“ว่าแต่ฉากขี่ม้านั่นจะถ่ายกันยังไงเหรอ จะถ่ายใหม่หรือเปล่า แล้วมีเวลาถ่ายใหม่เหรอ”
“เห็นว่าจะตัดต่อก่อนออกอากาศนะครับ เพราะผมต้องล้มลงไปอยู่แล้ว ผมก็ว่าแบบนั้นกลับทำให้มันดีกว่าเดิมอีกครับเพราะสมจริงด้วย”
อีอูยอนพลิกบทพลางตอบอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญ หลังจากนั้นเขาก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้กำกับว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ต้องการุณยฆาตม้าที่อีอูยอนขี่ เพราะขาหัก และอีอูยอนก็ต้องทรมานกับการที่ต้องกลืนคำพูดว่า ‘ดีเลยครับ’ กลับลงไปในคอตอนที่ได้ยินเรื่องนั้น และตอบอย่างเหมาะสมว่า ‘น่าสงสารมากเลยนะครับ’ ผู้กำกับได้ยินดังนั้นก็บอกว่าเหมือนอาการของม้าจะไม่ปกติตั้งแต่แรกแล้วพร้อมกับกล่าวขอโทษเขา
ตอนนั้นอีอูยอนเอามือปิดไมค์โทรศัพท์ไว้พักหนึ่ง และลองถามกรรมการผู้จัดการคิมว่า ‘เราฟ้องคนที่ดูแลเรื่องนั้นกันดีไหมครับ’ พร้อมกับยิ้มไปด้วย กรรมการผู้จัดการคิมเกลี้ยกล่อมเขาอย่างยากลำบากให้ปล่อยมันไป เพราะถ้าหากทำแบบนั้น คนที่ภาพลักษณ์จะแย่ลงก็คือตัวของอีอูยอนเอง แม้จะวางสายไปแล้ว แต่อีอูยอนก็ยังบอกว่า ‘ฟ้องร้องก็ดีนะครับ’ และทำให้กรรมการผู้จัดการคิมเดือดดาล
การกินเลี้ยงในวันนี้ผู้กำกับจัดขึ้นเพื่ออีอูยอน นั่นหมายความว่าการกินเลี้ยงในครั้งนี้มีขึ้นเพื่อขอโทษอีอูยอนที่บาดเจ็บ และให้พวกเขามารวมตัวและสร้างกำลังใจให้กัน เพราะอีกไม่นานก็จะถึงวันที่ละครต้องออกกาศแล้ว อีอูยอนตัดสายโทรศัพท์ที่โทรมาเชิญเขาพร้อมกับพึมพำขึ้นมาว่า ‘ถ้าเป็นคนที่รู้สึกขอโทษจริงๆ ก็น่าจะให้เวลาพักกันสิ แต่นี่ดูเหมือนผู้กำกับจะไม่มีหัวคิดจริงๆ’
กรรมการผู้จัดการคิมเหงื่อตก และรู้สึกว่าความถี่ที่อีอูยอนแสดงนิสัยที่เน่าเฟะของตัวเองออกมาอย่างหน้าตาเฉยนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขาสารภาพกับหัวหน้าทีมชาในวงเหล้าว่าพอคิดถึงอีอูยอนในช่วงนี้ เขารู้สึกเหมือนปีนภูเขาไฟที่ยังไม่ดับและมีลาวากำลังไหลลงมา
“แล้วม้านั่นเป็นอะไรไหมครับ”
ชเวอินซอบที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ถามอย่างระมัดระวัง ตอนที่อีอูยอนล้มหน้าคว่ำตกลงมาด้านข้างในขณะที่สายบังเหียนขาด ม้าก็เสียการทรงตัวและกลิ้งลงไปบนพื้นเหมือนกัน ภาพเหล่านั้นยังติดอยู่ในใจของอินซอบ
หัวหน้าทีมชาตอบคำถามของอินซอบด้วยคำถามว่า ‘นายไม่รู้เหรอ’
“รู้อะไรครับ”
“ตายแล้วครับ”
อินซอบรู้สึกงงว่าอีกฝ่ายเลือกใช้คำผิดหรือเปล่าไปพักหนึ่ง เพราะอีอูยอนที่นั่งอยู่ด้านหลังพูดด้วยน้ำเสียงที่เบามากๆ
“ตายแล้วเหรอครับ”
“คือมันขาหักน่ะ ปกติเขาก็การุณยฆาตม้าที่ข้าหักกันอยู่แล้ว”
“ว่าไงนะครับ มีแบบนั้นที่ไหนกันครับ! รักษามันก็ได้นี่ ใส่เฝือกให้มันก็ได้ไม่ใช่เหรอครับ”
อินซอบตะโกนอย่างโมโห
เขาไม่เชื่อในความจริงที่ว่าม้าที่ชื่อเจนนี่ที่ช่วยตบบ่าเขาและบอกให้เขาสู้ๆ จะตายอย่างไร้ค่าขนาดนั้น เขาไม่อยากจะเชื่อเลย
“ม้าน่ะ ถ้าบาดเจ็บที่ขาก็จบแล้ว เพราะมันไม่สามารถนอนเหมือนคนได้ ถ้ามันติดโรคซ้ำอีกในระหว่างที่นอน ร่างกายของมันก็จะยิ่งเจ็บปวดกว่าเดิมนะ”
“แล้วทำการุณยฆาตมันได้ยังไงครับ”
น้ำเสียงของเขาเหมือนจะร้องไห้ อินซอบเอี้ยวตัวมาด้านข้าง และตะโกนจนเส้นเลือดที่คอขึ้น
“ทำแบบนั้นได้ยังไงครับ บอกผมทีว่ามันทำอะไรผิด มันแค่ล้มเองนะครับ มันก็ทำพลาดได้นี่ครับ คนยังทำพลาดได้เลย แล้วทำไม…”
“เพราะทำแบบนั้นมันดีกว่าครับ”
อีอูยอนพูดตัดบทอินซอบ
“ผมไม่รู้หรอกนะครับว่ามันจะดีกว่าหรือไม่ แต่ถ้าคอยดูแลมัน มันก็อาจจะรอดก็ได้นี่ครับ!”
อินซอบโมโหถึงขนาดจะบอกว่าตนจะดูแลมันเอง ถ้าม้าตัวนั้นอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ อีอูยอนเอื้อมมือมาตีแก้มของอินซอบที่เป็นแบบนั้นจากทางด้านหลัง อินซอบหน้าแข็งซีดด้วยความตกใจ เพราะสัมผัสของปลายนิ้วเย็นๆ
“ยอมรับว่าเราทำอะไรไม่ได้จะดีกว่านะครับ”
“…”
“เราทำอะไรไม่ได้แล้วครับ เพราะเรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาที่เรามีอำนาจตัดสินใจหรือเลือกอะไรได้”
เขาสัมผัสความรู้สึกในน้ำเสียงของอีอูยอนที่พูดต่ออย่างใจเย็นไม่ได้เลย มันไม่ใช่น้ำเสียงที่เสียดแทงจิตใจคนอื่นพร้อมรอยยิ้มพราย หรือน้ำเสียงที่แสร้งทำเป็นมีมารยาท หรืออ่อนโยนเหมือนในยามปกติ
เอาแล้ว หัวหน้าทีมชาคิดก่อนจะเหลือบมองอีอูยอนผ่านกระจกมองหลัง ทันทีที่สบตากันในกระจก อีอูยอนก็ขยิบตาให้อย่างขี้เล่น
…ฉันเกลียดเจ้านั่นจริงๆ
หัวหน้าทีมชารู้สึกขนลุกเหมือนกับเห็นสิ่งที่ไม่ควรจะเห็นก่อนจะขับรถต่อไป
“งั้นวันนี้ก็คงจะดื่มกันจนดึกเลยสินะครับ ให้ผมรออยู่แถวๆ นี้ดีไหมครับ”
หัวหน้าทีมชารู้ว่าอินซอบจิตใจห่อเหี่ยวเพราะเรื่องม้า เขาจึงจงใจถามด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“หัวหน้าทีมกลับบ้านไปเลยก็ได้ครับ เดี๋ยวผมขับรถเอง”
อินซอบไม่รู้สึกอยากดื่มเหล้า
“เฮ้ย ยังเกินตัวไปน่า วันนี้คุณอินซอบเองก็ดื่มให้อารมณ์ดีขึ้นหน่อยสิ ถ้าดูจากการที่ผู้กำกับบอกให้พาคุณอินซอบมาด้วย ก็ดูเหมือนเขาอยากจะเลี้ยงเหล้าคุณมากอยู่นะ ฉันเองก็อยากกินเหล้าฟรีเหมือนกัน”
หัวหน้าทีมชากลืนน้ำลายทันทีที่นึกถึงเหล้าฟรี
“ไปแทนผมสิครับ ผมจะรออยู่ที่รถเอง”
เมื่อได้ยินอินซอบพูดอย่างจริงจัง หัวหน้าทีมชาก็บอกไม่เอาน่าก่อนจะส่ายหน้า แม้จะเป็นเรื่องโกหกถ้าจะบอกว่าข้อเสนอของอินซอบไม่น่าดึงดูด แต่เขาก็ไม่ไร้เดียงสาพอที่จะแยกแยะไม่ได้ว่ามันเกี่ยว หรือไม่เกี่ยวกับตัวเอง
เหตุผลที่ชเวอินซอบซึ่งเป็นแค่ผู้จัดการส่วนตัวได้รับเชิญมาที่นี่ในวันนี้ เพราะเขาถูกลากเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ในวันนั้นจนนิ้วหัก เห็นได้ชัดเลยว่าบางทีในงานวันนี้อาจจะมีแค่คนสำคัญไม่กี่คนเท่านั้นท่ามกลางบรรดานักแสดงและสตาฟที่ได้รับเชิญ
“เอาน่า ยังไงซะก็น่าจะมีแต่พวกนักแสดงที่สูงส่งยืนเรียงกันอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็คือผู้กำกับเรียกนายมานะ นายก็ต้อง…”
หัวหน้าทีมชาที่กำลังพูดอยู่ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของตนเองดัง เขาพยักพเยิดหน้าให้อินซอบ
“ช่วยดูโทรศัพท์ของฉันที่อยู่ข้างๆ นั้นให้หน่อย คนที่จะโทรศัพท์มาในเวลานี้ก็มีแต่กรรมการผู้จัดการคิมเท่านั้นแหละ”
“ลูกสาวของปีศาจนี่ใครเหรอครับ”
“ว่าไงนะ”
หัวหน้าทีมชาเกือบจะจอดรถกลางถนนแล้ว เขากลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอก่อนจะโบกไม้โบกมือให้อินซอบ
“อย่ากดรับ ห้ามกดรับนะ นั่นเมียเก่าฉันเอง”
“ครับ?”
“ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ซะ”
อินซอบจำเรื่องที่ได้ยินพวกเขาคุยกันก่อนหน้านี้ได้ว่าภรรยาคนเก่าที่หย่ากันไปแล้วของหัวหน้าทีมชา ก็คือภรรยาคนเก่าของกรรมการผู้จัดการคิม แต่ยังจัดการกันไม่ชัดเจนอีกเหรอ
อินซอบถือโทรศัพท์มือถือไว้และมองไปรอบๆ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี อีอูยอนเอื้อมมือไปแย่งโทรศัพท์มือถือนั้นมา
“ผมจะวางไว้ข้างหลังนะครับ อ้าว ขอโทษทีครับ ดันเผลอกดรับไปซะแล้ว”
ใครๆ ก็รู้ว่าเขาเจตนากดผิด เสียงที่ดุร้ายของผู้หญิงที่พูดว่า ‘ฮัลโหล’ จากปลายสายดังขึ้นในรถ หัวหน้าทีมชารับโทรศัพท์มาถือไว้อย่างกล้ำกลืนฝืนทน
“ฮัลโหล เออ…เออ…ฉันก็ทำงานอยู่น่ะสิ ว่าไงนะ เปล่า ฉันทำไมนะ ทำไมฉันจะต้องไปทำแบบนั้นที่นั่นด้วยล่ะ ว่าไงนะ นี่ว่าอะไรนะ”
เสียงที่ใช้คุยโทรศัพท์ค่อยๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้หัวหน้าทีมชาจะตะโกนว่า ‘ฉันจะไปที่นั่นทำไม’ อีกสองสามครั้ง แต่ก็ดูเหมือนจะเปล่าประโยชน์ หลังจากวางสาย ความกังวลทั้งหมดบนโลกก็ถูกวางลงบนหว่างคิ้วของเขา
“มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
ชเวอินซอบเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง หัวหน้าทีมชาได้ยินดังนั้นก็พึมพำด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
“…นายห้ามหย่านะ ไม่สิ อย่าแต่งงานเชียวนะ อยู่คนเดียวพอ เพราะนั่นน่ะโชคดีที่สุดแล้ว”
หัวหน้าทีมชาที่พูดถึงตรงนั้นบอกว่า ‘ขอโทษนะ’ ก่อนจะพูดต่อ
“ตอนจะกลับให้เรียกคนมาขับรถแทนนะ เพราะวันนี้ฉันมีที่ที่จะต้องไป อีอูยอนทนหน่อยนะวันนี้”
หัวหน้าทีมชาส่งสายตาให้อีอูยอนที่นั่งอยู่ด้านหลัง อีอูยอนจึงใช้มือส่งสัญญาณว่า OK กลับมา หัวหน้าทีมชาจอดรถไว้ที่ลานจอดรถของร้านเหล้าย่านนนฮยอนที่จองไว้ในวันนี้ เขายื่นกุญแจรถให้อินซอบ
“ถ้าไม่อยากเรียกคนขับรถแทนก็นั่งแท็กซี่กลับนะ เข้าใจไหม”
“ครับ ขอบคุณที่มาส่งนะครับ”
อินซอบขอบคุณหัวหน้าทีมชา อีอูยอนพยักหน้าให้จากทางด้านหลังพร้อมกับบอกลา แน่นอนว่าหัวหน้าทีมชาเห็นรอยยิ้มเยาะปรากฏในดวงตาของอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง
ไอ้คนเฮงซวย
พอชเวอินซอบหายเข้าไปในตัวตึก หัวหน้าทีมชาก็จับไหล่ของอีอูยอนเงียบๆ
“ทำไมถึงทำแบบนั้น”
“พูดถึงอะไรครับ”
“โทรศัพท์ไง”
อีอูยอนร้องอ๋อพลางทำตายิ้ม นั่นเป็นใบหน้าที่งดงามจนเขาต้องอุทานออกมาว่าไอ้หมอนี่หล่อชะมัดออกมาโดยอัตโนมัติอย่างแน่นอนถ้าหากไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย
“เพราะผมไม่ชอบเพลงแดนซ์ครับ”
“ว่าไงนะ”
“ลาก่อนครับ”
อีอูยอนกล่าวลาหัวหน้าทีมชาที่มึนงงก่อนจะเดินตรงไปยังทางเข้าตึก หัวหน้าทีมชาที่เหลืออยู่คนเดียวยืนพูดอะไรไม่ออกเพราะความมึนงงก่อนจะถอนหายใจเหมือนไม่ได้ถอนหายใจออกมาว่า ‘ให้ตาย’ เขาตัดสินใจแล้วว่าตนจะต้องเตือนอินซอบให้คิดให้ดีอีกครั้งก่อนจะเซ็นสัญญา
***
ทันทีที่เข้ามาในร้านชเวอินซอบก็คิดว่าจำเป็นต้องใช้เงินทั้งหมดเท่าไรกันแน่ในการเช่าสถานที่นี้ทั้งหมด เขามองไปรอบๆ ด้วยใบหน้าตกตะลึง แสงไฟที่สมบูรณ์แบบและการตกแต่งภายในที่ใช้สีดำเป็นพื้นและเน้นจุดสำคัญด้วยการแซมสีน้ำเงินเอาไว้บ้างให้ความรู้สึกทันสมัย แค่บรรยากาศอย่างเดียวก็เหนือชั้นแล้ว อินซอบคิดว่าเขาไม่ควรจะมาที่นี่หรือเปล่า
“เชิญครับ พวกเขารออยู่ด้านในแล้วครับ”
พนักงานต้อนรับพาพวกเขาเข้าไปในร้าน
“มาแล้วเหรอคะ”
“ไม่เป็นไรแล้วเหรอคะ”
คนที่มาถึงก่อนต้อนรับคนทั้งคู่ด้วยความยินดีก่อนจะพูดคุยด้วย
“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ แต่ผมไม่เป็นไรแล้วครับ”
อินซอบตอบอย่างมีมารยาทก่อนจะนั่งลงตรงที่นั่งที่อยู่ในมุมสุดทางฝั่งประตู แม้หลายๆ คนจะโบกมือชวนให้เขาเข้าไปข้างใน แต่เขาก็ส่ายหน้าและบอกว่าไม่เป็นไร คนที่มาที่นี่ส่วนใหญ่เป็นนักแสดงอย่างที่หัวหน้าทีมชาพูด และก็มีพวกสตาฟ เช่น ผู้กำกับกล้อง ผู้กำกับแสง ผู้กำกับการแสดง และผู้กำกับฉากแอคชั่นรวมอยู่บ้าง อินซอบรู้ได้ทันทีเลยว่าการที่ตนได้มาที่นี่ในวันนี้เป็นการขอโทษเกี่ยวกับนิ้วที่หักของเขา
…การนิ้วหักเนี่ยมันสำคัญมากเลยเหรอ ม้าที่ล้มด้วยกันตอนนั้นก็ขาหักเหมือนกัน แต่อย่าว่าแต่จะได้รับคำขอโทษเลย มันกลับถูกการุณยฆาตด้วยซ้ำ
ชเวอินซอบนั่งคอตกอยู่คนเดียวอย่างเศร้าสร้อย สัญญาณที่บอกให้รู้ว่ามีใครบางคนกำลังนั่งลงข้างๆ ทำให้อินซอบเอาแต่มองแก้วน้ำเงียบๆ
“เจ็บมือเหรอครับ”
“…?”
“ผมพากลับบ้านไหมครับ”
เป็นอีอูยอนนั่นเอง อินซอบไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมานั่งที่ประตูไม่ใช่พื้นที่ด้านใน อีอูยอนไม่ต่างอะไรกับพระเอกในงานวันนี้
“เอ๋…ทำไม…”
อินซอบไม่สามารถถามออกมาเป็นคำพูดได้ เพราะเขาสงสัยทั้งหมด คนที่นั่งอยู่ด้านในห้องกำลังมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าสงสัย
“จะได้ไปห้องน้ำได้สะดวกไงครับ”
“…”
“ทำไมเหรอครับ นั่งตรงไหนก็ได้นี่นา จะสนใจอะไรล่ะครับ”
แม้คนส่วนใหญ่จะประทับใจในจิตใจของอีอูยอนที่ไม่เหมือนกับเป็นพวกดาราดังในแวดวงนี้ แต่อินซอบกลับไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ไม่รู้ทำไมหลังจากวันนั้นเขาถึงคิดว่าอีอูยอนจงใจทำแบบนี้หรือเปล่าทุกครั้งที่อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ๆ ตนเองด้วยวิธีแบบนี้
อันที่จริงแล้วอินซอบทรมาน ขนทั้งตัวของเขาลุกชันทุกครั้งที่แขนของอีอูยอนเฉียดโดนตัวเขา และทุกครั้งที่อีกฝ่ายก้มตัวมากระซิบที่ข้างหูของเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา