ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 1 เล่ม 2 ตอนที่ 6-1

ภาค 1 เล่ม 2 ตอนที่ 6-1

“ปีเตอร์!”

ปีเตอร์รีบปิดสมุดโน้ตทันทีที่ประตูถูกเปิดเข้ามา เจนนี่เดินเข้ามาในห้องในสภาพเหงื่อซก เธอหรี่ตาลง

“เขียนอะไรขนาดนั้นเหรอ”

“การบ้านน่ะ”

“การบ้านอะไรเยอะขนาดนั้น”

ปีเตอร์ยิ้มโดยไม่พูดอะไร เจนนี่หรี่ตาพร้อมกับถามซ้ำว่า ‘อะไรล่ะ’

“อันที่จริงแล้วก็ไม่ใช่การบ้านหรอก…แค่เขียนเฉยๆ น่ะ”

“ไม่ใช่การบ้าน แต่ก็ยังเขียนเหรอ นายเนี่ยสุดยอดจริงๆ ฉันน่ะนะแค่ทำการบ้านเขียนเรียงความยังรู้สึกเหมือนหัวจะแตกเลย ว่าแต่เขียนอะไรเหรอ”

“เขียนไปเรื่อยน่ะ”

ปีเตอร์ยิ้มพลางพูดกำกวม เขาเห็นว่าการบอกว่าสิ่งที่เขียนไม่ใช่ไดอารี่หรือการขีดเขียนง่ายๆ ด้วยปากของตัวเองเป็นเรื่องน่าอาย

“กลอนเหรอ หรือว่านิยายล่ะ”

“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก”

“ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ งั้นฉันขอดูหน่อย”

ทันทีที่เจนนี่ยื่นมือออกมา ปีเตอร์ก็ตกใจและเอาสมุดโน้ตไปซ่อนไว้ด้านหลัง

“ไม่ได้ ที่บอกว่าขอดูน่ะ จะขอดูอะไรล่ะ”

“ทำไมล่ะ ยังไงซะถ้าเป็นกลอนหรือนิยาย มันก็เป็นข้อความที่เขียนเพื่อให้คนอื่นอ่านอยู่แล้วนี่ จะเป็นอะไรล่ะถ้าฉันจะขออ่านก่อน”

มักจะมีความสมเหตุสมผลแปลกๆ อยู่ในคำพูดของเจนนี่เสมอ แม้ปีเตอร์จะยังซ่อนสมุดโน้ตไว้ด้านหลัง แต่เขาก็ถามกลับว่า ‘อย่างนั้นเหรอ’ พร้อมกับตั้งใจฟัง

“ของประเภทไดอารี่ต่างหากถึงจะเป็นข้อความที่ไม่ควรให้ใครอ่าน แต่ที่นายเขียนอยู่ตอนนี้มันไม่เหมือนของพวกนั้นไม่ใช่เหรอ”

“อืม…”

“ถ้าฉันอ่านแล้วโอเคจริงๆ ฉันจะบอกนายเอง แต่ถ้ามันประหลาดล่ะก็ ฉันจะเอาสมุดโน้ตมาใส่ไว้ที่ตู้จดหมายของบ้านนายเงียบๆ แทน”

คำพูดของเจนนี่ถูกต้อง ถ้าเป็นกลอนหรือนิยาย มันก็เป็นข้อความที่มีไว้ให้คนอื่นอ่านอยู่แล้ว ถ้าเขาเขียนลวกๆ คนเดียวในสมุดโน้ต เขาก็จะไม่ได้พัฒนาอะไรเลย

“ถ้ามันประหลาดเธอจะเอามาใส่ตู้จดหมายเฉยๆ ใช่ไหม”

“แน่นอนอยู่แล้วสิ”

ปีเตอร์ค่อยๆ ยื่นสมุดโน้ตให้เธอ หลังจากรับสมุดโน้ตไปแล้วเจนนี่ก็ทำตาเป็นประกายพร้อมกับเอ่ยว่า

“ฉันเองก็มีของจะให้นายดูเหมือนกัน”

“อะไรเหรอ”

“ฉัน ฉันเขียนจดหมายแล้วล่ะ”

“จดหมายอะไรเหรอ”

“จดหมายรักที่จะให้เจ้าชายไงล่ะ”

เธอหยิบกระดาษยับๆ ออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เขา ปีเตอร์อุทานว่า ‘ว้าว’

“ทำไม มันโรแมนติกมากเลยล่ะใช่ไหม”

“ฉันจะต้องทำความเข้าใจก่อนนะว่าเธอเขียนว่าอะไร”

เจนนี่หัวเราะเสียงดังพลางนั่งลงบนเตียง ปีเตอร์เพ่งสายตาไล่อ่านตัวอักษรบนกระดาษอย่างตั้งใจ

“…เธอจะส่งไปแบบนี้จริงๆ น่ะเหรอ”

“ทำไมล่ะ”

“มันเปิดเผยมากเลยนะ เอ่อ บอกว่ารู้สึกถึงพรหมลิขิตทันทีที่เจอเลยเหรอ”

“ก็เป็นความจริงไม่ใช่เหรอ ฉันรู้สึกถึงพรหมลิขิตจริงๆ นี่ ฉันกับเจ้าชายต้องเคยเป็นคนรักกันในชาติก่อนแน่ๆ”

“จะเกิดอะไรขึ้นล่ะถ้าเธอเขียนอะไรแบบนี้ลงไปในจดหมายที่ส่งไปครั้งแรก”

สีหน้าของปีเตอร์ที่อ่านจดหมายเหยเกขึ้นเรื่อยๆ

“…แล้วทำไมเธอจะต้องลงท้ายจดหมายด้วยคำถามที่ว่าจะมีลูกกี่คนดีด้วยล่ะ”

“เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอที่จะปรึกษาเรื่องแบบนั้นกันไว้ก่อน”

“ไม่นะ นี่มันไม่ได้จริงๆ”

ปีเตอร์ส่ายหัว

“เธอจะเขียนจดหมายรักแบบนี้ไม่ได้นะ”

เจนนี่ทำปากยื่น

“นายพูดเหมือนคนที่เคยเขียนมาเยอะเลยนะ”

ปีเตอร์ใช้มือชี้ไปที่หนังสือที่ถูกเสียบไว้แน่นขนัดในชั้นวางหนังสือ ในนั้นมีหนังสือนิยายโรแมนซ์ปนอยู่บ้าง

“ก็ได้ งั้นจะต้องเขียนว่าอะไรล่ะ”

“อย่าบอกว่ารักอย่างกะทันหันสิ ควรจะบอกว่าอะไรดีน้า อืม…เริ่มแบบธรรมดาๆ ไม่ดีกว่าเหรอ”

“ยังไงล่ะ”

“ก็แบบหวัดดีอะไรแบบนี้น่ะ”

“แต่จะจืดชืดไปไหมนะ อืม ใช่แล้ว ฉันลองเขียนแบบนั้นก่อนดีกว่า”

ปีเตอร์หยิบปากกาขึ้นมาและเริ่มเขียนจดหมายฉบับใหม่ในแบบฝึกหัดของเจนนี่

“อยากเล่าถึงวันที่เจอกันครั้งแรกเหรอ”

“ใช่สิ! ก็วันนั้นเจ้าชายช่วยหยิบปากกาที่คุณป้าสเปนเซอร์ซื้อให้นี่! ฉันรู้สึกขอบคุณเขามากขนาดไหน จะต้องเขียนเรื่องนั้นลงไปนะ เพราะนั่นเป็นเหตุการณ์ที่สำหรับมากสำหรับฉัน เจ้าชายเองก็จะต้องจำได้ด้วยแน่นอน”

“แล้วถ้าเขาจำไม่ได้จะทำยังไงล่ะ”

“ไม่มีทางที่เขาจะจำไม่ได้! เรื่องนั้นฉูดฉาดจะตาย! เจ้าชายจะลืมเรื่องสำคัญอย่างนั้นได้เหรอ”

ปีเตอร์พยายามจะบอกว่าการช่วยเก็บปากกาให้นักเรียนคนอื่นไม่น่าจะใช่ประสบการณ์ที่ฉูดฉาด แต่เขาก็ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้เพราะสายตาของเจนนี่เป็นประกายมาก

“คือ…จดหมายที่ทำให้เกิดความสงสัยขึ้นมานิดหน่อยจะไม่ดีกว่าเหรอ หรือเขียนไปว่าคุณจำตอนที่เราเจอกันครั้งแรกได้ไหมก็ได้ แบบนั้นเขาก็จะได้ลองคิดด้วยไงว่ามันคืออะไร”

“โอ้! เยี่ยม! ปีเตอร์! นายมันอัจฉริยะ! ดีเลย ต่อเลยๆ”

ทั้งคู่นั่งข้างกันแบบนั้นและช่วยกันเขียนจดหมายรักจนสำเร็จ แม่ของปีเตอร์เปิดประตูเข้ามายื่นน้ำมะนาวให้ในระหว่างที่พวกเขาสุมหัวครุ่นคิดกันอยู่

“ตั้งใจทำอะไรขนาดนั้นกันอยู่เหรอจ๊ะ”

“เขียนเรียงความครับ”

ปีเตอร์ยิ้มพลางพูดอ้อมแอ้ม

“อย่างนั้นเหรอจ๊ะ ถ้าทำเขียนเรียงความเสร็จแล้ว แม่วานให้ทำอะไรหน่อยได้ไหม”

“ได้ครับ แม่จะให้ช่วยอะไรเหรอครับ”

“ช่วยไปซื้อส้มที่ซูเปอร์มาร์เก็ตให้หน่อย ซื้อมาสักสิบลูกก็ได้จ้ะ แม่จะทำแยมส้ม แต่ว่าไม่มีส้ม”

“ว้าว! จริงเหรอครับ ให้ผมไปซื้อให้ตอนนี้เลยไหมครับ”

ปีเตอร์ที่ชื่นชอบแยมส้มที่แม่ทำเป็นอย่างมากเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น

“แต่ลูกมีแขกอยู่นะ”

“โอ้ หนูไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ เดี๋ยวหนูมาใหม่ก็ได้ เราเขียนกันเกือบจะเสร็จแล้วล่ะค่ะ”

เจนนี่ลุกขึ้น ปีเตอร์หันกลับมามองเธอด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

“ไม่เป็นไร อยู่ต่ออีกหน่อยแล้วค่อยไปก็ได้”

“เอาน่า ยังไงซะเดี๋ยวก็ได้เวลาที่ฉันจะต้องกลับบ้านอยู่แล้ว อันที่จริงฉันมีการบ้านคณิตศาสตร์ด้วย ฉันหมายถึงการบ้านจริงๆ น่ะ”

เธอพึมพำด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ปีเตอร์บอกว่า ‘สู้ๆ นะ’ พร้อมกับตบบ่าเธอ ทั้งคู่ปรึกษากันเรื่องจดหมายรักที่ช่วยกันเขียนจนเสร็จในขณะที่ลงบันได

“ใช้เวลานานไหมในการแปลมันเป็นภาษาเกาหลี”

“ไม่รู้สิ ถ้าปรับคำก็น่าจะใช้เวลาไม่นาน เดี๋ยวไว้ฉันกลับมาทำ”

“งั้นจะเสร็จคืนนี้เหรอ”

“ใช่ ถ้าฉันทำเสร็จแล้ว เธอจะเลี้ยงของอร่อยๆ ใช่ไหม”

“ก็ได้ๆ”

หลังจากปีเตอร์รับเงินค่าส้มมาจากแม่แล้ว คนทั้งคู่ก็ร่ำลากันหน้าประตูหน้าบ้าน

“ให้ไปด้วยไหม”

“ไม่ล่ะ ฉันจะไปคนเดียว”

“โอเค งั้นไปดีๆ นะ ไว้เจอกันคราวหน้า”

“อื้อ บ๊ายบาย”

พวกเขามีความสัมพันธ์ที่สามารถเจอกันได้ทุกเมื่อ แม้จะแยกย้ายกันโดยไม่นัดว่าจะเจอกันเมื่อไร ปีเตอร์ใส่เงินไว้ในกระเป๋ากางเกงและเริ่มเดินไปทางซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่แถวบ้าน เนื่องจากอากาศที่อบอ้าวทำให้พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวเหงื่อของเขาก็ไหลเป็นสาย เขาคิดว่าเก่งพอที่จะไปคนเดียวได้ ถ้าพาเจนนี่มาด้วยในอากาศแบบนี้ก็น่าจะเป็นการกระทำที่ไม่ต่างอะไรจากการทรมานเธอ

พอเดินไปได้สักสองช่วงตึกปีเตอร์ก็เปลี่ยนใจ ต่อให้เขาจะชอบแยมส้มแค่ไหน แต่การออกมาในเวลานี้ก็เกินไป แต่ถึงอย่างนั้นถ้าเขาเดินไปอีกหน่อยก็จะถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแล้ว เขาปลอบใจตัวเองว่าพอไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแล้ว ตนก็จะได้ตากแอร์เย็นๆ ได้เต็มที่พร้อมกับพยายามก้าวเท้าเดิน

เขาไม่ชอบออกกำลังกาย หัวใจที่อ่อนแอตั้งแต่กำเนิดทำให้เขาไม่สามารถออกกำลังหนักๆ ได้ เขาจึงไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะพัฒนาความสนใจในเรื่องของการออกกำลังกาย และนิสัยเก็บตัวของเขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่เสียจนเขาไม่ชอบแสดงท่าทางขยับตัวอย่างเงอะงะต่อหน้าคนอื่น

