แม้อินซอบจะพยายามนึกถึงสีหน้าของอีอูยอนก่อนที่จะถูกตนเองชนอย่างแรง แต่ก็เปล่าประโยชน์ ด้วยความกลัวที่ตนอาจจะถูกเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงถ้าอีกฝ่ายเห็นเนื้อหาในสมุดโน้ตทำให้เขาไม่มีเวลาสังเกตดูรอบๆ
โชคดีที่เขาเอาสมุดโน้ตคืนมาได้ เขาไม่มีอะไรจะอธิบาย แต่แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ตามมาก็ไม่ดีด้วย
“แต่ฉันได้ยินมาว่าวันนี้มีถ่ายฉากขี่ม้าไม่ใช่เหรอคะ เหมือนฉันจะเห็นม้าอยู่บนรถพ่วงเมื่อกี้นะคะ”
“ครับ…”
อีอึนยองตบบ่าเขาเบาๆ พร้อมกับพยายามพูดอย่างสดใสว่าตนเผลอพูดออกไปแล้วสินะทันทีที่สีหน้าของอินซอบหมองลงอย่างกะทันหัน
“ไม่เป็นไรนะคะ ส่วนมากเดี๋ยวนี้เขาก็ใช้ทีมแอคชั่นเล่นแทนกันทั้งนั้นแหละค่ะ”
“…เขาบอกว่าจะไม่ใช่ตัวแสดงแทนครับ”
“เข้าใจแล้วล่ะ คุณอีอูยอนเป็นอย่างนั้นสินะคะ”
ไม่ว่าเธอจะทำอย่างไรสีหน้าของอินซอบก็ไม่สดใสขึ้นเลย เธอร้อง ‘อ๋อ’ พร้อมกับตีเข่าฉาด
“ใช่แล้ว ลองไปขอร้องม้าดูสิคะ”
“ครับ? ม้าเหรอครับ”
“มีม้าที่คุณอีอูยอนจะต้องขี่อยู่ไม่ใช่เหรอคะ ก็ไปหาม้าตัวนั้นแล้วลองขอร้องมันดูว่าขอให้การถ่ายทำในวันนี้จบอย่างราบรื่นด้วยเถอะ”
“ขอร้องได้เหรอครับ”
ถึงแม้ว่าสัตว์จะไม่มีทางฟังคำขอร้องแบบนั้น แต่นั่นเป็นเรื่องที่อาจจะช่วยปลอบขวัญอินซอบที่หมดกำลังใจได้
“แน่นอนสิคะ พวกม้าน่ะได้รับการฝึกมานะคะ เวลาที่คนพูดมันก็จะเข้าใจจนฉันอึ้งเลยล่ะค่ะ ฉันน่ะถึงกับประหม่าแล้วก็เหงื่อตกเลยล่ะค่ะ เพราะมันฟังคำพูดอย่าง ‘เตรียมพร้อม’ หรือ ‘คัต’ รู้เรื่องด้วย เพราะฉะนั้นลองไปหาแล้วขอร้องให้การถ่ายทำวันนี้จบลงอย่างราบรื่นดูนะคะ”
สีหน้าของอินซอบสดใสขึ้นทันที
“ต้องไปตรงไหนเหรอครับ”
“อืม ปกติเขาจะให้ม้ารออยู่ทางด้านหลังเซตหมายห้านะคะ เพราะตรงนั้นเป็นตึกที่เซตฉากไว้ให้เหมือนกับคอกม้าแต่แรกอยู่แล้ว”
สำหรับหญิงสาวที่ใช้ชีวิตเป็นนักแสดงตัวประกอบมาห้าปี บรรยากาศด้านในของฉากเซตทั้งหมดก็เป็นเหมือนภาพวาดที่อยู่บนฝ่ามือ
“ไปทางด้านโน้นใช่ไหมครับ”
“ค่ะ ไปทางด้านโน้นนะคะ พอเห็นบ่อน้ำก็ให้เลี้ยวซ้ายจากนั้นก็เดินตรงไปเลยค่ะ ถ้าคุณไม่รู้ก็ลองถามพวกสตาฟดูก็ได้ เขาจะช่วยบอกทางคุณเอง”
“ขอบคุณครับ”
“โอ๊ย แค่นี้เองค่ะ เพราะคุณอินซอบนะคะฉันถึงได้กินข้าวกล่องอร่อยๆ ถ้าไม่แน่ใจจะให้ฉันไปด้วยไหมคะ”
“ไม่ครับ ไม่เป็นไร ผมจะไปคนเดียวครับ เพราะอีกเดี๋ยวผมต้องช่วยคุณอูยอนเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว”
“อย่างนั้นเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นไปดีมาดีนะคะ เอาไว้เจอกันคราวหน้าค่ะ”
“ครับ ไว้พบกันคราวหน้าครับ”
ชเวอินซอบบอกลาอีอึนยองและก้าวเท้าอย่างรวดเร็วไปยังทิศทางที่เธอช่วยบอก ทันทีที่เขาเจอบ่อน้ำแล้วเลี้ยวซ้าย เขาก็เห็นรถพ่วงที่ใช้บรรทุกม้าอย่างที่เธอพูด คงอยู่แถวๆ นี้แน่เลย เขาคิด พอเขาลองถามพวกสตาฟที่เดินผ่านไปผ่านมาดู คนคนนั้นก็ชี้ไปที่ตึกที่ดูเก่าตรงมุมุมหนึ่ง
พอเขาเข้าไปใกล้ๆ กลิ่นเปรี้ยวๆ อันเป็นเอกลักษณ์ที่ออกมาจากสัตว์ก็แทงจมูกเขาทันที ทันทีที่เขาเปิดประตูเพื่อเข้าไปด้านในตึก ใครบางคนก็วิ่งมาอย่างรวดเร็วจากทางด้านหลัง
“เอ่อ…”
“…!”
พวกเขาชนไหล่กัน ชเวอินซอบจำได้ว่าอีกฝ่ายคือผู้จัดการส่วนตัวของคังยองโม เขาจึงก้มหัวให้ แต่ผู้จัดการของคังยองโมกลับหันกลับมาด้วยใบหน้าโมโหและรีบเร่งออกไปจากตึก อินซอบที่เหลืออยู่ลำพังเกาหัวด้วยความเก้อเขิน เขารู้สึกเศร้าที่แม้แต่ผู้จัดการของคังยองโมก็ยังเมินเขาในสถานการณ์นี้
ดูเหมือนคำพูดที่บอกว่าถ้าความสัมพันธ์ระหว่างดาราไม่ดี คนที่อยู่ต่ำกว่าก็จะไม่สนิทสนมกันไปด้วยจะเป็นเรื่องจริง ถึงเขาจะไม่มีความคิดที่จะสร้างความสนิทสนมกับคนที่อยู่ในกองถ่าย แต่เขาก็เป็นทุกข์ที่ความสัมพันธ์เลวร้ายขนาดนี้
อินซอบสูดหายใจลึกๆ พร้อมกับเดินเข้าไปในตึกที่ผูกม้าที่นำมาเพื่อการถ่ายทำเอาไว้ ภายในตึกมืดเสียจนเขามองทางข้างหน้าได้ลำบาก เขาไม่ได้ยินเสียงที่บ่งบอกว่ามีคนอยู่เลย ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่ในนี้
อินซอบค่อยๆ เดินเข้าไปและขอร้องม้าที่ถูกผูกไว้ทีละตัว เขาหยุดอยู่ตรงหน้าม้าที่ตัวใหญ่และดูแรงดีที่สุด อินซอบมองป้ายชื่อที่ติดอยู่ตรงหน้าม้าที่มีขนสีเทาเข้มและทำตาเบิกโพลง
“เจนนี่เหรอ”
หูของม้ากระดิกพร้อมกับหันมามองเขาเพราะได้ยินชื่อตัวเอง หากคิดตามเงื่อนไขของขนาดตัวอีอูยอนที่สูงและรูปร่างดีที่สุดในบรรดานักแสดงวันนี้แล้วมีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะขี่ม้าสีเทาเข้มตัวนี้
เขาใจเต้นให้กับความบังเอิญแปลกๆ นี้ ชาวเอเชียเรียกเรื่องแบบนี้ว่ากรรมหรือเปล่านะ
อินซอบเดินเข้าไปใกล้ๆ ม้าที่มีขนสีเทาเข้มก่อนจะพูดอย่างสุขุม
“คือว่าเจนนี่…ขอรบกวนหน่อยนะ”
เขาใช้มือลูบแผงคอของม้า ทันทีที่เขาสบตากับม้าที่ดูสุภาพ เขาก็รู้สึกว่าตนเองกำลังถูกอ่านความคิดภายในใจที่ไม่สามารถพูดให้ใครฟังได้
“ฉันเป็นคนที่ไร้ประโยชน์และน่าสมเพชจริงๆ”
ที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าสถานการณ์ไม่มีทางเปลี่ยนไปเพราะเขามาขอร้องม้า แต่ตอนนี้เขาอยากจะทำอะไรก็ได้ ไออุ่นที่แตะสัมผัสเข้ากับมือของเขาทำให้เขารู้สึกดี อินซอบลูบม้าตัวนั้นไม่ยอมหยุด ม้าส่งเสียงครางทางจมูก เขามองเห็นลมหายใจของม้าที่กระจายเป็นไอสีขาวในสถานที่มืดๆ แห่งนี้
นานมากแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสกับสิ่งมีชีวิตที่ยังมีชีวิตอยู่แบบนี้ ม้าตัวนั้นส่งเสียงออกมาอยู่ตลอดเพราะรู้สึกดีกับการถูกลูบพร้อมกับขยับหัวขึ้นลง ทันทีที่สิ่งมีชีวิตที่ยังมีชีวิตอยู่มีปฏิกิริยาที่ชัดเจนกลับมา อินซอบก็ค่อยๆ รู้สึกดีขึ้น มันให้ความรู้สึกต่างกับเคทที่หุบใบลงหากเขาใช้ปลายนิ้วลูบอย่างสิ้นเชิง
“อย่างนั้นแหละ อย่างนั้น เธอทั้งอุ่นทั้งน่ารักเลยนะ”
แต่พอพูดออกไปเขากลับคิดว่าเขาเหมือนคนโรคจิต อินซอบลูบช้าลงเรื่อยๆ ทันทีที่เขาทำแบบนั้นม้าขนสีเทาเข้มก็ขยับหัวมาไว้ที่ใต้มือของอินซอบ
“จะขอให้ลูบอีกเหรอ”
ม้าทำเสียงออกมาทางจมูกราวกับจะตอบ อินซอบยิ้มพร้อมกับขยับมือเบาๆ เขาความการเคลื่อไหวหรือไออุ่นที่สามารถรู้สึกได้จากสิ่งมีชีวิต ถึงเขาจะมีเพื่อนไม่มาก แต่นั่นเป็นเพราะเขาได้รับความรักอย่างเต็มปรี่และเติบโตมาในครอบครัวใหญ่
เสียงจอแจทุกครั้งที่เป็นเวลาอาหารเย็น การเคลื่อนไหวที่น่ารักของวิลที่เขารู้สึกจากปลายเท้าของตนเอง จูบราตรีสวัสดิ์ของแม่ที่มอบให้พร้อมกับบอกให้เขานอนหลับฝันดี และเสียงพูดเจื้อยแจ้วของพวกน้องๆ เขาชอบสิ่งเหล่านั้นมาก และเขาก็คิดถึงสิ่งเหล่านั้นอย่างมากเหมือนกัน
“ฉันจะลองเลี้ยงม้าดีไหม”
อินซอบลองนึกภาพม้ายืนอยู่ตรงมุมดาดฟ้าและยิ้มอายๆ อยู่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ดีทั้งนั้น ตอนนี้เขารู้สึกอยากจะพึ่งพิงอะไรก็ได้ที่สามารถลดความสิ้นหวังและความเหงาที่เขากำลังรู้สึกอยู่
“เจ้าม้า ฉันน่ะนะ ฮ่าๆๆๆ พูดได้ตลกน่าดูเลย ฮ่าๆๆๆ”
อินซอบพูดอย่างนั้นคนเดียวและหัวเราะอยู่สักพัก ม้าสีเทาเข้มน้ำลายไหลเหมือนกับฟังมุกตลกที่เงียบเหงาของเขารู้เรื่อง
“เจนนี่ความจริงแล้วฉันไม่ใช่คนดีหรอก ไม่สิ ฉันเป็นมนุษย์ที่เลวมากเลย”
เขาร่ำครวญออกมาเรื่อยๆ
“แต่ฉันน่ะชอบให้คนอื่นทำตัวอ่อนโยนกับฉันมากๆ เลย ฉันอยากเป็นเพื่อนกับคนใจดี แล้วกับอีอูยอนฉันก็อยาก…”
ท้ายประโยคของเขาเลือนราง อินซอบหันไปมองรอบๆ เขาตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครก่อนจะพูดต่อ
“ความจริงแล้วฉันอยากได้รับการยอมรับจากคนคนนั้นด้วย ในฐานะผู้จัดการส่วนตัวที่ดีน่ะหลังจากที่ฉันจากไปแล้ว ในตอนที่คนคนนั้นนึกถึงฉันหลังจากที่ฉันจากไปแล้ว ฉันหวังว่าเขาจะรู้สึกและคิดว่าฉันไม่ใช่คนเลว ให้ตายสิ นี่ฉันกำลังคิดแล้วก็พูดอะไรไร้สาระอยู่แท้ๆ เลย เรื่องนั้นจะเกี่ยวอะไรล่ะ ไม่ว่าคนคนนั้นจะจำฉันยังไงก็ตาม…คนคนนั้นคงไม่จำฉันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เหมือนกับที่เขาจำปีเตอร์ที่อเมริกาไม่ได้”
หัวใจของเขาเจ็บแสบในตอนที่เขาพูดชื่อปีเตอร์ออกมา เขารู้สึกว่าตนเองกำลังกลืนยาน้ำรสชาติแปลกๆ ที่ผสมความทรงจำในตอนนั้นกับตัวเองในตอนนี้เข้าด้วยกัน
“ถ้าอีอูยอนทำตัวแย่กับฉันกว่านี้ก็คงจะดี”
แม้ตนจะทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บถึงขนาดฝ่ามือแตกต่อหน้าคนอื่น แต่เขาก็ไม่ทำหน้าตาบึ้งตึงใส่อินซอบเลยสักนิด อีกฝ่ายถามอินซอบตลอดการถ่ายทำว่าเป็นอะไรหรือเปล่า แถมตอนที่ตนเลือดกำเดาไหลและหมดสติไปเมื่อวาน ฝ่ายนั้นยังบอกว่าเป็นห่วงพร้อมกับยิ้มให้อย่างอ่อนโยนอีก
เขาไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าตนกำลังมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเดียวกันกับปีเตอร์ในตอนนั้น
“คือว่าอีอูยอนน่ะ…อาจจะไม่ใช่คนเลวก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น–”
เมื่อพูดถึงตรงนี้อินซอบก็เอามือปิดปากไว้ เขาอยากจะเก็บคำพูดที่ตนพึมพำในความมืดก่อนหน้านี้ไว้กับตัวเอง
เราทุบอกและร้องไห้ไปมากขนาดไหนตอนอ่านจดหมายของเจนนี่ เรารู้สึกผิดขนาดไหนกันนะที่บอกว่าจะต้องเชื่อคำพูดของเจนนี่ เราไม่สามารถไปที่หลุมศพของเจนนี่อย่างกล้าหาญได้เพราะความละอายใจและความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถทนได้ และทำได้แค่ร้องไห้อยู่ตรงหน้าหลุมนั้นกี่วันกันล่ะ
แล้วจะมาหวังให้อีอูยอนเป็นคนดีขึ้นมาตอนนี้น่ะเหรอ
“ฮ่าๆ…บ้าไปแล้ว”
อินซอบใช้มือกดหน้าผากตัวเองไว้พร้อมกับหลับตาลง
นี่แกแค่คิดอย่างนั้นทั้งๆ ที่มาถึงเกาหลีเพราะความทุกข์พวกนั้นน่ะเหรอ ไอ้คนเหลือขอ ไอ้ขยะ ไอ้โง่ ไอ้ทึ่ม ไอ้บ้า เขาสาดคำด่าทั้งหมดที่รู้จักใส่ตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกละอายใจที่อัดแน่นอยู่ในอกก็ไม่หายไปเลยแม้แต่น้อย
ม้าสีเทาเข้มส่งเสียงร้องพร้อมกับเอาคางมาวางเกยไหล่เขาทันทีที่อินซอบทำหน้านิ่ง มันพยายามขยับหัวและตบไหล่อินซอบ อินซอบสามารถอ่านออกได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากตนผ่านการขยับเล็กๆ นั่น
“จะบอกให้สู้…เหรอ”
ม้าส่งเสียงร้องและน้ำลายก็กระเด้งออกมาจากปากของมันที่ขยับ สำหรับชเวอินซอบนั่นคือการปลอบใจ เขาเอื้อมมือไปดึงคอของม้าเข้ามากอด
เจนนี่ ขอโทษนะ เจนนี่ ฉันจะไม่สงสัยเธออีกแล้ว
แล้วอินซอบก็ยืนอยู่อย่างนั้นสักพัก