ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 1 เล่ม 2 ตอนที่ 6-4

ภาค 1 เล่ม 2 ตอนที่ 6-4

“…”

“ผมเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว ถ้าผมตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงวิ้งๆ ของยุงที่ข้างหูในขณะที่นอน ผมจะไม่นอนอีกเลยจนกว่าจะจับยุงตัวนั้นได้ ผมเคยตื่นทั้งคืนด้วยครับ และผมก็ได้รู้ว่าการทำให้อะไรก็ตามที่กวนใจเราหายไปเป็นวิธีการที่ชาญฉลาด”

“เฮ้ยนิสัยแกนี่มัน…ก็ได้”

“และตอนนี้ก็มีเรื่องที่กวนใจผมฉิบหายเลย แต่พอจะทำให้หายไปผมกลับสงสัย และพอจะปล่อยให้อยู่ข้างๆ ผมก็ดันไม่สบายใจ”

อีอูยอนแกล้งยิ้มก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ถามว่านั่นหมายความว่าอะไร

“เพราะฉะนั้นการตัดสินใจเกี่ยวกับคุณอินซอบผมจะเป็นคนทำเองครับ เข้าใจไหมครับกรรมการผู้จัดการ”

ถ้าเขาบอกว่าไม่เข้าใจ เขาก็รู้สึกเหมือนจะโดนอิฐทุบหรือโดนมีดแทงขึ้นมาตอนไหนก็ได้เมื่อออกจากบ้านเวลากลางคืน ดังนั้นกรรมการผู้จัดการคิมจึงพยักหน้าโดยไม่สามารถทำอะไรได้

“ก็ได้…แล้วนายไม่เป็นไรเหรอ นายตกม้านี่”

กรรมการผู้จัดการคิมสำรวจร่างกายของอีอูยอนอย่างระมัดระวัง

“เหมือนไหล่จะหลุดนะครับ”

“ว่าไงนะ ไหล่งั้นเหรอ ทำไมถึงไม่ยอมรับการรักษาแล้วมาทำอะไรแบบนี้อยู่ล่ะ!”

“ผมลืมครับ”

“มีการลืมด้วยเหรอ ให้ตายสิ ไปเอ็กซเรย์แล้วรับการรักษาเดี๋ยวนี้เลย แก! นี่แกยังมีสติอยู่กับตัวไหม หา?! ”

อีอูยอนลุกขึ้นพลางเอ่ยตอบ

“กรรมการผู้จัดการคิดว่าผมยังมีสติอยู่กับตัวอีกเหรอครับ”

“…”

“ล้อเล่นน่ะครับ”

กรรมการผู้จัดการคิมมองดวงตาของอีอูยอนที่ยิ้มอย่างนุ่มนวลพลางคิดว่า ถ้าตอนนั้นฉันไม่ได้เห็นฉากนั้นก็คงหนีไม่พ้นโดนไอ้หมอนี่หลอกมาจนถึงตอนนี้แน่ๆ กรรมการผู้จัดการคิมรู้สึกถึงน้ำหนักอันหนักอึ้งของความจริง และส่ายหัวที่รู้สึกปวดตุบๆ ไปมา

พวกเขาได้รับความเห็นว่าโชคดีที่ไหล่ของอีอูยอนแค่เอ็นอักเสบนิดหน่อย หากได้หยุดพักสักระยะก็จะดีขึ้นเอง แต่ปัญหาก็คืออีอูยอนไม่สามารถหยุดพักได้

“จะทำยังไงดีล่ะ”

ชเวอินซอบกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง และอีอูยอนก็นั่งอย่างหมิ่นเหม่บนเตียงข้างๆ หัวหน้าทีมชาและกรรมการผู้จัดการคิมยังคงอยู่ในห้องฉุกเฉินโดยอ้างว่าพวกเขาเป็นผู้ดูแลของทั้งสองคนนั้น

“หมายความว่ายังไงครับที่ว่าจะทำยังไงดีน่ะ”

“หมายถึงการถ่ายละครน่ะสิ ดูเหมือนจะต้องแก้ตารางงานไปสักพักหนึ่งนะ”

“ต่อให้ถ่ายโต้รุ่งก็ยังไม่พอหรอกครับ”

“…ถ้าผมติดแผ่นแปะบรรเทาอากาศปวดกับคอยประคบไว้มันก็หายแล้วนะครับ”

“แต่ถึงยังไงนายก็เอ็นอักเสบนะ…”

“ผมจะไม่ทำอะไรเกินตัวหรอกครับ”