ไม่เพียงแต่คุณหมอเท่านั้นที่รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาจำเป็นต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ครอบครัวของเขาและตัวปีเตอร์เองก็รู้เรื่องนี้ด้วย ในที่สุดแม่ก็ต้องการให้ลูกชายไปเดินเล่นโดยแสร้งเป็นใช้งานเขาเป็นครั้งคราวด้วยวิธีแบบนี้

ปกติเขาจะยอมโดนหลอกอย่างอารมณ์ดี แต่วันนี้เขาอดที่จะโกรธตัวเองที่ยอมหลงกลไม่ได้

“ฮ่า…”

ตอนที่เขาเปิดประตูซูเปอร์มาร์เก็ตด้วยมือชื้นเหงื่อและเข้าไปด้านใน เขาก็สูดหายใจเข้าไปจนเต็มปอด แม้จะเป็นสถานที่ที่ถูกทำให้เย็นด้วยเครื่องจักร แต่มันก็ทำให้เขาอารมณ์ดี ปีเตอร์คิดอย่างเอาจริงเอาจังว่าตนควรจะใช้เวลาอยู่ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตจนกว่าดวงอาทิตย์จะตกดีไหมในระหว่างที่ค่อยๆ หยิบส้มสิบลูกขึ้นมาเลือกอย่างเอาใจใส่

ปีเตอร์ถือถุงสีน้ำตาลที่บรรจุส้มเอาไว้และเดินไปเดินมาตรงอยู่ประตูครู่ใหญ่จนกระทั่งไม่สามารถทนสายตาคมกริบของพนักงานร้านได้ จึงเปิดประตูออกไปด้านนอก

ก็ได้ อากาศร้อนเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องใหญ่ตรงไหนกัน เราเดินมาจนถึงที่นี่ได้ก็น่าจะกลับไปได้เหมือนกัน

ปีเตอร์กอดถุงสีน้ำตาลไว้และก้าวเท้ากระฉับกระเฉง แต่เขากลับทรุดลงไปทั้งๆ ที่ยังเดินไปได้ไม่ถึงหนึ่งช่วงตึกดี เพราะความไม่ยั้งคิดของตน ปีเตอร์หาร่มเงาและนั่งพักรอให้ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลับฟ้าไป

“ถ้าใครมาเห็นคงนึกว่าเราเป็นแวมไพร์แน่”

ปีเตอร์ก้มลงมองแขนของตัวเองที่ผอมแห้งและขาวจนมองเห็นเส้นเลือดสีน้ำเงินนูนขึ้นมา เขารู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอจนไม่สามารถเทียบกับนักเรียนชายคนอื่นในชั้นเดียวกันได้

เขาอยากแข็งแรงขึ้น อยากวิ่งไปมาในสนามกีฬาให้เต็มที่ อยากไปเที่ยว และอยากไปทำธุระเล็กๆ น้อยๆ นี่ได้โดยไม่เป็นอะไร

ปีเตอร์วางถุงสีน้ำตาลลงข้างตัว และมองพวกเด็กผู้ชายที่กำลังเล่นบาสเกตบอลกันอยู่ในสนามอีกฟากหนึ่งของถนน พอมองพวกเขาที่เหงื่อไหลและขยับตัวภายใต้แสงแดดที่สาดส่องลงมา เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าสภาพของตนน่าสมเพชขึ้นไปอีก

พวกเขาวิ่งเก่งเหมือนกับสัตว์ป่าที่ถูกปล่อยไว้ในทุ่งหญ้าเลย ทำไมพวกเขาถึงยังขยับได้ทั้งๆ ที่หอบขนาดนั้นนะ

ปีเตอร์นั่งมองสนามบาสเกตบอลอย่างเลื่อนลอยอยู่ตรงม้านั่ง แต่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เขารู้สึกคุ้นหน้าท่ามกลางเด็กพวกนั้นก็เข้ามาในสายตา

“อ้าว…”

ปีเตอร์ลุกขึ้น เขาไม่ทันสังเกตเลยว่าส้มลูกหนึ่งตกลงไปจากม้านั่ง

เป็นเด็กหนุ่มคนนั้นนั่นเอง วินาทีที่เขารับรู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่าย คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ก็ไกลออกไปราวกับเป็นฉากหลัง แม้จะไม่ใช่เพราะความสูงที่สูงกว่าคนรุ่นเดียวกันหนึ่งช่วงหัว แต่เด็กหนุ่มก็ดึงความสนใจจากตนได้ ฟิลลิปขยับราวกับโบยบินอยู่ท่ามกลางเด็กผู้ชายคนอื่นๆ เหมือนกับจะยืนยันข่าวลือที่ว่าเขาทำให้ชมรมกีฬาทุกชมรมของโรงเรียนตาลุกวาวในตอนที่เข้ามาเรียน ต่อให้เขาเข้าชมรมบาสเกตบอลแทนชมรมอเมริกันฟุตบอล เขาก็ยังมีความสามารถไม่ต่างกันอยู่ดี

