“พวกเราจะลงตรงนี้ครับ”
อีอูยอนจับไหล่ของอินซอบไว้ในขณะที่พูดอย่างนั้น แม้อินซอบจะพยายามแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘ผมจะกลับบ้านครับ’ ตลอดระยะเวลาที่นั่งมาในรถ แต่อีอูยอนกลับบอกว่าไม่สามารถปล่อยให้คนป่วยอยู่ตามลำพังได้ และบอกว่าเขามีเรื่องที่จะถามด้วยพร้อมกับส่ายหน้าอย่างดื้อดึง
“ผมจะกลับบ้านของตะ…”
แม้จะเห็นว่าอีอูยอนลงไปแล้ว แต่อินซอบก็ยังกำเข็มขัดนิรภัยเอาไว้และพูดพลางกะพริบ แต่อีอูยอนกลับจับอินซอบและลากเขาลงมาจากรถโดยไม่รอให้พูดจบ
“หัวหน้าทีมครับช่วยเลื่อนตารางงานวันพรุ่งนี้ของผมออกไปให้หมดเลยนะครับ”
“ว่าไงนะ ตารางงานวันพรุ่งนี้ทั้งหมดเลยเหรอ”
หัวหน้าทีมชาถามกลับด้วยสีหน้าที่บอกว่า ‘นั่นมันคำพูดไร้สาระอะไรอีก’
“ผมตกม้านะครับ ถ้าเป็นเรื่องนั้นทุกคนก็น่าจะเข้าใจนะครับ”
“นี่ นี่ อีอูยอน นั่นมันหมายความว่า…! เฮ้ย!”
อีอูยอนปิดประตูรถไปก่อนที่หัวหน้าทีมชาจะเริ่มบ่น
“พวกเราไปกันเถอะครับ”
อินซอบที่ยังคงคิดว่าจะต้องหลุดออกไปให้ได้ถูกอีอูยอนจับไว้ และถูกอีกฝ่ายลากไปทั้งๆ แบบนั้น แม้กระทั่งตอนอยู่ในลิฟต์อินซอบก็ยังคงบอกว่าอยากจะกลับไปที่บ้านด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่อีอูยอนไม่แม้แต่จะแกล้งทำเป็นได้ยิน ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเขาตอบเหมือนจะฟัง
‘จะปล่อยคนป่วยอยู่ตามลำพังได้ยังไงกันครับ ผมทำแบบนั้นกับผู้มีพระคุณในชีวิตของผมไม่ได้หรอกครับ’
‘แล้วผมก็มีเรื่องที่อยากจะถามด้วย เราค่อยๆ คุยกันนะครับ’
บทสนทนาแบบนั้นวนเวียนกลับมาไม่มีสิ้นสุด
อีอูยอนลากอินซอบออกมาจากลิฟต์ด้วยความดื้อรั้น ชเวอินซอบอยากจะร้องไห้
ตอนแรกเขาเบาใจกับน้ำเสียงที่ได้ยินเบาๆ ตอนที่ลืมตาขึ้นมาในห้องฉุกเฉินและมึนด้วยฤทธิ์ขอยา เขาได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เขาได้ยินเสียงสะท้อนต่ำๆ แทรกอยู่ในนั้นบ้างเป็นครั้งคราวพลางคิดว่าเขาอยากจะได้ยินเสียงนั้นไปเรื่อยๆ ในขณะที่หัวใจของเขายังเต้นอยู่
ดีจัง ถึงเขาจะปวดตัวและเจ็บแปลบๆ ตรงนั้นตรงนี้บ้าง แต่เขากลับรู้สึกดี เพราะได้ยินเสียงเพราะๆ ที่เหมือนกับถูกคลุมด้วยกำมะหยี่อยู่เรื่อยๆ แต่พอเขาได้สติมากขึ้นและสามารถเข้าใจความหมายของบทสนทนานั้นได้ ปากของอินซอบที่กำลังอมยิ้มอยู่ก็ค่อยๆ นิ่งลงเรื่อยๆ เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่เลือดที่สูบฉีดออกมาจากหัวใจไหลทะลักขึ้นไปบนหน้าอย่างชัดเจน
เขาขยับตัวด้วยความมุ่งมั่นที่ว่าเขาจะต้องออกจากตรงนี้ไปให้ได้ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรก็ตาม แต่เตียงที่เขานอนอยู่กลับสูงกว่าที่คิด และร่างกายที่มึนด้วยฤทธิ์ของยาก็ไม่ยอมขยับอย่างที่ใจคิด สุดท้ายเขาก็ทำให้เกิดเสียงอึกทึกครึกโครม เพราะเขาดันใช้มือดึงผ้าห่มลงมาด้วยอย่างไม่รู้ตัวในขณะที่ล้ม หลังจากนั้นความทรงจำที่ทำให้เขาอยากตายก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นไปไม่ได้เลยที่อีอูยอนจะไม่รู้ว่าตนได้ยินบทสนทนานั้น แต่เขากลับไม่มีแม้แต่คำพูดสั้นๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย
เขาพูดแค่ว่ามีเรื่องที่อยากถามเท่านั้น
โอ๊ย อยากจะร้องไห้ ถ้าสามารถร้องไห้ได้อย่างเต็มที่ตรงนี้เดี๋ยวนี้จะดีแค่ไหน ขอสิทธิ์ให้ฉันร้องไห้ได้หน่อยเถอะ
ชเวอินซอบยืนอยู่ด้านหลังอีอูยอนที่กำลังเปิดประตู เขาเก็บคำพูดที่ไม่สามารถพูดออกไปได้ไว้ในใจพลางทำคอตก
“เข้ามาสิครับ”
อีอูยอนเปิดประตูก่อนจะเอ่ยพูด แม้จะยืนอยู่หน้าประตูหน้าบ้านแล้วอินซอบก็ยังทำหน้าอึดอัดใจและลังเลอยู่พักหนึ่ง
“เข้ามาสิครับ เร็วๆ”
“…”
อีอูยอนปิดประตูทันทีที่อินซอบก้าวขาเข้าไปด้านใน อินซอบน้ำตาคลอ เพราะเสียงล็อกประตูอัตโนมัติที่ได้ยินจากทางด้านหลัง
อยากกลับบ้าน นิ้วก็เจ็บมากด้วย เราทั้งอายทั้งเหนื่อย…และมากกว่าอะไรทั้งหมดคือเรากลัวอีอูยอน
“ทำอะไรอยู่ครับ ไม่ถอดรองเท้าล่ะ”
“…ครับ”
อินซอบถอดรองเท้าที่ใส่อยู่ออกก่อนจะพบว่าถุงเท้าของตนสกปรก เขาจึงไม่กล้าก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา
“เป็นอะไรไปครับ”
“ถุงเท้าผม…สกปรกน่ะครับ”
“ถุงเท้าสกปรกแล้วมันทำไมเหรอครับ”
“เขาบอกว่าห้ามใส่ถุงเท้าสกปรกเข้าบ้านคนอื่น…”
อินซอบนึกถึงเนื้อหาในหนังสือที่บอกว่าจะต้องใส่ใจกับถุงเท้าในตอนที่ไปเยี่ยมบ้านของคนอื่นเป็นพิเศษ เพราะการนั่งพื้นเป็นวัฒนธรรมในการอยู่บ้านของชาวเอเชีย
อีอูยอนเองก็ไม่ต้องการให้คนอื่นใส่ถุงเท้าสกปรกเข้ามาและเดินไปเดินมาในบ้านของตัวเองเช่นกัน แต่อินซอบกลับทำตัวไม่ถูกและตื่นตระหนกเหมือนกับว่านี่เป็นความผิดที่ใหญ่โต
“ใครเขาบอกแบบนั้นเหรอครับ”
“ในหนังสือ…“
อีอูยอนคิดว่าจะตอบว่าหนังสือนั่นมันไร้ประโยชน์มากดีไหม และเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ อินซอบ
“ถูกแล้วครับ การใส่ถุงเท้าสกปรกเข้าไปในบ้านของคนอื่นเป็นการกระทำที่เสียมารยาทมากๆ”
อีอูยอนที่พูดถึงตรงนั้นก็เอาแขนของตนช้อนข้อพับเข่าของอินซอบและอุ้มอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ทะ ทำอะไร…!”
“ผมจะพาคุณไปห้องน้ำเองครับ”
“ผม ผม เดิน…ไม่สิ เท้าเปล่า ไม่ เดี๋ยวผมกระโดดขาเดียว…ผม!”
อินซอบพึมพำคำพูดที่ไม่ออกมาเป็นความหมายพลางดิ้นเหมือนคนจมน้ำ อีอูยอนใช้มือจับไหล่ของเขาอย่างแรง
รอยยิ้มที่เคยอยู่ในดวงตาของเขาหายไป
“อย่าดิ้นมากสิครับ ผมเจ็บไหล่อยู่นะ”
“…!”
“อยู่นิ่งๆ หน่อยนะครับ”
แม้เสียงจะอ่อนโยน แต่สายตาของเขากลับน่ากลัว อินซอบไม่แม้แต่จะพูดขอร้องให้อีกฝ่ายปล่อยตัวเองลงได้ อีอูยอนที่พาอินซอบไปที่ห้องน้ำด้วยสภาพนั้นพิงประตูก่อนจะพูดอย่างตีหน้าซื่อ
“จะอาบน้ำไหมครับ”
“ครับ อาจจะ…”
“มือคุณเจ็บนี่ครับ คุณจะอาบได้เหรอ ให้ผมช่วยไหมครับ”
ชเวอินซอบส่ายหน้าไปด้านข้างเหมือนคนบ้า อีกฝ่ายส่ายหน้าแรงมากจนเขาเป็นห่วงว่าคอจะหลุดออกมาหรือเปล่า
อีอูยอนไม่มีรสนิยมในการมองร่ายเปลือยเปล่าของผู้ชาย ยิ่งรสนิยมในการช่วยผู้ชายอาบน้ำยิ่งไม่มีไปกันใหญ่ แต่พอมีปฏิกิริยาแบบนั้นตอบกลับมาจากคำพูดล้อเล่นนั่น มันก็กระตุ้นความต้องการอยากเอาชนะของเขาอย่างประหลาด อีอูยอนยืนกอดอกและดุอินซอบซ้ำๆ ว่า ‘จะไม่ให้ช่วยจริงๆ เหรอครับ’
“หมอห้ามไม่ให้น้ำเข้าเฝือกนะครับ ถ้าแผลเน่าจะทำยังไงล่ะ”
“…ผมจะพยายามระวังครับ”
แม้จะตอบไปแบบนั้น แต่อินซอบกลับทำหน้าเหยเกขึ้นมาทันทีเพราะคำว่าแผลเน่า อีอูยอนยืนอยู่อย่างนั้น และอยากจะอธิบายให้อีกฝ่ายฟังว่าถ้าแผลแย่ลงกว่าเดิมหนอนจะเยอะยังไง และกลิ่นที่ออกมาจากแผลที่เน่าจะน่ากลัวแค่ไหนสักสิบนาที แต่เขาก็คิดว่าวันนี้พอไว้แค่นี้ดีกว่า
อีอูยอนยิ้มพลางบอกว่า ‘งั้นผมขอตัวสักครู่นะครับ’ ก่อนจะไปเอาอะไรบางอย่างจากห้องครัวมายื่นให้อินซอบ
มันคือฟิล์มถนอมอาหารนั่นเอง อินซอบตั้งใจพยักพน้า เพราะเขาคิดว่าถ้าใช้สิ่งนี้แม้เขาจะอาบน้ำคนเดียว แต่เขาก็สามารถห่อมือข้างที่ใส่เฝือกได้ ทันทีที่เขารับฟิล์มถนอมอาหารมาและประตูถูกปิดลง อินซอบก็ได้หายใจด้วยความโล่งใจเป็นครั้งแรกหลังจากลืมตา แต่คำพูดที่เจือไปด้วยการล้อเล่นของอีอูยอนจากด้านนอกประตูกลับจู่โจมเขา
“ถ้าอาบน้ำไม่ได้ก็ให้เรียกนะครับ เดี๋ยวผมจะช่วย”
ชเวอินซอบล็อกประตูห้องน้ำหลังจากที่ตะโกนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า ‘ขอบคุณที่พูดแบบนั้นนะครับ แต่ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ’ หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าเสียงหัวเราะของอีอูยอนไกลออกไปแล้ว เขาก็ทรุดลงไปนั่งที่พื้นห้องน้ำทั้งๆ แบบนั้น
***
สิ่งแรกที่อีอูยอนเห็นหลังจากอาบน้ำเสร็จและสวมเสื้อคลุมอาบน้ำออกมาที่ห้องนั่งเล่นคือชเวอินซอบที่กำลังนั่งสัปหงกอยู่ที่โซฟา อีอูยอนกลั้นขำ ตอนที่ตนบอกว่าให้รอสักครู่ เพราะมีเรื่องที่คุยด้วยหลังอาบน้ำเสร็จ อินซอบก็ตัวแดงไปทั้งตัวและพยักหน้าเงียบๆ
แม้ว่าเขาจะบอกแค่ว่าจะออกมาหลังจากที่อาบน้ำเสร็จโดยไม่บอกว่าจะทำอะไร แต่ท่าทางของอินซอบที่เหมือนกับสาวบริสุทธิ์ที่โดนลากเข้าโรงแรมก็ทำให้อีอูยอนสนุกแทบตาย ดังนั้นเขาจึงจงใจอาบน้ำให้เสร็จช้ากว่าปกติ และออกมาในสภาพที่ไม่ยอมใส่เสื้อผ้าให้ดีๆ เขาคิดว่าจะสำรวจดูอย่างสบายใจว่าชเวอินซอบจะตัวสั่นเทาแค่ไหน
แต่อีกฝ่ายกำลังสัปหงกอยู่เนี่ยนะ
“…”
อีอูยอนนั่งประสานมือบนโซฟา และเหม่อมองชเวอินซอบที่กำลังสัปหงกเหมือนลูกเจี๊ยบที่โดนกรอกยา จะว่าไปแล้วคราวที่แล้วอีกฝ่ายก็เป็นแบบนี้นี่ นอนหลับหายใจครืดๆ ทั้งๆ ที่ยังมีทิชชู่อุดจมูกเอาไว้ เพราะได้รับความเครียดจนเลือดกำเดาไหล เขาชักจะสับสนแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นแบบนี้เพราะกลัวหรือเพราะกล้ามากกันแน่
อีอูยอนนั่งลงในฝั่งตรงข้ามกับชเวอินซอบที่กำลังหลับอยู่ สภาพของอีกฝ่ายในตอนนี้มือข้างซ้ายมีพลาสเตอร์ปิดไว้ เพราะถูกใบมีดที่สอดไว้กับจดหมายจากสตอล์กเกอร์บาด และมือข้างขวาก็กำลังใส่เฝือกสั้นเพราะนิ้วหัก ภาพนั้นช่างน่าเวทนาจนไม่น่าเชื่อว่าทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของนักแสดง
จะว่าไปแล้วน้ำหนักเขาลดลงไปหน่อยหรือเปล่านะ
พอพิจารณาใบหน้าที่ผงกหัวลงไปเล็กๆ นั่นแล้ว ก็เหมือนกับว่าแก้มที่เคยมีเบบี้แฟตจะผอมลงไปเหมือนกัน
ช่วงนี้คงจะเหนื่อยมากล่ะสิ เพราะอีกฝ่ายเกือบจะไม่ได้นอน แถมยังต้องมารอเขาที่กองถ่ายทั้งวันในสภาพที่ต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลาอีก อินซอบช่างสังเกตนักแสดงตามสมควรเหมือนกับผู้จัดการส่วนตัวคนอื่นๆ ในขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็ไม่เคยขี้เกียจหรือกล้าไปทำอย่างอื่นในที่ที่เขามองไม่เห็นเลย เขามักจะยืนอยู่ใกล้ๆ กับตนเสมอทั้งๆ ที่ประหม่า
พอมองท่าทางสัปหงกนั่นแล้ว เขาก็เห็นเหมือนอีกฝ่ายเป็นนักเรียนที่ยังไม่จบมัธยมปลายเลยด้วยซ้ำ เขาไม่เชื่อว่ามนุษย์ที่ซอมซ่อและไม่มีค่าอะไรถึงขนาดนั้นจะช่วยชีวิตตนไว้ถึงสอง ไม่สิ ถึงสามครั้งแล้ว
ตาของเขามองไปที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติทันทีที่นึกถึงคำพูดที่บอกว่าอินซอบผายปอดให้ตน
เขาเอาริมฝีปากนั้นจ่อมาที่ปากของเรางั้นเหรอ
อีอูยอนใช้นิ้วลูบริมฝีปากของตน เขาสงสัยว่าผู้จัดการส่วนตัวขี้ขลาดจะจับริมฝีปากของตนในขณะที่สั่นระริกอยู่ได้อย่างไร พอเขาไม่มีความทรงจำเรื่องนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงรู้สึกไม่ยุติธรรม
เขาตัดสินใจที่จะปลุกอินซอบขึ้นมาก่อน
“คุณอินซอบ”
ทันทีที่เขาเขย่าไหล่ที่โน้มมาด้านหน้าประมาณสองสามครั้ง ชเวอินซอบก็ตกใจเหมือนคนที่โดนไฟลวก และลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เปล่านะครับ! ผมไม่ได้หลับนะครับ! ผมแค่หลับตาเฉยๆ ครับ”
“ช่วยเช็ดน้ำลายที่เปื้อนตรงมุมปากหน่อยครับ”
แม้อินซอบจะเช็ดบริเวณด้านข้างของริมฝีปากด้วยสีหน้าเก้อเขิน แต่มันก็ไม่มีอะไรเปื้อน หน้าของเขาเห่อร้อน เพราะคิดว่าตนถูกการล้อเล่นที่อีกฝ่ายแสดงหลอกอีกแล้ว
“เหนื่อยเหรอครับ”
“เปล่าครับ ผมสบายดี”
“แล้วมือโอเคขึ้นหรือยังครับ”
“ครับ เพราะคุณคอยเป็นห่วงผมเลยไม่เป็นไรแล้วครับ”
แม้ความจริงเขาจะยังรู้สึกเจ็บแปลบ และเจ็บจนอยากจะกรีดร้องออกมาทุกครั้งที่ความเจ็บนั้นปรากฏขึ้นมาตรงไหนสักที่ แต่อินซอบก็ทำตัวสบายๆ อย่างเป็นผู้ใหญ่พลางตอบออกไปแบบนั้น
“โอเคครับ งั้นเรามาคุยกันหน่อยนะครับ”
“…”
เราควรจะกลิ้งไปกลิ้งมาแล้วบอกว่าเจ็บจนจะตายแล้วมากกว่า จู่ๆ ก็จะเข้าประเด็นเลยเหรอ
ชเวอินซอบรู้สึกถึงเหงื่อกาฬที่ไหลลงมาตามหลัง เขาไม่รู้ว่าจะต้องวางสายตาไว้ตรงไหนและรอคำพูดต่อไปของอีอูยอน
“ผมมีเรื่องสงสัยครับ”
“…”
ชเวอินซอบจับหัวใจที่เหมือนจะระเบิดเอาไว้ และมองแต่ริมฝีปากของอีอูยอน
“คุณไม่บอกผมได้ยังไง…”
“ก็ช่วยไม่ได้นี่ครับ ผมขอให้คนอื่นช่วยปิดเป็นความลับ เพราะคุณอาจจะไม่สบายใจก็ได้ถ้าได้รู้ความจริงนั้น แต่ผมแปรงฟันวันละสามครั้งนะครับ แล้วก็ไม่มีโรคที่จะติดต่อผ่านช่องปากเลยสักโรคเดียวด้วย”
ราวกับห่อผ้าเวทมนตร์ที่มีเรื่องเล่าออกมาอยู่เรื่อยๆ หากแตะเข้าที่ด้านข้าง อีอูยอนเอนไหล่ไปด้านหลังพลางระเบิดหัวเราะ เพราะท่าทางของอินซอบที่วางมือไว้บนเข่าพลางมองตรงไปด้านหน้า และท่องบทออกมาเหมือนกับเตรียมตัวเอาไว้แล้ว
“ฮ่าๆๆๆ ไม่ครับ ไม่ใช่เรื่องนั้น ฮ่าๆๆ แต่แน่นอนว่าเดี๋ยวผมจะถามเรื่องนั้นทีหลังด้วยครับ ฮ่าๆๆๆ”
“…”
“ฮ่าๆๆ โอเคครับ แต่เรื่องที่ผมอยากถามไม่ใช่เรื่องนั้นน่ะสิครับ”
“…ไม่ใช่เหรอครับ”
ซวยแล้ว
รู้อย่างนี้น่าจะอยู่เฉยๆ ดีกว่า
ทำไมเราถึงคิดว่าคำถามที่อีอูยอนอยากถามจนต้องพาเรามาที่นี่คือเรื่องผายปอดล่ะ…
เขารู้สึกเหมือนถูกใครบางคนใช้ค้อนใหญ่ๆ ทุกและตอกเขาให้จมลงไปในดินจนมองไม่เห็น
“ผมตัดสินใจว่าจะปล่อยเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนครับ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสถานการณ์ที่ผมสงสัยมากก็ตาม แต่ผมจะถามเรื่องนั้นทีหลังครับ”
“ครับ…”
อินซอบหวังมากเท่าที่จะหวังได้ว่าถ้าคำถามนั้นจะไม่กลับมาก่อนที่เขาจะออกจากประเทศเกาหลีไป