“เฮือก อินซอบ”
กรรมการผู้จัดการคิมที่เห็นอินซอบมาที่บริษัทเรียกชื่อเขาด้วยความตกใจ
“สวัสดีครับ”
“นี่ ทำไมช่วงสองสามวันมานี้นายหน้าซีดขนาดนี้ล่ะ อ๋อ ใช่สิ อีอูยอนเริ่มถ่ายละครแล้วใช่ไหม”
“ครับ”
“น่าเหนื่อยจริงๆ แต่เดี๋ยวก็น่าจะเหนื่อยขึ้นอีก”
เนื่องจากตอนนี้อยู่ในระหว่างการถ่ายทำล่วงหน้า จึงต้องถ่ายทำโต้รุ่งกันสองวันครั้ง แต่ถ้าเข้าสู่ช่วงที่ต้องถ่ายทำไปออกอากาศไปแล้ว การได้นอนวันละสามชั่วโมงก็ถือว่าเป็นเรื่องโชคดีแล้ว แม้จะโต้รุ่งแค่วันเดียว แต่อินซอบก็ซูบเซียวลงอย่างเห็นได้ชัดต่างจากอีอูยอนที่มีร่างกายแข็งแรงเหมือนเหล็ก
“กินยาบำรุงที่ฉันให้ไปบ้างหรือเปล่า นายต้องกินนะ”
หัวหน้าทีมชาที่อยู่ข้างๆ พูดเสริมเหมือนเป็นห่วง
“ครับ…ผมกินอยู่ครับ”
ถึงเขาจะไม่สามารถทิ้งของที่ได้รับเป็นของขวัญได้ แต่มันก็เป็นยาที่เขาไม่อยากกิน ว่าแต่มีเหตุผลอะไรที่อีอูยอนจะต้องถามอินซอบว่ากินยาหรือยังหลังกินข้าวเสร็จ และคอยเตรียมยาให้เขาด้วย นี่เป็นความใจดีที่เขาไม่ต้องการจริงๆ
“…อีอูยอนไม่ได้มีเรื่องอะไรใช่ไหม”
“ครับ ไม่ได้มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษครับ”
“โชคดีไป แล้วไม่ได้มีเรื่องที่น่าเหนื่อยใจอะไรใช่ไหม”
กรรมการผู้จัดการคิมถามอย่างเอาใจใส่ เขาจะโทรศัพท์มาถามอินซอบทุกครั้งที่มีเวลาว่ามีเรื่องที่น่าเหนื่อยใจ หรือมีเรื่องอะไรให้ช่วยหรือเปล่า และมักจะเลี้ยงข้าวหรือให้โบนัสทุกครั้งที่เขามาที่บริษัท มันเป็นความเอาใจใส่ที่มากเกินไปต่างกับผู้จัดการส่วนตัวคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด ยิ่งกรรมการผู้จัดการคิมทำดีกับตนมากเท่าไร ชเวอินซอบก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น และตั้งใจจะทำงานที่ตนได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด
กรรมการผู้จัดการคิมเป็นคนที่รู้จักใช้ไม้อ่อนไม้แข็งได้อย่างเหมาะสม เขามีความสามารถในการเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่าจะต้องใช้อะไรกับคนแบบไหนโดยสัญชาตญาณ เขาตัดสินใจว่าจะต้องใช้ไม้อ่อนทันทีที่เจอชเวอินซอบ เพราะถ้าทำดีกับคนใจอ่อนอย่างชเวอินซอบ และยิ่งทำดีด้วยมากเท่าไร คนประเภทนี้ก็จะพยายามไม่ทำให้ผิดหวังมากเท่านั้น อันที่จริงชเวอินซอบทำงานได้ดีจนเกินระดับความคาดหวังที่ตนพอใจแล้ว
กรรมการผู้จัดการคิมอยากทำทุกวิถีทางให้ชเวอินซอบยังอยู่ข้างๆ อีอูยอน
“ไม่มีอะไรครับ”
“ถ้าเหนื่อยก็บอกนะ ฉันจะให้หัวหน้าทีมชาทำงานแทนสักวะ…อ๊าก!”
มุมแฟ้มใส่เอกสารตกลงบนเท้าของกรรมการผู้จัดการคิมอย่างไร้ความปรานี ในระหว่างที่ฝ่ายนั้นกุมเท้าไว้ด้วยมือทั้งสองข้างและวิ่งรอบห้องทำงาน หัวหน้าทีมชาก็พูดต่ออย่างใจเย็น
“คุณอินซอบ ในตอนที่ยังนอนได้ก็นอนเถอะ แล้วไม่ต้องเข้ามาที่บริษัทสักพักก็ได้ เช็กตารางงานจากอีเมลหรือโทรศัพท์เอาก็ได้ ทำไมต้องเสียเวลามาที่บริษัทด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงมันก็เป็นทางกลับบ้านอยู่แล้ว”
“แต่ยังไงการแวะเข้ามามันก็ต่างกับการกลับไปเลยนะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“เฮ้อ ดูเหมือนจะไม่เคยเรียนคำว่าไม่โอเคมาเลยสินะ”
กรรมการผู้จัดการคิมหัวเราะจนหงายไปด้านหลังทันทีที่หัวหน้าทีมชาพูดจบ เพราะมันเป็นคำที่พูดกันในรายการวาไรตี้โชว์ที่มีชื่อเสียง หัวหน้าทีมชาเองก็หัวเราะไปด้วย อินซอบที่ไม่เคยดูรายการวาไรตี้โชว์ของเกาหลีหน้าแดงและตะโกนออกไป เพราะคิดว่าตนถูกล้อเลียน
“เคยเรียนนะครับ คำพูดนั้นผมก็รู้จักเหมือนกัน ผมเรียนมาครับ”
“หะ แล้วใครเขาว่าอะไรล่ะ ซอบนี่แยกคำพูดจริงหรือพูดเล่นไม่ออกจริงๆ ด้วยสินะ จะลองไปเรียนที่สถาบันสอนแยกเรื่องพวกนั้นดูไหม”
“…”
อินซอบตัดสินใจว่ากลับบ้านไปวันนี้เขาจะต้องไปค้นหาสถาบันนั้นและสมัครเรียนทันที
“งั้นตารางงานวันนี้ก็เสร็จแค่นี้ใช่ไหม เสร็จเร็วอยู่นะเนี่ย ถ้าจะกลับบ้านเดี๋ยวฉันไปส่ง”
กรรมการผู้จัดการคิมเอากุญแจรถใส่กระเป๋าในขณะที่พูด หลังจากไปส่งอีอูยอนที่บ้านแล้ว ชเวอินซอบมักจะเอารถมาจอดที่ลานจอดรถของบริษัทและเดินกลับบ้าน ดังนั้นการที่อินซอบที่ช่วงนี้ยุ่งจนไม่มีเวลาหายใจหายคอเข้ามาเช็กตารางงานที่ได้บริษัทได้ ก็หมายความว่าเขาส่งอีอูยอนจนถึงบ้านแล้ว
“เปล่าครับ ผมจะต้องไปต่ออีก”
“จะไปที่ไหนอีกล่ะ”
“ผมหาเวลาเข้ามาครู่หนึ่งเพราะตอนนี้คุณอีอูยอนกำลังออกกำลังกายอยู่ครับ”
“นายเป็นนาย อีอูยอนก็เป็นอีอูยอนจริงๆ เจ้านั่นเหนื่อยขนาดนั้นแท้ๆ ยังออกกำลังกายอยู่ได้ยังไงเนี่ย ไม่ใช่คนแล้ว นี่มันสัตว์ป่าชัดๆ”
หัวหน้าทีมชาเดาะลิ้นพร้อมกับจ้องกรรมการผู้จัดการคิมที่ใส่ความดาราในบริษัทของตนเองเหมือนเป็นคนอื่น
“เขาดูแลตัวเองได้ดีก็ดีอยู่แล้วนี่ครับกรรมการผู้จัดการ”
“ก็ใช่ แต่มันไม่มีความเป็นมนุษย์เลยนะ”
หัวหน้าทีมชาหัวเราะพร้อมกับหยิกสีข้างของกรรมการผู้จัดการคิม เพราะเขาคิดว่าคำพูดนั้นจะทำให้อินซอบที่เป็นแฟนคลับของอีอูยอนจะเสียความรู้สึก
“หยิกทำไมเนี่ย ฉันพูดผิดหรือไง”
หัวหน้าทีมชาชี้ไปที่อินซอบที่กำลังทำสีหน้ายุ่งเหยิงอยู่เงียบๆ กรรมการผู้จัดการคิมที่รับรู้ถึงความผิดพลาดของตนหัวเราะเสียงดังพร้อมกับพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
“ถึงจะไม่มีความเป็นมนุษย์ แต่ความจริงก็คือเขาทำตัวเป็นมืออาชีพ เพราะอีอูยอนน่ะไร้ที่ติดจนเหมือนไม่ใช่มนุษย์ยังไงล่ะ ถึงจะพยายามหาข้อเสียก็หาไม่เจอ”
“ครับ จริงครับ”
ใบหน้าของชเวอินซอบหมองลงไปอีกหนึ่งระดับ เขาคือคนที่อุทิศเวลาเพื่อหาข้อเสียของอีอูยอน
“ฮ่าๆๆ นั่นสินะ อินซอบของเราคงเหนื่อยน่าดูเลยที่ต้องทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของดาราที่สมบูรณ์แบบ”
“ไม่เป็นไรเลยครับ เพราะนี่เป็นงานที่ผมทำเพราะชอบ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ลาก่อนครับ”
“โอเค ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักนะ”
“ไว้เจอกันคราวหน้า”
อินซอบออกจากห้องทำงานไปหลังจากที่บอกลาคนทั้งคู่ อันที่จริงเขาเหลือเวลาอยู่อีกสักพักกว่าอีอูยอนจะออกกำลังกายเสร็จ แต่เขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ไปตลอดได้ เพราะนี่เป็นเวลาที่บริษัทปิดทำการแล้ว
เหนือสิ่งอื่นใดคือปัญหาที่ว่าเขาค่อยๆ ชอบคนที่ทำดีกับตนขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าพออากาศอุ่นขึ้นหัวใจของเขาก็พลอยอบอุ่นขึ้นไปด้วย และนั่นทำให้อินซอบเป็นทุกข์
เขาตั้งใจว่าจะล้างแค้นให้เสร็จก่อนที่ฤดูใบไม้ผลิจะมาถึง และรีบกลับไปที่อเมริกา
อินซอบจอดรถไว้ตรงลานจอดรถชั้นใต้ดินของฟิตเนสที่อีอูยอนใช้ออกกำลังกายและดูนาฬิกา เขาจะต้องรออีกสามสิบนาทีอีอูยอนถึงจะลงมา
ชเวอินซอบปรับเบาะให้เอนและดึงผ้าห่มมาห่ม สำหรับเขาแล้วช่วงเวลาที่นานๆ ทีจะได้นอนหลับตารออีอูยอนแบบนี้หอมหวานราวกับน้ำผึ้ง พอเพลงที่ชอบถูกบรรเลงออกมาจากเครื่องเล่นเพลงแล้ว อินซอบก็ได้หลับตาและหลับลึกหลังจากที่ไม่ได้ทำมานาน
เขาได้ยินเสียงไวท์นอยส์[1] ที่มักจะได้ยินก่อนที่เพลงถัดไปจะบรรเลงออกมาจากเครื่องเล่นเพลง อินซอบชอบช่วงเวลานั้น เขามักจะตั้งค่าให้เครื่องเล่นเพลงเล่นแบบสุ่มเพลงเสมอ เพื่อที่เขาจะได้ไม่รู้ว่าเพลงต่อไปที่จะออกมาคือเพลงอะไร เขาชอบช่วงเวลาที่ได้รอให้ทำนองของเพลงที่ชอบดังขึ้นมาหลังจากที่เสียงไวท์นอยส์จบลง
แต่พอผ่านไปสักพักแล้วก็ยังไม่มีเสียงอะไรดังออกมาเลย อินซอบนึกสังหรณ์ใจว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า เขาจะต้องลืมตา แต่มันไม่ง่ายเลยเหมือนกับว่าร่างกายของเขาหนักไปหมด
อินซอบโอดโอยอยู่สักพักก่อนจะลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก
“อ๊ากกก!”
อีอูยอนมองอินซอบที่กรีดร้องด้วยความกลัวและตะเกียกตะกายอยู่ในผ้าห่มพลางยิ้มน้อยๆ ท่าทางของอีกฝ่ายที่โชว์ฟันสีขาวที่เรียงตัวสวยพร้อมกับยิ้มเหมือนกับสนุกทำให้อินซอบขนลุกซู่
“ตกใจเหรอครับ”
“ก็ต้อง…ตกใจอยู่แล้วสิครับ”
ถึงจะมีประสบการณ์น่าสะพรึงกลัวที่ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกว่ามีใครกำลังมองตนอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ชินเสียที
“มาถึงเมื่อไหร่ครับ”
“เมื่อกี้นี้เองครับ ดูเหมือนเครื่องเล่นเพลงจะแปลกๆ ไปนิดหน่อย ผมก็เลยขึ้นมานั่งที่เบาะด้านข้างสักพัก”
“…”
หัวใจที่ยังคงตื่นตกใจอยู่นั้นเต้นแรงจนเขารู้สึกเจ็บ แม้จะไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรือเปล่า แต่เรื่องที่อีอูยอนแกล้งให้ตนตกใจนั้นเกิดขึ้นเป็นประจำ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็หนักเกินไปหน่อยสำหรับหัวใจที่ไม่ค่อยดีของเขา อินซอบคิดว่าเขาควรจะพูดเรื่องนี้ดีไหม แต่ก็กลัวว่ามันจะเป็นการเปิดเผยมากเกินไปหรือเปล่า สุดท้ายเขาจึงไม่ปริปากพูด
“จะกลับบ้านเลยไหมครับ”
“ครับ ก็ต้องกลับอยู่แล้วสิครับ ในเวลาแบบนี้น่ะ”
อีอูยอนใช้ปลายนิ้วเคาะนาฬิกาที่เลยเที่ยงคืนไปแล้ว ชเวอินซอบกำพวงมาลัยพร้อมกับเหลือบมองอีอูยอนที่นั่งอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายอาบน้ำออกมาจากฟิตเนส ผมที่เปียกจึงปกคลุมหน้าผาก กลิ่นแชมพูเข้มๆ กระจายตัวอยู่ในรถทุกครั้งที่อีอูยอนขยับตัว
“…”
ชเวอินซอบมองอีอูยอนสลับกับที่นั่งตรงเบาะหลัง เขาชักชวนโดยไม่ใช้คำพูดว่าจะไม่ไปนั่งที่ด้านหลังเหรอ
“ออกเดินทางเลยครับ”
อีอูยอนคาดเข็มขัดนิรภัย เขาแสดงความตั้งใจว่าจะไม่ไปนั่งที่เบาะหลัง อินซอบลอบถอนหายใจและค่อยๆ ขับรถออกไป ตอนที่รถออกจากลานจอดรถและวิ่งอยู่บนถนน ชเวอินซอบก็กดปุ่มเล่นเพลงของเครื่องเล่นและเพิ่มระดับเสียง
ปกติพวกเขาสามารถไม่สนใจกันและกันได้เพราะนั่งอยู่ที่เบาะหน้าและเบาะหลัง แต่พอต้องมานั่งข้างกันแบบนี้ เขาก็สนใจอีอูยอนจนไม่มีสมาธิขับรถ ดังนั้นในเวลาแบบนี้การเปิดเพลงเสียงดังจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
“’Historia de un amor’”
อีอูยอนพึมพำชื่อเพลงพลางเอียงคอน้อยๆ
“เพลงนี้ ’Historia de un amor’ เรื่องราวของความรัก เป็นเพลงที่ผมชอบน่ะครับ”
“ครับ ผมรู้คะ…”
ชเวอินซอบพูดไม่จบและกัดริมฝีปากของตนไว้ เสียงหัวเราะแผ่วๆ ของอีอูยอนดังขึ้นในรถปนไปกับเสียงของนักร้องสาว
“คุณรู้ได้อย่างไรครับ”
“…ก็ผมเป็นแฟนคลับนี่ครับ”
“งั้นเหรอครับ ผมเคยพูดเรื่องนั้นออกอากาศด้วยเหรอ จำไม่เห็นได้เลย”
“มันเป็นแค่คำพูดผ่านๆ…”
อันที่จริงที่ที่เขาได้ยินเรื่องเล่านี้ไม่ใช่วิทยุหรือสถานีโทรทัศน์ เพราะฉะนั้นอินซอบจึงพูดให้แหล่งที่มาของเรื่องเล่านั้นคลุมเครือ
“ความจำคุณดีมากเลยนะครับ คุณอินซอบ”
“ผมแค่พยายามน่ะครับ”
ชเวอินซอบจดสิ่งที่เขาควรจะจำให้ได้ไว้เสมอ เขาเรียบเรียงกิจวัตรประจำวันลงในสมุดโน้ตอย่างเป็นระเบียบ และนั่นก็เป็นความเคยชินในชีวิตประจำวันของเขา ไดอารี่ของเขาช่วงนี้มีแต่เรื่องที่เกี่ยวกับอีอูยอน เขาจดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับอีอูยอนลงไปจนถ้าใครมาเห็นคงเข้าใจผิดว่านี่เป็นไดอารี่ของพวกสตอล์กเกอร์
“พยายามเพื่อผมเหรอครับ เป็นคำพูดที่ทำให้รู้สึกดีจัง”
ใบหูของเขาร้อนวูบวาบทันทีที่ได้ยินเสียงของอีอูยอน
ถึงเขาจะทำเพื่อเจนนี่ แต่ตัวเขาที่หลอกคนอื่นๆ ด้วยวิธีแบบนี้ไม่มีทางสบายใจ เขารู้สึกเหมือนถูกปลายมีดจิ้มจิตสำนึกที่เหลืออยู่เบาๆ
“รู้เนื้อเพลงของเพลงนี้ไหมครับ”
อีอูยอนมองผู้จัดการส่วนตัวที่กำลังกำพวงมาลัยอยู่ด้วยสีหน้าว้าวุ่น และจู่ๆ ก็เอ่ยถาม
“รู้คร่าวๆ ครับ…”
[“แม้คุณจะทำให้ฉันเข้าใจความดีและความชั่วทั้งหมดพร้อมกับมอบแสงสว่างให้กับชีวิตของฉัน แต่ตอนนี้แสงนั้นดับหายไปแล้ว”]
อีอูยอนแปลเนื้อเพลงให้ตรงกับที่เพลงกำลังบรรเลงอยู่
อินซอบสูดลมหายใจราวกับหยุดหายใจ แม้เขาจะรู้ว่าอีอูยอนไม่ใช่คนแบบนั้น แต่เขาก็อดใจสั่นกับน้ำเสียงหวานๆ ที่ออกมาจากปากของอีกฝ่ายไม่ได้
[“ชีวิตของฉันที่มืดมน ฉันอยู่โดยปราศจากความรักของคุณไม่ได้”]
อีอูยอนที่แปลเนื้อเพลงจบหันหน้ามาทางอินซอบ
“คุณเข้าใจทำพูดที่บอกว่าฉันอยู่โดยปราศจากความรักของคุณไม่ได้ไหมครับ
“ก็ไม่รู้สิครับ”
มีวันที่เขาเคยเข้าใจ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนนี้เขาไม่อยากเข้าใจคำพูดที่บอกว่าอยู่และตายเพราะความรักเลย
“เป็นเรื่องใหญ่เลยนะครับ เพราะผมก็ไม่เข้าใจคำพูดพวกนั้นเหมือนกัน”
อีอูยอนพูดต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนกันที่กำลังพูดความลับที่สำคัญ
“บทที่ผมได้รับคราวนี้น่ะ สุดท้ายก็จะตายเพราะความรักแหละครับ แต่ต่อให้ผมอ่านบทเป็นร้อยรอบ ผมก็ไม่เข้าใจมันเลย เป็นเรื่องใหญ่เลยล่ะครับ”
“ครับ…เรื่องใหญ่จริงๆ ครับ”
อีอูยอนที่ได้ยินคำตอบของอินซอบหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่าๆๆ ใช่ไหมล่ะครับ เรื่องใหญ่เลยเนอะ แต่ว่าปกติคุณจะต้องปลอบว่าไม่เป็นไรไม่ใช่เหรอครับ แบบว่าคุณทำได้อะไรแบบนั้นน่ะ ฮ่าๆๆๆ”
อีอูยอนหัวเราะไม่ยอมหยุดเพราะตลกกับคำตอบที่ผู้จัดการส่วนตัวตอบกลับมา เขาหัวเราะจนไหล่สั่นจนกระทั่งสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยน และรถกำลังเลี้ยวขวา
“ยิ่งดูคุณอินซอบก็ยิ่งเป็นคนตลกนะครับ”
“อย่างนั้นเหรอครับ”
เขารู้สึกว้าวุ่น เขาไม่สามารถพูดว่าขอบคุณได้ เพราะเขารู้สึกเหมือนโดนล้อ …เอ่อ สงสัยเราจะต้องรีบกลับบ้านไปสมัครเรียนที่สถาบันนั้นแล้ว ไม่สิ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อให้สมัครเรียนก็ไม่มีเวลาไปอยู่ดีหรือเปล่า
[1] ไวท์นอยส์ เสียงคงที่ที่ออกมาอย่างสม่ำเสมอ เช่น เสียงพัดลม เสียงเครื่องดูดฝุ่น เสียงฝน ซึ่งสามารถช่วยกลบเสียงรบกวนอื่นๆ ได้