ปีเตอร์เดินข้ามถนนไปเหมือนคนที่ถูกอะไรบางอย่างล่อลวง ความคิดที่อยากจะเห็นอีกฝ่ายใกล้ๆ ไล่ให้เขาออกไปอยู่ใต้แสงแดดอีกครั้ง ปีเตอร์ยืนมองเด็กหนุ่มที่กำลังเล่นบาสเกตบอลอยู่หน้ารั้วตาข่ายที่กั้นระหว่างฟุตบาทและสนามบาสเกตบอล

ปีเตอร์ถึงขนาดลืมไปเลยว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่จนกระทั่งเกิดเสียงดัง โครม จนทำให้รั้วตาข่ายสั่น ปีเตอร์ที่ตื่นตกใจกับเสียงดังที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างกะทันหันร้อง ‘อ๊าก’ พร้อมกับทรุดลงไปนั่ง ลูกบาสเกตบอลที่กระแทกรั้วตาข่ายกลิ้งกลับเข้าไปในสนามบาสเกตบอล

“อะไรของมัน”

“นายรู้จักเหรอ”

พวกเด็กผู้ชายที่เล่นบาสกันอยู่ในสนามชี้ไปที่เด็กหนุ่มชาวเอเชียตัวค่อนข้างเล็กที่กำลังมองพวกตนอยู่พลางเบนสายตาไปหาฟิลลิป

ปีเตอร์ตกใจและห่อไหล่เหมือนคนโดนเผาเพราะสายตานั้นที่กำลังมองมาที่ตน ถ้าเขาพูดกับเรา เราจะต้องตอบว่าอะไรล่ะ ถ้าเขาถามว่าทำไมถึงมายืนจ้องเขาอยู่ตรงนี้ เราควรจะบอกว่าอะไรดี โอ๊ย จะทำยังไงดีนะ หัวของเราดันโล่งซะจนนึกอะไรไม่ออกเลย

แล้วถ้ามีข่าวลือหลุดออกไปว่าเราเป็นสตอล์กเกอร์แปลกๆ เราคงไปที่สมาคมชาวเกาหลีโพ้นทะเลไม่ได้อีกแล้วแน่เลย…

“คนรู้จักเหรอ”

ทันทีที่ใครบางคนถามอย่างนั้นอีกครั้ง ฟิลลิปที่กำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าอยู่ก็ยักไหล่

นั่นเป็นการขยับตัวเล็กๆ แต่การกระทำนั้นทำให้ปีเตอร์รู้ได้ทันทีว่าตนไม่ได้อยู่ในโลกของอีกฝ่าย และเขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าการที่กลัวว่าอีกฝ่ายจะจำตนเองได้นั้นโง่ขนาดไหน

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

ฟิลลิปเดาะลูกบาสกับพื้นเบาๆ พลางเอ่ยถาม ปีเตอร์งึมงำตอบไปว่าไม่เป็นไร และเริ่มเก็บส้มที่หล่นลงบนพื้นในตอนที่ล้ม ปีเตอร์รู้สึกว่าน้ำตาคลอทุกครั้งที่เก็บส้มใส่ถุง แต่เขาก็กัดปากพร้อมกับทนเอาไว้ เพราะเขารู้ว่าถ้าเขาร้องไห้ที่นี่ ต่อให้ตายเขาก็จะไม่มีวันให้อภัยตัวเองแน่ๆ พอเก็บส้มที่ตกอยู่บนพื้นครบแล้ว ปีเตอร์ถึงได้รู้ว่าส้มมีแค่เก้าลูก เขาจึงมองไปรอบๆ ส้มลูกหนึ่งตกอยู่อีกฟากหนึ่งของถนน ปีเตอร์ยืนตรงปลายฟุตบาทเพื่อข้ามถนน เขาคิดแค่ว่าจะรีบไปเก็บมัน และจะได้ออกไปจากที่นี่ ตอนที่เขาก้าวเท้าเพื่อข้ามถนนที่มีรถวิ่ง ใครบางคนก็จับแขนเขาไว้อย่างแรงจากทางด้านหลัง

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท