“ปีเตอร์!”
ปีเตอร์รีบปิดสมุดโน้ตทันทีที่ประตูถูกเปิดเข้ามา เจนนี่เดินเข้ามาในห้องในสภาพเหงื่อซก เธอหรี่ตาลง
“เขียนอะไรขนาดนั้นเหรอ”
“การบ้านน่ะ”
“การบ้านอะไรเยอะขนาดนั้น”
ปีเตอร์ยิ้มโดยไม่พูดอะไร เจนนี่หรี่ตาพร้อมกับถามซ้ำว่า ‘อะไรล่ะ’
“อันที่จริงแล้วก็ไม่ใช่การบ้านหรอก…แค่เขียนเฉยๆ น่ะ”
“ไม่ใช่การบ้าน แต่ก็ยังเขียนเหรอ นายเนี่ยสุดยอดจริงๆ ฉันน่ะนะแค่ทำการบ้านเขียนเรียงความยังรู้สึกเหมือนหัวจะแตกเลย ว่าแต่เขียนอะไรเหรอ”
“เขียนไปเรื่อยน่ะ”
ปีเตอร์ยิ้มพลางพูดกำกวม เขาเห็นว่าการบอกว่าสิ่งที่เขียนไม่ใช่ไดอารี่หรือการขีดเขียนง่ายๆ ด้วยปากของตัวเองเป็นเรื่องน่าอาย
“กลอนเหรอ หรือว่านิยายล่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก”
“ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ งั้นฉันขอดูหน่อย”
ทันทีที่เจนนี่ยื่นมือออกมา ปีเตอร์ก็ตกใจและเอาสมุดโน้ตไปซ่อนไว้ด้านหลัง
“ไม่ได้ ที่บอกว่าขอดูน่ะ จะขอดูอะไรล่ะ”
“ทำไมล่ะ ยังไงซะถ้าเป็นกลอนหรือนิยาย มันก็เป็นข้อความที่เขียนเพื่อให้คนอื่นอ่านอยู่แล้วนี่ จะเป็นอะไรล่ะถ้าฉันจะขออ่านก่อน”
มักจะมีความสมเหตุสมผลแปลกๆ อยู่ในคำพูดของเจนนี่เสมอ แม้ปีเตอร์จะยังซ่อนสมุดโน้ตไว้ด้านหลัง แต่เขาก็ถามกลับว่า ‘อย่างนั้นเหรอ’ พร้อมกับตั้งใจฟัง
“ของประเภทไดอารี่ต่างหากถึงจะเป็นข้อความที่ไม่ควรให้ใครอ่าน แต่ที่นายเขียนอยู่ตอนนี้มันไม่เหมือนของพวกนั้นไม่ใช่เหรอ”
“อืม…”
“ถ้าฉันอ่านแล้วโอเคจริงๆ ฉันจะบอกนายเอง แต่ถ้ามันประหลาดล่ะก็ ฉันจะเอาสมุดโน้ตมาใส่ไว้ที่ตู้จดหมายของบ้านนายเงียบๆ แทน”
คำพูดของเจนนี่ถูกต้อง ถ้าเป็นกลอนหรือนิยาย มันก็เป็นข้อความที่มีไว้ให้คนอื่นอ่านอยู่แล้ว ถ้าเขาเขียนลวกๆ คนเดียวในสมุดโน้ต เขาก็จะไม่ได้พัฒนาอะไรเลย
“ถ้ามันประหลาดเธอจะเอามาใส่ตู้จดหมายเฉยๆ ใช่ไหม”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ”
ปีเตอร์ค่อยๆ ยื่นสมุดโน้ตให้เธอ หลังจากรับสมุดโน้ตไปแล้วเจนนี่ก็ทำตาเป็นประกายพร้อมกับเอ่ยว่า
“ฉันเองก็มีของจะให้นายดูเหมือนกัน”
“อะไรเหรอ”
“ฉัน ฉันเขียนจดหมายแล้วล่ะ”
“จดหมายอะไรเหรอ”
“จดหมายรักที่จะให้เจ้าชายไงล่ะ”
เธอหยิบกระดาษยับๆ ออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เขา ปีเตอร์อุทานว่า ‘ว้าว’
“ทำไม มันโรแมนติกมากเลยล่ะใช่ไหม”
“ฉันจะต้องทำความเข้าใจก่อนนะว่าเธอเขียนว่าอะไร”
เจนนี่หัวเราะเสียงดังพลางนั่งลงบนเตียง ปีเตอร์เพ่งสายตาไล่อ่านตัวอักษรบนกระดาษอย่างตั้งใจ
“…เธอจะส่งไปแบบนี้จริงๆ น่ะเหรอ”
“ทำไมล่ะ”
“มันเปิดเผยมากเลยนะ เอ่อ บอกว่ารู้สึกถึงพรหมลิขิตทันทีที่เจอเลยเหรอ”
“ก็เป็นความจริงไม่ใช่เหรอ ฉันรู้สึกถึงพรหมลิขิตจริงๆ นี่ ฉันกับเจ้าชายต้องเคยเป็นคนรักกันในชาติก่อนแน่ๆ”
“จะเกิดอะไรขึ้นล่ะถ้าเธอเขียนอะไรแบบนี้ลงไปในจดหมายที่ส่งไปครั้งแรก”
สีหน้าของปีเตอร์ที่อ่านจดหมายเหยเกขึ้นเรื่อยๆ
“…แล้วทำไมเธอจะต้องลงท้ายจดหมายด้วยคำถามที่ว่าจะมีลูกกี่คนดีด้วยล่ะ”
“เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอที่จะปรึกษาเรื่องแบบนั้นกันไว้ก่อน”
“ไม่นะ นี่มันไม่ได้จริงๆ”
ปีเตอร์ส่ายหัว
“เธอจะเขียนจดหมายรักแบบนี้ไม่ได้นะ”
เจนนี่ทำปากยื่น
“นายพูดเหมือนคนที่เคยเขียนมาเยอะเลยนะ”
ปีเตอร์ใช้มือชี้ไปที่หนังสือที่ถูกเสียบไว้แน่นขนัดในชั้นวางหนังสือ ในนั้นมีหนังสือนิยายโรแมนซ์ปนอยู่บ้าง
“ก็ได้ งั้นจะต้องเขียนว่าอะไรล่ะ”
“อย่าบอกว่ารักอย่างกะทันหันสิ ควรจะบอกว่าอะไรดีน้า อืม…เริ่มแบบธรรมดาๆ ไม่ดีกว่าเหรอ”
“ยังไงล่ะ”
“ก็แบบหวัดดีอะไรแบบนี้น่ะ”
“แต่จะจืดชืดไปไหมนะ อืม ใช่แล้ว ฉันลองเขียนแบบนั้นก่อนดีกว่า”
ปีเตอร์หยิบปากกาขึ้นมาและเริ่มเขียนจดหมายฉบับใหม่ในแบบฝึกหัดของเจนนี่
“อยากเล่าถึงวันที่เจอกันครั้งแรกเหรอ”
“ใช่สิ! ก็วันนั้นเจ้าชายช่วยหยิบปากกาที่คุณป้าสเปนเซอร์ซื้อให้นี่! ฉันรู้สึกขอบคุณเขามากขนาดไหน จะต้องเขียนเรื่องนั้นลงไปนะ เพราะนั่นเป็นเหตุการณ์ที่สำหรับมากสำหรับฉัน เจ้าชายเองก็จะต้องจำได้ด้วยแน่นอน”
“แล้วถ้าเขาจำไม่ได้จะทำยังไงล่ะ”
“ไม่มีทางที่เขาจะจำไม่ได้! เรื่องนั้นฉูดฉาดจะตาย! เจ้าชายจะลืมเรื่องสำคัญอย่างนั้นได้เหรอ”
ปีเตอร์พยายามจะบอกว่าการช่วยเก็บปากกาให้นักเรียนคนอื่นไม่น่าจะใช่ประสบการณ์ที่ฉูดฉาด แต่เขาก็ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้เพราะสายตาของเจนนี่เป็นประกายมาก
“คือ…จดหมายที่ทำให้เกิดความสงสัยขึ้นมานิดหน่อยจะไม่ดีกว่าเหรอ หรือเขียนไปว่าคุณจำตอนที่เราเจอกันครั้งแรกได้ไหมก็ได้ แบบนั้นเขาก็จะได้ลองคิดด้วยไงว่ามันคืออะไร”
“โอ้! เยี่ยม! ปีเตอร์! นายมันอัจฉริยะ! ดีเลย ต่อเลยๆ”
ทั้งคู่นั่งข้างกันแบบนั้นและช่วยกันเขียนจดหมายรักจนสำเร็จ แม่ของปีเตอร์เปิดประตูเข้ามายื่นน้ำมะนาวให้ในระหว่างที่พวกเขาสุมหัวครุ่นคิดกันอยู่
“ตั้งใจทำอะไรขนาดนั้นกันอยู่เหรอจ๊ะ”
“เขียนเรียงความครับ”
ปีเตอร์ยิ้มพลางพูดอ้อมแอ้ม
“อย่างนั้นเหรอจ๊ะ ถ้าทำเขียนเรียงความเสร็จแล้ว แม่วานให้ทำอะไรหน่อยได้ไหม”
“ได้ครับ แม่จะให้ช่วยอะไรเหรอครับ”
“ช่วยไปซื้อส้มที่ซูเปอร์มาร์เก็ตให้หน่อย ซื้อมาสักสิบลูกก็ได้จ้ะ แม่จะทำแยมส้ม แต่ว่าไม่มีส้ม”
“ว้าว! จริงเหรอครับ ให้ผมไปซื้อให้ตอนนี้เลยไหมครับ”
ปีเตอร์ที่ชื่นชอบแยมส้มที่แม่ทำเป็นอย่างมากเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น
“แต่ลูกมีแขกอยู่นะ”
“โอ้ หนูไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ เดี๋ยวหนูมาใหม่ก็ได้ เราเขียนกันเกือบจะเสร็จแล้วล่ะค่ะ”
เจนนี่ลุกขึ้น ปีเตอร์หันกลับมามองเธอด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“ไม่เป็นไร อยู่ต่ออีกหน่อยแล้วค่อยไปก็ได้”
“เอาน่า ยังไงซะเดี๋ยวก็ได้เวลาที่ฉันจะต้องกลับบ้านอยู่แล้ว อันที่จริงฉันมีการบ้านคณิตศาสตร์ด้วย ฉันหมายถึงการบ้านจริงๆ น่ะ”
เธอพึมพำด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ปีเตอร์บอกว่า ‘สู้ๆ นะ’ พร้อมกับตบบ่าเธอ ทั้งคู่ปรึกษากันเรื่องจดหมายรักที่ช่วยกันเขียนจนเสร็จในขณะที่ลงบันได
“ใช้เวลานานไหมในการแปลมันเป็นภาษาเกาหลี”
“ไม่รู้สิ ถ้าปรับคำก็น่าจะใช้เวลาไม่นาน เดี๋ยวไว้ฉันกลับมาทำ”
“งั้นจะเสร็จคืนนี้เหรอ”
“ใช่ ถ้าฉันทำเสร็จแล้ว เธอจะเลี้ยงของอร่อยๆ ใช่ไหม”
“ก็ได้ๆ”
หลังจากปีเตอร์รับเงินค่าส้มมาจากแม่แล้ว คนทั้งคู่ก็ร่ำลากันหน้าประตูหน้าบ้าน
“ให้ไปด้วยไหม”
“ไม่ล่ะ ฉันจะไปคนเดียว”
“โอเค งั้นไปดีๆ นะ ไว้เจอกันคราวหน้า”
“อื้อ บ๊ายบาย”
พวกเขามีความสัมพันธ์ที่สามารถเจอกันได้ทุกเมื่อ แม้จะแยกย้ายกันโดยไม่นัดว่าจะเจอกันเมื่อไร ปีเตอร์ใส่เงินไว้ในกระเป๋ากางเกงและเริ่มเดินไปทางซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่แถวบ้าน เนื่องจากอากาศที่อบอ้าวทำให้พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวเหงื่อของเขาก็ไหลเป็นสาย เขาคิดว่าเก่งพอที่จะไปคนเดียวได้ ถ้าพาเจนนี่มาด้วยในอากาศแบบนี้ก็น่าจะเป็นการกระทำที่ไม่ต่างอะไรจากการทรมานเธอ
พอเดินไปได้สักสองช่วงตึกปีเตอร์ก็เปลี่ยนใจ ต่อให้เขาจะชอบแยมส้มแค่ไหน แต่การออกมาในเวลานี้ก็เกินไป แต่ถึงอย่างนั้นถ้าเขาเดินไปอีกหน่อยก็จะถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแล้ว เขาปลอบใจตัวเองว่าพอไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแล้ว ตนก็จะได้ตากแอร์เย็นๆ ได้เต็มที่พร้อมกับพยายามก้าวเท้าเดิน
เขาไม่ชอบออกกำลังกาย หัวใจที่อ่อนแอตั้งแต่กำเนิดทำให้เขาไม่สามารถออกกำลังหนักๆ ได้ เขาจึงไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะพัฒนาความสนใจในเรื่องของการออกกำลังกาย และนิสัยเก็บตัวของเขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่เสียจนเขาไม่ชอบแสดงท่าทางขยับตัวอย่างเงอะงะต่อหน้าคนอื่น
ไม่เพียงแต่คุณหมอเท่านั้นที่รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาจำเป็นต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ครอบครัวของเขาและตัวปีเตอร์เองก็รู้เรื่องนี้ด้วย ในที่สุดแม่ก็ต้องการให้ลูกชายไปเดินเล่นโดยแสร้งเป็นใช้งานเขาเป็นครั้งคราวด้วยวิธีแบบนี้
ปกติเขาจะยอมโดนหลอกอย่างอารมณ์ดี แต่วันนี้เขาอดที่จะโกรธตัวเองที่ยอมหลงกลไม่ได้
“ฮ่า…”
ตอนที่เขาเปิดประตูซูเปอร์มาร์เก็ตด้วยมือชื้นเหงื่อและเข้าไปด้านใน เขาก็สูดหายใจเข้าไปจนเต็มปอด แม้จะเป็นสถานที่ที่ถูกทำให้เย็นด้วยเครื่องจักร แต่มันก็ทำให้เขาอารมณ์ดี ปีเตอร์คิดอย่างเอาจริงเอาจังว่าตนควรจะใช้เวลาอยู่ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตจนกว่าดวงอาทิตย์จะตกดีไหมในระหว่างที่ค่อยๆ หยิบส้มสิบลูกขึ้นมาเลือกอย่างเอาใจใส่
ปีเตอร์ถือถุงสีน้ำตาลที่บรรจุส้มเอาไว้และเดินไปเดินมาตรงอยู่ประตูครู่ใหญ่จนกระทั่งไม่สามารถทนสายตาคมกริบของพนักงานร้านได้ จึงเปิดประตูออกไปด้านนอก
ก็ได้ อากาศร้อนเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องใหญ่ตรงไหนกัน เราเดินมาจนถึงที่นี่ได้ก็น่าจะกลับไปได้เหมือนกัน
ปีเตอร์กอดถุงสีน้ำตาลไว้และก้าวเท้ากระฉับกระเฉง แต่เขากลับทรุดลงไปทั้งๆ ที่ยังเดินไปได้ไม่ถึงหนึ่งช่วงตึกดี เพราะความไม่ยั้งคิดของตน ปีเตอร์หาร่มเงาและนั่งพักรอให้ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลับฟ้าไป
“ถ้าใครมาเห็นคงนึกว่าเราเป็นแวมไพร์แน่”
ปีเตอร์ก้มลงมองแขนของตัวเองที่ผอมแห้งและขาวจนมองเห็นเส้นเลือดสีน้ำเงินนูนขึ้นมา เขารู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอจนไม่สามารถเทียบกับนักเรียนชายคนอื่นในชั้นเดียวกันได้
เขาอยากแข็งแรงขึ้น อยากวิ่งไปมาในสนามกีฬาให้เต็มที่ อยากไปเที่ยว และอยากไปทำธุระเล็กๆ น้อยๆ นี่ได้โดยไม่เป็นอะไร
ปีเตอร์วางถุงสีน้ำตาลลงข้างตัว และมองพวกเด็กผู้ชายที่กำลังเล่นบาสเกตบอลกันอยู่ในสนามอีกฟากหนึ่งของถนน พอมองพวกเขาที่เหงื่อไหลและขยับตัวภายใต้แสงแดดที่สาดส่องลงมา เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าสภาพของตนน่าสมเพชขึ้นไปอีก
พวกเขาวิ่งเก่งเหมือนกับสัตว์ป่าที่ถูกปล่อยไว้ในทุ่งหญ้าเลย ทำไมพวกเขาถึงยังขยับได้ทั้งๆ ที่หอบขนาดนั้นนะ
ปีเตอร์นั่งมองสนามบาสเกตบอลอย่างเลื่อนลอยอยู่ตรงม้านั่ง แต่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เขารู้สึกคุ้นหน้าท่ามกลางเด็กพวกนั้นก็เข้ามาในสายตา
“อ้าว…”
ปีเตอร์ลุกขึ้น เขาไม่ทันสังเกตเลยว่าส้มลูกหนึ่งตกลงไปจากม้านั่ง
เป็นเด็กหนุ่มคนนั้นนั่นเอง วินาทีที่เขารับรู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่าย คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ก็ไกลออกไปราวกับเป็นฉากหลัง แม้จะไม่ใช่เพราะความสูงที่สูงกว่าคนรุ่นเดียวกันหนึ่งช่วงหัว แต่เด็กหนุ่มก็ดึงความสนใจจากตนได้ ฟิลลิปขยับราวกับโบยบินอยู่ท่ามกลางเด็กผู้ชายคนอื่นๆ เหมือนกับจะยืนยันข่าวลือที่ว่าเขาทำให้ชมรมกีฬาทุกชมรมของโรงเรียนตาลุกวาวในตอนที่เข้ามาเรียน ต่อให้เขาเข้าชมรมบาสเกตบอลแทนชมรมอเมริกันฟุตบอล เขาก็ยังมีความสามารถไม่ต่างกันอยู่ดี
ปีเตอร์เดินข้ามถนนไปเหมือนคนที่ถูกอะไรบางอย่างล่อลวง ความคิดที่อยากจะเห็นอีกฝ่ายใกล้ๆ ไล่ให้เขาออกไปอยู่ใต้แสงแดดอีกครั้ง ปีเตอร์ยืนมองเด็กหนุ่มที่กำลังเล่นบาสเกตบอลอยู่หน้ารั้วตาข่ายที่กั้นระหว่างฟุตบาทและสนามบาสเกตบอล
ปีเตอร์ถึงขนาดลืมไปเลยว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่จนกระทั่งเกิดเสียงดัง โครม จนทำให้รั้วตาข่ายสั่น ปีเตอร์ที่ตื่นตกใจกับเสียงดังที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างกะทันหันร้อง ‘อ๊าก’ พร้อมกับทรุดลงไปนั่ง ลูกบาสเกตบอลที่กระแทกรั้วตาข่ายกลิ้งกลับเข้าไปในสนามบาสเกตบอล
“อะไรของมัน”
“นายรู้จักเหรอ”
พวกเด็กผู้ชายที่เล่นบาสกันอยู่ในสนามชี้ไปที่เด็กหนุ่มชาวเอเชียตัวค่อนข้างเล็กที่กำลังมองพวกตนอยู่พลางเบนสายตาไปหาฟิลลิป
ปีเตอร์ตกใจและห่อไหล่เหมือนคนโดนเผาเพราะสายตานั้นที่กำลังมองมาที่ตน ถ้าเขาพูดกับเรา เราจะต้องตอบว่าอะไรล่ะ ถ้าเขาถามว่าทำไมถึงมายืนจ้องเขาอยู่ตรงนี้ เราควรจะบอกว่าอะไรดี โอ๊ย จะทำยังไงดีนะ หัวของเราดันโล่งซะจนนึกอะไรไม่ออกเลย
แล้วถ้ามีข่าวลือหลุดออกไปว่าเราเป็นสตอล์กเกอร์แปลกๆ เราคงไปที่สมาคมชาวเกาหลีโพ้นทะเลไม่ได้อีกแล้วแน่เลย…
“คนรู้จักเหรอ”
ทันทีที่ใครบางคนถามอย่างนั้นอีกครั้ง ฟิลลิปที่กำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าอยู่ก็ยักไหล่
นั่นเป็นการขยับตัวเล็กๆ แต่การกระทำนั้นทำให้ปีเตอร์รู้ได้ทันทีว่าตนไม่ได้อยู่ในโลกของอีกฝ่าย และเขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าการที่กลัวว่าอีกฝ่ายจะจำตนเองได้นั้นโง่ขนาดไหน
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
ฟิลลิปเดาะลูกบาสกับพื้นเบาๆ พลางเอ่ยถาม ปีเตอร์งึมงำตอบไปว่าไม่เป็นไร และเริ่มเก็บส้มที่หล่นลงบนพื้นในตอนที่ล้ม ปีเตอร์รู้สึกว่าน้ำตาคลอทุกครั้งที่เก็บส้มใส่ถุง แต่เขาก็กัดปากพร้อมกับทนเอาไว้ เพราะเขารู้ว่าถ้าเขาร้องไห้ที่นี่ ต่อให้ตายเขาก็จะไม่มีวันให้อภัยตัวเองแน่ๆ พอเก็บส้มที่ตกอยู่บนพื้นครบแล้ว ปีเตอร์ถึงได้รู้ว่าส้มมีแค่เก้าลูก เขาจึงมองไปรอบๆ ส้มลูกหนึ่งตกอยู่อีกฟากหนึ่งของถนน ปีเตอร์ยืนตรงปลายฟุตบาทเพื่อข้ามถนน เขาคิดแค่ว่าจะรีบไปเก็บมัน และจะได้ออกไปจากที่นี่ ตอนที่เขาก้าวเท้าเพื่อข้ามถนนที่มีรถวิ่ง ใครบางคนก็จับแขนเขาไว้อย่างแรงจากทางด้านหลัง