กรรมการผู้จัดการคิมพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรให้กับคำตอบที่เฉียบขาดของอีอูยอน ตอนนั้นเองเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น อีอูยอนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วกดรับทันทีที่เห็นชื่อของผู้โทร

เมื่อเห็นเขาทำแบบนั้น พยาบาลที่อยู่แถวๆ นั้นก็ขอร้องด้วยน้ำเสียงสุภาพให้เขาออกไปด้านนอก เพราะห้ามคุยโทรศัพท์ภายในห้องฉุกเฉิน

“ขอโทษครับ ผมขอคุยโทรศัพท์สักครู่นะครับ เพราะนี่เป็นเรื่องด่วน”

“เราห้ามใช้โทรศัพท์ในห้องฉุกเฉินค่ะ เพราะสัญญาณโทรศัพท์อาจทำให้เครื่องมือทำงานผิดปกติได้ เพราะฉะนั้น…”

อีอูยอนร้องอ๋อ และเอามือข้างหนึ่งกุมไหล่เอาไว้พลางแสร้งพิงเตียง พยาบาลเอื้อมมือมาช่วยประคองเขาโดยไม่รู้ตัว เพราะสีหน้าของเขาดูเสียใจและน่าสงสารมาก

“เป็นอะไรไหมคะ”

“ขอโทษด้วยนะครับ ไหล่ผมเจ็บน่ะ ผมฉีดยาแก้ปวดไปแล้ว แต่เหมือนยาจะยังไม่ออกฤทธิ์น่ะครับ เดี๋ยวผมขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์ก่อนนะครับ”

ทันทีที่อีอูยอนพึมพำอย่างนั้นด้วยสีหน้าหงอยๆ พยาบาลที่กอดชาร์ตผู้ป่วยอยู่ก็ครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะเริ่มกางม่านที่ติดอยู่เหนือเตียง หลังจากที่สร้างพื้นที่ส่วนตัวโดยใช้ม่านบังจนครบสี่ด้านแล้ว พยาบาลก็ทำตายิ้มพร้อมกับบอกว่า ‘ต้องรีบคุยให้เสร็จนะคะ’ ก่อนจะจากไป

กรรมการผู้จัดการคิมกับหัวหน้าทีมชามองภาพของอีอูยอนที่ยิ้มละมุนและเอาโทรศัพท์มือถือมาแนบที่หู พวกเขาเดาะลิ้นด้วยสีหน้าเหมือนกับเห็นอะไรที่ไม่ควรจะเห็น

“ขอโทษทีนะครับพอดีผมอยู่ที่โรงพยาบาล ครับ รู้แล้วเหรอครับ”

อีอูยอนที่กำลังถือโทรศัพท์มือถืออยู่ตอบเสียงเบาว่า ‘ครับ ครับ’ แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนมือที่ถือโทรศัพท์อยู่และทำหน้านิ่วคิ้มขมวดอย่างน่ากลัวทันที เพราะไม่ถูกใจกับอะไรบางอย่าง

“นั่นไม่ใช่เรื่องของผมนะครับ ครับ ช่วยจับให้ได้ภายในหนึ่งสัปดาห์ด้วยนะครับ ครับ ทราบแล้วครับ ขอบคุณครับ”

กรรมการผู้จัดการคิมเอ่ยถามทันทีที่อีอูยอนยิ้มและวางสายไป

“ใครเหรอ”

“คนรู้จักของคนที่เคยรู้จักสมัยอยู่ที่อเมริกาน่ะครับ ผมมีเรื่องรบกวนเขานิดหน่อย แต่ก็จัดการเกือบจะเรียบร้อยแล้วครับ”

“รบกวนเรื่องอะไรเหรอ แล้วจะจับอะไร”

อีอูยอนถูกทำให้นอนลงพลางตอบอย่างไม่สำคัญอะไร

“ก็ไอ้พวกชนชาติโชซอนที่พยายามจะทำให้ผมจมน้ำตายไงครับ”

“ว่าไงนะ นายตามหาคนพวกนั้นเหรอ”

อีอูยอนเอานิ้วมาแตะที่ปากพร้อมกับทำเสียงจุ๊ๆ และแสร้งทำเป็นสั่งให้อีกฝ่ายพูดเบาๆ กรรมการผู้จัดการคิมลดเสียงลงพลางถามต่ออีกครั้งด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“นายหาคนพวกนั้นเจอได้ยังไง ตำรวจยังหาไม่เจอเลยนี่”

“เพราะเป็นตำรวจเลยหาไม่เจอไงครับ ถ้าผมตัดสินใจแล้วก็หาเจอหมดนั่นแหละ เพราะตราบใดที่คนยังมีชีวิตอยู่ก็มักจะเหลือร่องรอยอยู่เรื่อยๆ แหละครับ”

“แล้วนายได้รายงานตำรวจหรือยัง”

“ทำไมต้องรายงานด้วยครับ”

อีอูยอนทำตาโตพร้อมกับทำสีหน้าเหมือนจะถามว่าคุณพูดอะไรของคุณ

“นายก็จะต้องรายงานตำรวจสิ ไม่งั้นนายพยายามจะทำอะไรล่ะ”

“ก็จะฝังมันลงดินน่ะสิครับ”

“…”

“…”

“ที่เกาหลีมีภูเขาเยอะจะตาย ถ้าดูจากตอนที่ผมไปถ่ายละครที่ต่างจังหวัด ทุกที่ที่สายตาของผมมองเห็นก็เป็นภูเขาทั้งนั้น ดูเหมือนประเทศเกาหลีจะถูกเรียกว่าประเทศที่มีทิวทัศงดงามเพราะมีภูเขาเยอะนะครับ”

“…อีอูยอน นายก็รู้ใช่ไหมว่าการฝังคนที่เนินเขาเตี้ยๆ เป็นความผิด”

“รู้สิครับ”

“…”

“…”

กรรมการผู้จัดการคิมใช้ลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากพร้อมกับเปิดปากพูดอย่างยากลำบากอีกครั้งหลังจากปล่อยให้ความเงียบแปลกๆ โรยตัวลงมา

“งั้นนายจะบอกว่านายเจอพวกชนชาติโชซอนพวกนั้นแล้ว และจะฝังพวกเขาที่เนินเขาเหรอ นายกำลังพูดอย่างนั้นใช่ไหม”

อีอูยอนตอบว่า ‘ครับ’ และยิ้มอย่างสดใสเหมือนเด็กเล็กๆ โชคดีจังที่ที่นี่เป็นห้องฉุกเฉิน ต่อให้เราล้มลงไปเต็มแรงก็น่าจะไม่ตาย กรรมการผู้จัดการคิมคิดและจับหลังคอเอาไว้

“นี่อีอูยอน นายฝังคนลงดินไม่ได้นะ”

หัวหน้าทีมชาที่ทนดูไม่ได้ช่วยพูดเสริม อีอูยอนพูดต่ออีกสองสามคำเพราะเขาคิดว่าที่ตอบไปว่ารู้แล้วคงยังไม่พอ

“การโยนคนลงไปในทะเลสาบหลังจากที่ฟาดเขาทางด้านหลังก็เป็นเรื่องที่ห้ามทำเหมือนกันนี่ครับ มันผิดกฎหมายนะ”

สีหน้าของคนทั้งสองคนที่ได้ยินคำพูดนั้นซีดลงเรื่อยๆ อีอูยอนนอนตะแคงพลางเอ่ยถามอย่างไม่สะทกสะท้าน

“อย่าบอกนะครับว่าพวกคุณเชื่อจริงๆ ว่าผมจะฝังคนที่เนินเขา”

สิ้นคำถามนั้น คนทั้งคู่กลับไม่สามารถตอบว่าไม่ออกไปได้ในทันที ไม่ว่าอีอูยอนจะยิ้มด้วยหน้าตาที่มีเมตตาขนาดไหน แต่มันกลับดูน่ารังเกียจมากอยู่ดีสำหรับคนทั้งคู่ที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย

“ผมก็ต้องพูดเล่นอยู่แล้วสิครับ พูดเล่นน่ะครับ”

แม้อีอูยอนจะพูดอย่างขี้เล่น แต่ทั้งสองคนที่เห็นภาพที่อีกฝ่ายกำลังถือขวดเหล้าเปื้อนเลือดกับตาในร้านเหล้ากลับไม่ใจกว้างพอที่จะยอมรับว่าคำพูดนั้นคือคำพูดเล่นได้

“ว่าแต่ถ้าเจอคนพวกนั้นแล้วนายจะไม่แจ้งตำรวจจริงๆ เหรอ แจ้งตำรวจไปน่าจะดีกว่านะ อย่าทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่เลย”

“ครับ ผมเข้าใจแล้วครับ”

ถึงเขาจะตอบว่าเข้าใจแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้พูดว่าตนจะทำแบบนั้น

“จะว่าไปแล้วอินซอบเนี่ยช่วยชีวิตอูยอนไว้ตั้งสามครั้งแล้วนะ นี่ ถ้าช่วยชีวิตนายไว้ได้ตั้งสามครั้งเนี่ย เราจะต้องตั้งรูปปั้นของเขาไว้หน้าบ้านแล้วหรือเปล่า รูปปั้นของชเวอินซอบผู้จัดการส่วนตัวผู้จงรักภักดีไง”

“สามครั้งเหรอครับ”

อีอูยอนเอียงคอด้วยความสงสัย ในความทรงจำของตนผู้จัดการส่วนตัวโง่เง่านั่นช่วยชีวิตเขาไว้และล้มป่วยลงแค่สองครั้งเท่านั้นเอง เขาไม่เข้าใจเลยว่าอีกหนึ่งครั้งมันเพิ่มมาจากไหน

“หลังจากที่ช่วยชีวิตนายจากทะเลสาบตอนนั้นแล้ว…อุ๊บ”

หัวหน้าทีมชาใช้มือปิดปากของกรรมการผู้จัดการคิมไว้

“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกเหรอครับ”

“ไม่มีอะไรหรอก”

แม้หัวหน้าทีมชาจะพยายามแบ่งรับแบ่งสู้ แต่อีอูยอนกลับจับกลิ่นได้ว่าคงจะมีอะไรเกิดขึ้นในระหว่างที่ตนไม่รู้แน่ๆ

“ที่ว่าไม่มีอะไรน่ะ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ คุณอินซอบช่วยชีวิตผมอีกตอนไหนเหรอ”

หัวหน้าทีมชาพูดว่า ‘ให้ตายสิ’ พลางจ้องมองกรรมการผู้จัดการคิม นี่เป็นเรื่องที่อินซอบมาหาพวกเขาหลังจากที่เกิดเรื่องนั้น และขอร้องให้พวกเขาช่วยปิดเป็นความลับกับอีอูยอน แต่กรรมการผู้จัดการคิมดันเผลอพูดออกมาเสียได้

“เขาช่วยชีวิตผมยังไงเหรอครับ”

อีอูยอนมองตรงไปที่กรรมการผู้จัดการคิมพลางเอ่ยถาม กรรมการผู้จัดการคิมเกาหัวและพูดว่า ‘ช่างแม่ง’ ก่อนจะตอบ

“ที่นายรอดมาได้ก็เพราะตอนนั้นหลังจากดึงนายขึ้นมาจากน้ำแล้ว เด็กนั่นก็ช่วยผายปอดให้นายไงล่ะ หัวใจนายหยุดเต้นไปพักหนึ่งเลย คนในหน่วยกู้ภัยบอกว่าถ้าอินซอบไม่ปฐมพยาบาลให้ก่อนอย่างถูกต้อง ต่อให้จะดึงนายขึ้นมาจากน้ำแล้ว นายอาจจะตายก็ได้”

“แบบเม้าธ์ทูเม้าธ์น่ะเหรอครับ”

“ถ้าทำที่จมูกจะเรียกว่าผายปอดระ…”

เขาได้ยินเสียงดังตึงตังจากเตียงข้างๆ และเสียงอะไรบางอย่างล้มก่อนที่กรรมการผู้จัดการคิมจะพูดจบ ทันทีที่ทั้งสามคนเบนสายตาไปทางด้านข้าง พวกเขาก็เห็นว่ามีอะไรบางอย่างกำลังขยับอย่างเชื่องช้าอยู่ใต้ม่าน

อีอูยอนแกล้งทำเป็นตกใจและเปิดม่านออกทั้งหมดพลางส่งเสียงดัง

“คุณอินซอบตื่นแล้วเหรอครับ”

“…อ๊ะ!”

ชเวอินซอบที่นอนหมอบคว่ำอยู่บนพื้นรีบเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะได้ยินบทสนทนาที่พวกเขาคุยกันหมดแล้วจากสภาพของอีกฝ่ายที่ตัวเห่อแดงตั้งแต่ต้นคอไปจนถึงใบหู อีอูยอนลงไปยืนบนพื้นและช่วยพยุงอินซอบขึ้นมาด้วยสีหน้าที่จงใจทำเป็นไม่รู้อะไรเลย

“กลิ้งตกลงมาจากเตียงเหรอครับ”

“…ครับ”

แม้จะตอบไปแล้ว แต่อินซอบก็ยังคงขยับลูกตาที่กลมโตนั่นไปมาอย่างทำตัวไม่ถูก

“ตรงที่บาดเจ็บไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมครับ ผมเป็นห่วงมากเลย”

อีอูยอนพยุงตัวของอีกฝ่ายขึ้นและช่วยให้นอนลงบนเตียงก่อนจะเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน ท่าทีของเขาเปลี่ยนแปลงไปจนยากที่จะเชื่อว่าเป็นคนคนเดียวกับผู้ชายที่พูดว่าจะฝังพวกชนชาติโชซอนพวกนั้น หรือประเทศเกาหลีเป็นประเทศที่มีทิวทัศน์งดงามเพราะมีภูเขาเยอะเมื่อสักครู่นี้

“มะ ไม่เป็นไรแล้วครับ”

อินซอบที่นอนอยู่บนเตียงเอาผ้าห่มมาห่มตัวอย่างเชื่องช้า อีอูยอนมองอีกฝ่ายที่แม้แต่มือที่กำลังจับปลายผ้าห่มอยู่ก็แดงไปด้วยพลางกลั้นหัวเราะ

“หมอบอกว่าคุณไม่เป็นอะไรนอกจากนิ้วหักครับ คุณนอนที่โรงพยาบาลสักคืนแล้วค่อยออกจากโรงพยาบาลก็ได้ถ้าคุณต้องการ”

อินซอบที่ซ่อนตัวอยู่ในผ้าห่มตอบว่า ‘ผมจะออกจากโรงพยาบาลครับ’ ด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเบา

“ค่อยไปตอนน้ำเกลือหมดก็ได้ครับ รบกวนคุณหัวหน้าทีมช่วยไปจ่ายเงินค่ารักษาให้ทีนะครับ”

หัวหน้าทีมชาเหลือบมองอินซอบครั้งหนึ่งก่อนจะลุกขึ้น แม้แต่จะถามอินซอบที่ไม่รู้ทำไมถึงต้องมาได้สติตอนที่พวกเขากำลังคุยเรื่องนั้นกันอยู่ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า เขาก็ยังไม่สามารถทำได้

อีอูยอนยืนอยู่ข้างเตียงที่อินซอบนอนอยู่และพูดอย่างอ่อนโยน

“คุณอินซอบไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนนอกจากนิ้วใช่ไหมครับ”

“ผมไม่เป็นไรคะ…ครับ”

อีกฝ่ายดูน่าสงสารเพราะตัวสั่นงกๆ อยู่ใต้ผ้าห่ม อีอูยอนใช้มือจับผ้าห่มและเปิดมันออก

“ไม่เป็นไรจริงๆ เหรอครับ”

ทันทีที่เครื่องป้องกันที่ทำด้วยผ้าห่มหายไป อินซอบก็ถลึงตาและทำหน้าตกใจ อีอูยอมเอื้อมมือออกไปแตะหน้าผากของอินซอบ

“มีไข้นิดหน่อยนะครับ อยู่ที่โรงพยาบาลต่ออีกสองสามวันดีไหมครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็มีห้องพักฟื้นแล้วครับ”

“ไม่ครับ ไม่เป็นไรครับ ผมจะออกจากโรงพยาบาลครับ”

อินซอบมองน้ำเกลือที่เหลืออยู่ไม่มากเท่าไรอย่างวุ่นวายใจและกระสับกระส่าย ใจเขาอยากจะดึงสายน้ำเกลือและอะไรต่อมิอะไรออกแล้ววิ่งออกไปทั้งๆ แบบนี้เลย

“จ่ายเงินเสร็จแล้ว ถ้าน้ำเกลือหมดก็กลับได้แล้วล่ะ”

หัวหน้าทีมชาโบกใบเสร็จในขณะที่เดินเข้ามา สายตาของผู้ชายทั้งสี่คนจ้องไปที่ขวดน้ำเกลือกันเป็นตาเดียว อีอูยอนกอดอกและมองภาพที่น้ำเกลือค่อยๆ หยดลงมาอย่างพอใจในขณะที่รอ หัวหน้าทีมชาและกรรมการผู้จัดการคิมทำหน้าเสียใจ และอินซอบก็ขบริมฝีปากด้วยสีหน้าเหมือนกับนักโทษประหารที่รอการตัดสินประหารชีวิต

ในที่สุดน้ำเกลือหยดสุดท้ายก็ไหลลงมาตามสายยาง อีอูยอนยกมือเรียกพยาบาลขอให้เธอมาทางนี้

“งั้นตอนนี้เราก็ไปกันเถอะครับ”

ชเวอินซอบคิดว่าไม่รู้ทำไมคำพูดนั้นถึงทำให้เขารู้สึกกังวลอย่างนี้พร้อมกับหลับตาลง

***

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท