขาบอกว่าจะไม่สร้างความลำบากให้คนอื่น และนึกว่าตนดิ้นรนกลับออกมาจากบริษัทได้เป็นอย่างดี แต่ในความเป็นจริงเขากลับถูกอีอูยอนแบกขึ้นหลังมาที่นี่
นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะจบได้ด้วยการขอโทษ ดูเหมือนว่าเขาจะได้ฟังคำว่า ‘คุณถูกไล่ออก’ จากปากของอีอูยอนตอนนี้แหละ
เจนนี่ขอโทษนะ สิ่งที่ฉันจะสามารถทำให้เธอได้มีแค่…
“ทำอะไรอยู่ครับ”
“ครับ?”
“ไปอาบน้ำสิ ลืมเหรอครับว่าผมต้องเริ่มถ่ายละครตั้งแต่วันนี้”
อีอูยอนใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่เปียกพลางเอ่ยถาม อินซอบที่นอนตะแคงอยู่บนโซฟาเด้งตัวขึ้นมาทันทีเพราะคำพูดนั้น แม้ภายในหัวของเขาจะยังว่างเปล่า แต่เขาก็รีบเข้าไปในห้องน้ำให้เร็วที่สุด
อีอูยอนพูดอย่างอ่อนโยนว่า ‘รีบเตรียมตัวนะครับ’ อยู่นอกห้องน้ำ อินซอบต้อนรับเช้าที่ไม่สมจริงนี้ด้วยน้ำที่ไหลลงมาจากฝักบัว
***
ทั้งสองคนต้องเรียกแท็กซี่เพราะจอดรถตู้ไว้ที่บริษัท หลังจากเปลี่ยนมาขึ้นรถตู้แล้ว อินซอบก็ยังทำตัวไม่ถูกเพราะมัวแต่สนใจอีอูยอนที่นั่งอยู่ด้านหลัง
“ขอโทษนะครับที่ไม่ได้เตรียมกาแฟไว้ให้”
“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่ตอนนี้คุณไม่ได้เมาแล้วขับใช่ไหม”
“…ผมสร่างแล้วครับ”
ตอนที่เขาเห็นอีอูยอนที่อยู่ในร่างเกือบเปลือยก้มมองตนอยู่ อาการเมาของอินซอบก็หายสนิท
“แต่ก็น่าจะมีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดอยู่นะครับ”
“เดี๋ยวผมจะแวะร้านสะดวกซื้อแล้วซื้อยามากินครับ”
“ล้อเล่นครับ”
“…”
ตอนนี้แม้แต่คำพูดเล่นของอีอูยอน เขาก็จะไม่ฟังส่งๆ เด็ดขาด เขากังวลว่าเมื่อวานตนทำอะไรผิดด้วยฤทธิ์ของเหล้าหรือเปล่า ริมฝีปากก็แห้งผาก อินซอบกัดปากด้วยความวุ่นวายใจ
“จะรับอะไรเป็นอาหารเช้าดีครับ”
ถ้าเป็นเวลาปกติเขาจะเตรียมสิ่งที่ถูกปากอีอูยอนเอาไว้ แต่วันนี้เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้
“แวะจุดพักรถสักแป๊บ…ไม่เป็นไรครับ ที่กองถ่ายน่าจะมีรถอาหารมา เดี๋ยวผมไปกินที่นั่นก็ได้”
อีอูยอนเห็นว่าไหล่ของอินซอบห่อลงตอนที่ได้ยินคำว่าจุดพักรถคล้ายนึกถึงความทรงจำที่ไม่ดีขึ้นมา จึงเปลี่ยนคำพูดอย่างชำนาญ
“เดี๋ยวผมจะแวะที่จัดพักรถให้สักพักหนึ่งครับ”
“ไม่ต้องหรอกครับ ดูเหมือนเวลาก็จะไม่ได้ด้วย ขับรถตรงไปเลยก็ได้ครับ”
คำพูดของอีอูยอนไม่ผิดเลยสักนิด พวกเขาไม่เหลือเวลาแล้ว เพราะจะต้องไปถึงกองถ่ายนอกสถานที่ที่อยู่ในคังวอนโดก่อนเก้าโมงเช้า
เขาจะต้องใส่ใจเตรียมอาหารเช้ามากกว่าทุกวัน เพราะมีฉากต่อสู้ที่กองถ่ายนอกสถานที่ เมื่อวานเขาจะต้องดื่มอย่างพอประมาณและกลับบ้าน แต่พอความเหงาฝังไปจนถึงกระดูก เขาจึงหลงไปกับความใจดีของทุกคนจนไม่สามารถพูดคำว่าจะกลับแล้วได้ แถมเขายังรับแก้วเหล้ามาจนเลยเที่ยงคืนอีกด้วย
แต่พอสร่างแล้วเราดันมาอยู่ที่บ้านของอีอูยอนเนี่ยนะ
ชเวอินซอบเบื่อหน่ายกับความโง่ของตนจนอยากจะเขกหัวตัวเอง
“เฮ้อ…”
อีอูยอนที่กำลังอ่านบทอยู่เงยหน้าขึ้นมาทันทีที่อินซอบถอนหายใจโดยไม่รู้ตัว
“เป็นอะไรครับ ปวดหัวเหรอ”
“ผมไม่เป็นไรครับ”
“แล้วมือเป็นยังไงบ้างครับ”
“ไม่เป็นอะไรแล้วครับ แผลก็เกือบจะปิดสนิทแล้ว”
ก็แค่เลือดออกเยอะเกินกว่าที่แผลโดนมีดโกนหนวดบาดควรจะเป็นเท่านั้นเอง มันไม่เป็นอุปสรรคอะไรกับการขับรถ ถ้าจะมีปัญหาก็คือเขามีเหงื่อออกที่มือจนแสบแผล เพราะกังวลเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนมากกว่า
“ดูเหมือนเมื่อวานคุณจะดื่มเหล้าไปเยอะเลยนะครับ”
“ครับ ก็ช่วยอะไรไม่ได้นี่ครับ มันเป็นการแกงในวันเกิดนี่นา”
“แกงในวันเกิดเหรอครับ”
“ครับ”
จากท่าทางที่ตอบอย่างหนักแน่นแล้ว ดูเหมือนนี่จะไม่ใช่การล้อเล่น อีอูยอนยิ้มพร้อมกับช่วยแก้ข้อผิดพลาดของอีกฝ่ายให้
“การแกล้งในวันเกิดครับ”
“ครับ?”
“ไม่ใช่แกงครับ แต่คือแกล้ง”
“ครับ…แกล้งครับ การแกล้งในวันเกิด”
ใบหูของอินซอบผู้ซึ่งกำลังกำพวงมาลัยอยู่แดงขึ้นมาทันที อีอูยอนเกิดความรู้สึกอยากจะเอื้อมออกไปหมุนหัวของอินซอบให้หันมาด้านหลัง แต่แน่นอนว่าเขาไม่โง่ถึงขนาดทำแบบนั้น
“คือว่า…ถ้าเมื่อวานผมทำอะไรผิดไป ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ”
ชเวอินซอบลังเลก่อนจะเอ่ยพูด
“ทำผิดเหรอครับ ฮ่าๆๆ ไม่มีเรื่องที่ทำผิดหรอกครับ แล้วก็…”
หัวใจของอินซอบเต้นแรงเพราะคำพูดที่มีความนัยซึ่งจบด้วยคำว่าแล้วก็ มันเต้นแรงถึงขนาดที่เขาคิดว่าหัวใจที่แข็งแรงขึ้นแล้วดวงนี้เกิดความผิดปกติอะไรขึ้นหรือเปล่า
“คุณแค่ทำนิสัยที่คนเมาชอบทำนิดหน่อยเองครับ”
“นิ นิสัยที่คนเมาชอบทำเหรอครับ”
เขาเกือบจะเบรกกะทันหันบนทางด่วนแล้ว อินซอบตั้งสติและถามกลับด้วยน้ำเสียงที่สุขุมที่สุด
“ที่ผมทำน่ะ…เรียกว่านิสัยที่คนเมาชอบทำเหรอครับ”
“ครับ”
“…”
อย่าว่าแต่จะแก้แค้นเลย เราเปิดประตูรถแล้วกระโดดออกไปตอนนี้เลยดีไหม
อีอูยอนมองท่าทีมึนงงของอินซอบ เขายิ้มพร้อมกับพูดต่อ
“เจนนี่เป็นคนไม่ดีเหรอครับ”
“…!”