“งั้นพี่อูยอนก็เรียนอยู่ที่อเมริกาแล้วมาที่เกาหลีเหรอคะ”
“ครับ จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ”
“ทำไมถึงมาเกาหลีล่ะคะ”
อีอูยอนเอาแก้วเหล้าแตะปากและยิ้มโดยไม่พูดอะไร
พ่อที่ไม่กล้าปล่อยลูกชายเอาไว้ที่โรงพยาบาลจิตเวช เพราะหน้าตาและสถานะทางสังคมขอร้องให้ญาติห่างๆ ของแม่ส่งเขามาที่เกาหลีภายใต้ข้ออ้างที่บอกว่าเป็นการพักฟื้น พ่อบอกกับเขาว่าคนอย่างแกลองใช้ชีวิตลำบากๆ ดูบ้าง จะได้ตั้งสติได้
อีอูยอนที่เคยใช้ชีวิตราวกับถูกกักขังที่หุบเขาซึ่งห่างไกลจากตัวเมืองจนนึกตื่นเต้นว่าไฟฟ้าเข้าถึงที่นี่ได้อย่างไรต่อยผู้ดูแลซึ่งทำหน้าที่เฝ้าบ้านพักตากอากาศบนภูเขาจนล้มหวังจะให้อีกฝ่ายลองตั้งสติดูบ้าง และมาที่โซล จากนั้นก็ไปยังบริษัทบันเทิงที่มองเห็นทันที และถามว่าช่วยทำให้เขาเป็นนักแสดงได้ไหม
นั่นเป็นเรื่องที่ยังไม่มีใครรู้ที่ทำให้อีอูยอนมาอยู่ตรงนี้ได้ในวันนี้ แต่ก็เป็นความลับที่เฮงซวยเช่นกัน
“ในข่าวลือที่บอกว่าพี่มาที่เกาหลี เพราะถูกที่บ้านซึ่งเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงมากต่อต้านเรื่องการแสดงนี่จริงไหมคะ”
ที่ถูกต้องคือมันเป็นเรื่องที่เหี้ยมากๆ พี่ต้องถูกคนไล่ออกมาเพราะเป็นบ้า หรือไม่ก็ทำอะไรบ้าๆ ลงไปจนเกือบต้องเข้าคุก แล้วที่ต้องถูกจับยัดให้ไปอยู่ในโรงพยาบาลบ้าที่มีชื่อแสนดูดีว่าสถานพักฟื้น ไม่ใช่คุกก็เพราะเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงอย่างที่เธอว่านั่นแหละ อีอูยอนยิ้มละมุนพลางเก็บคำพูดที่อยู่ในใจเอาไว้ในปาก
เรื่องวันนั้นเป็นอุบัติเหตุ เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เพราะเขาเผลอแสดงตัวตนที่แท้จริงที่เขาข่มเอาไว้ออกมา มันเริ่มตั้งแต่ที่นักกีฬาฝ่ายตรงข้ามล้อว่าเขาเป็นลิงและโบกกล้วยใส่เขาก่อนการแข่งขัน เขาจึงจงใจใช้เท้าเตะหน้าแข้งนักกีฬาฝ่ายตรงข้ามอย่างแรงในระหว่างการแข่งขัน และการแข่งขันในวันที่เขาอารมณ์ไม่ดีเป็นพิเศษไม่ได้ช่วยผ่อนคลายจิตใจของเขา แต่กลับยิ่งจุดไฟให้ลุกโชนยิ่งขึ้นแทน
เขาที่ไปที่ห้องล็อกเกอร์ของทีมคู่แข่งหลังแข่งขันเสร็จ และเหยียบนักกีฬาคนนั้นช้าๆ จนกว่ามันจะตาย ถ้าได้ยินแบบนี้คงคิดว่ามันเป็นการทะเลาะกันของคนรุ่นเดียวกัน แต่ถ้าหากมองลึกลงไป มันช่างน่ากลัวถึงขนาดที่ทำให้ขนลุกไปทั้งตัว
นักกีฬาของทีมคู่ต่อสู้ที่ยั่วโมโหเขาบาดเจ็บจนไม่สามารถใช้มือข้างหนึ่งได้โดยสิ้นเชิง รวมถึงกระจกตาที่เกือบจะหลุด เขาจึงสูญเสียการมองเห็นไปในที่สุด มันเป็นสถานการณ์ที่น่าสยดสยองถึงขนาดที่ว่าการมีชีวิตอยู่ก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว นอกจากนั้นแล้วนักกีฬาทีมคู่แข่ง และนักกีฬาทีมเดียวกันที่เข้ามาห้ามก็บาดเจ็บไปตามๆ กัน เรื่องราวใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ เพราะในบรรดานักกีฬาพวกนั้นมีนักเรียนหลายคนที่บาดเจ็บจนไม่สามารถใช้ชีวิตเป็นนักกีฬาได้อีกต่อไป คนอื่นบอกว่าเขาต้องเข้าคุก แต่เขาถูกกลับปล่อยออกมาด้วยการเป็นคนที่มีร่างกายและจิตใจที่อ่อนแอ ตอนนั้นอีอูยอนไม่สามารถห้ามความประทับใจที่มีต่อความจริงที่ว่าเงินสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้จริงๆ แม้สุดท้ายเงินจะแก้อาการป่วยของเขาไม่ได้ก็ตาม
หลังจากได้รับการตรวจหลายๆ อย่าง เขาก็ได้รับการวินิจฉัยว่าจะต้องมีชีวิตอยู่โดยแยกตัวออกจากคนอื่นไปชั่วชีวิต อีอูยอนนึกถึงใบหน้าของแม่ขึ้นมาเงียบ ตอนนั้นแม่ฟังคำอธิบายของหมอที่บอกว่าเราไม่สามารถแก้ไขนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดได้อย่างนิ่งๆ
เขาอ่านความรู้สึกที่หลากหลายอย่างจากดวงตาของแม่จนเป็นนิสัย
ความอับอายขายหน้า ความโกรธ ความหวาดกลัว ความโศกเศร้า และความสิ้นหวัง
คนเป็นแม่จับมือทั้งสองข้างของลูกชาย และถามให้แน่ชัดอยู่สองสามครั้งว่า ลูกไม่รู้สึกเศร้าจริงๆ เหรอเวลาที่ทำให้คนเจ็บ ลูกไม่รู้จริงๆ เหรอว่าทำไมเราถึงฆ่าสิ่งมีชีวิตที่ยังมีฃีวิตอยู่ไม่ได้ และลูกไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมเราถึงห้ามทำให้คนอื่นบาดเจ็บได้ด้วยใจจริงๆ เหรอ ในตอนนั้นเขาก็เลิกพยายามทำตัวเป็นคนจิตใจดี เขายิ้มและพูดความคิดข้างในจิตใจออกมาอย่างซื่อสัตย์
“ไม่เศร้าเลยครับ อันที่จริงผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความเศร้าคืออะไร เหตุผลที่ห้ามฆ่าเหรอครับ ก็มันน่ารำคาญนี่ครับ ถึงมันจะตายหรือไม่ ผมก็ไม่สนใจหรอก ฮ่าๆๆ ถ้าทำให้บาดเจ็บสักหน่อยจะเป็นอะไรไปครับ ตอนที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกันนี่นา มันก็คล้ายกันแหละครับ ครับ และนี่คือความในใจของผมครับ แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะครับ มันดันติดตัวมาตั้งแต่เกิดแบบนี้นี่ มายอมรับกันเถอะครับว่ามันทำอะไรไม่ได้แล้ว”
แม่ปล่อยมือของลูกชายที่ฉีกยิ้มอย่างงดงามในขณะที่พูดเหมือนสะบัดสิ่งที่ชั่วร้ายทิ้ง วันนั้นแม่เข้าเยี่ยมเขาเสร็จกลับไปที่บ้านและตั้งใจจะฆ่าตัวตาย เพราะแม่ไม่สามารถรับความจริงที่ว่าลูกชายไม่ใช่ผู้ป่วยที่เจ็บป่วยตรงไหน แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว และแม่ก็ไม่สามารถรับความจริงที่ว่าพระเจ้าที่เธอรักถึงขนาดนั้นให้ของขวัญเธอเป็นสัตว์ประหลาดแบบนั้นได้
แน่นอนว่าโชว์นั้นจบลงในเวลาไม่นาน เพราะแม่ของเขากรีดข้อมือตื้นมากๆ ในอ่างอาบน้ำภายในบ้านที่เต็มไปด้วยคนใช้ แต่สำหรับพ่อของเขาโชว์สั้นๆ นั้นเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่มาก เขาไม่แสดงปฏิกิริยาที่ยิ่งใหญ่อะไรเลยในตอนที่พ่อที่ซีดเซียวอยู่สองสามวันหยุดนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะพูดเรื่องนั้นออกมา
เขาไม่กังวลอะไรเพราะคิดว่าถ้าอยากจะตายจริงๆ ก็คงไม่เลือกวิธีแบบนั้น เขาแค่หยุดคิดไปพักหนึ่งและตอบพ่อไปว่า ‘งั้นแม่คงจะตีเทนนิสลำบากไปสักพักเลยนะครับ’
เมื่อได้ยินดังนั้น พ่อก็ดีดตัวลุกขึ้นยืนและเดินออกไป นั่นเป็นครั้งสุดท้าย เพราะหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถูกไล่ให้มาที่เกาหลี
“จริงเหรอคะ พี่มาที่เกาหลีเพื่อที่จะได้เล่นละครเหรอคะ”
“…”
เธอกะพริบตาที่ปัดมาสคาร่าไว้หนาเตอะและพูดเสียงดัง เพราะเธอคิดว่าการนิ่งเงียบของอีอูยอนคือการยอมรับ
“ดูเหมือนข่าวลือนั้นจะถูกนะเนี่ย เท่สุดๆ ไปเลย”
นักแสดงหญิงที่นั่งข้างๆ อีอูยอนเป็นหนึ่งในสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ปที่ได้ชื่อว่าเอาไว้เสียบในละครด้วยบทตัวประกอบจากต้นสังกัด ไม่มีใครคิดที่จะห้ามหญิงสาวที่ถามนั่นถามนี่กับอีอูยอนอย่างไม่สังเกตอะไรเลยสักคน เพราะถึงแม้พวกเขาจะคิดว่ามันไม่มีมารยาท แต่ความจริงแล้วพวกเขาก็สงสัยเกี่ยวกับอดีตของอีอูยอนเหมือนกันหมด
“มีข่าวลือแบบนั้นด้วยเหรอครับ”
อีอูยอนยิ้มเหมือนกับประหลาดใจพลางถามกลับ
“ใช่สิคะ ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ ยังมีเรื่องอื่นอีกด้วย เช่นอะไรน้า อ๋อ ใช่แล้ว เขาบอกว่าครอบครัวของพี่อูยอนเป็นตระกูลขุนนางอะไรสักอย่างที่แหละค่ะ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องโกหกใช่ไหมคะ ที่อเมริกามีพวกขุนนางซะทีไหน”
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือปู่ของเขามีเชื้อสายขุนนางจากอังกฤษ แต่อีอูยอนกลับไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวอะไรกับเขา เพราะเขาเป็นลูกที่แม่แต่งงานใหม่และพามาด้วย อีอูยอนยิ้มพลางตอบรับไปอย่างลวกๆ ว่า ‘นั่นสินะครับ’
“พี่อูยอนไม่มีแฟนเหรอคะ”
เธอแอบสังเกตท่าทีของคนรอบข้างก่อนจะจับแขนของเขาไว้ในขณะที่ถามอย่างน่ารัก อีอูยอนรู้ว่าเด็กสาวคนนี้มีเล่ห์เหลี่ยม เขาจึงดึงมือออกและแกล้งทำเป็นเช็กโทรศัพท์
มีข้อความหนึ่งข้อความถูกส่งเข้ามา และผู้ส่งก็คือผู้จัดการส่วนตัวของเขานั่นเอง อีอูยอนคิดอยู่พอดีเลยว่าจะลองออกไปดูดีไหม เพราะอินซอบที่ไปห้องน้ำไม่ยอมกลับมาเสียที
รอยยิ้มหายไปจากปากของอีอูยอนที่เช็กข้อความ
“อ๊ะ พี่อูยอน จะไปไหนเหรอคะ”
“ขอตัวออกไปสักครู่นะครับ”
อีอูยอนขออนุญาตคนรอบข้างอย่างสุภาพก่อนจะลุกออกไป
***
อินซอบล้างหน้าก่อนจะมองหน้าตัวเองในห้องน้ำด้วยความตื่นตระหนก ปากของเขาแตก และแก้มบวมแดง ไม่ว่าจะมองอย่างไรนี่ก็เป็นการป่าวประกาศให้คนรู้ว่าตัวเองถูกคนต่อยมาในระหว่างที่เดินไปไหนมาไหน
เขาส่งข้อความไปบอกอีอูยอนว่าตนจะไปรอในรถ เพราะดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถกลับเข้าไปได้อีกแล้ว เขาเปิดเพลงฟังในรถ และปรับเบาะเอนไปด้านหลังเพื่อนอน
เมื่อนึกถึงเจนนี่ทั้งสองที่ไม่ได้อยู่ในโลกแล้ว น้ำตาของเขาก็ไหลออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ เขาปกป้องใครไว้ไม่ได้สักคน เราช่วยอะไรไม่ได้เลยสินะ เขาอยากจะวิ่งเข้าไปตะโกนที่วงเหล้าเดี๋ยวนี้เลยว่า ‘คังยองโมเป็นคนสั่งให้ผู้จัดการส่วนตัวเองเอายาให้ม้ากินครับ!’ ‘บางทีเขาอาจจะเป็นตัดสายบังเหียนด้วยก็ได้นะครับ!’ ‘เขาเป็นคนเลวครับ! เป็นคนเลว!’
แต่เขาไม่มีหลักฐานอะไรเลย เขารู้สึกเจ็บใจในระยะเวลาสั้นๆ ว่าโลกนี้มันเป็นยังไงกันแน่
ถ้าอินซอบบอกว่าเขาโดนคังยองโมต่อย ความสัมพันธ์ของอีอูยอนกับอีกฝ่ายก็น่าจะอึดอัดขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ และอาจจะเกิดความผิดพลาดขึ้นในการถ่ายทำก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นอินซอบก็จะถูกไล่ออกไปด้วย
การโดนไล่ออกไม่ได้ทำให้เขารู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรม เขาก็แค่เกลียดความไร้ความสามารถของตัวเองที่สุดท้ายก็ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ และทำได้แค่ยอมแพ้ สิ่งที่ผู้ชายที่โตแล้วทำได้มากที่สุดคือการเก็บตัวอยู่ในรถและบีบน้ำตาน่ะเหรอ
กลับไปดีไหมนะ เรากลับอเมริกาไปเลยดีไหม แต่เราจะทิ้งทุกอย่างกลับอเมริกาและใช้ชีวิตด้วยการเฝ้าหลุมศพของเจนนี่เป็นการไถ่บาปไปชั่วชีวิตไม่ได้หรือเปล่า
“เจนนี่…”
อินซอบเรียกชื่อที่ไม่มีทางตอบกลับมาพลางหลับตาลง
“เจนนี่ เจนนี่ เจนนี่ เจนนี่ เจนนี่…คิดถึงจัง เพื่อนเพียงคนเดียวของฉัน”
ตอนนั้นเองใครบางคนก็กระจกรถ อินซอบตกใจและลุกขึ้นพร้อมกับลดกระจกลง
“เดี๋ยวผมจะเลื่อนรถให้…”
เขาพูดแบบนั้น เพราะมันไม่มีที่จอดรถจนเขาต้องจอดซ้อนคัน แต่คนที่มองตนอยู่ด้านนอกกลับเป็นคนที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขา
“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ”
“…ผมเหนื่อยครับ”
ชเวอินซอบคิดว่าโชคดีแล้วที่เขาไม่เปิดไฟในรถ แสงไฟสลัวๆ ของลานจอดรถทำให้ไม่สามารถมองเห็นแผลบนหน้าของเขาได้อย่างละเอียด
“นั่นสินะครับ ช่วงนี้ไม่ได้นอนเลยนี่นะ ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากนอนข้างๆ เหมือนกันครับ”
อินซอบมองท่าทางของอีอูยอนที่ยิ้มอย่างเป็นปกติพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่คำพูดที่เขาได้ยินต่อมากลับทำให้หัวใจของเขาตกลงไปที่ตาตุ่ม
“ว่าแต่ใครทำให้เป็นแบบนั้นเหรอครับ”
“ครับ?”
“หน้าน่ะครับ”
“ผะ ผมล้มครับ”
อีอูยอนเอื้อมมือผ่านกระจกรถเข้ามาด้านใน มือขาวๆ ที่เข้ามาใกล้ๆ ในความมืดนั้นน่าสยองขวัญ อินซอบเอนตัวไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัว แต่อีกฝ่ายกลับจับคางของเขาไว้ อีอูยอนมองหน้าเขาอย่างละเอียดราวกับพิจารณาสิ่งของและพึมพำเหมือนพูดคนเดียว
“เป็นไปได้เหรอครับที่จะเป็นแผลแบบนี้เพราะล้ม”
“…”
“เหมือนถูกใครต่อยมาเลยหรือเปล่าครับ”
ชเวอินซอบลังเลอยู่พักหนึ่งว่าเขาจะพูดถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับคังยองโมดีหรือเปล่า แต่เขาก็ปิดปากเงียบและส่ายหน้า
“ผมล้มครับ ผมลื่นล้มที่บันไดเลยเป็นแบบนี้น่ะครับ”
อีอูยอนใช้มืออีกข้างกุมแก้มอินซอบเอาไว้ อินซอบทำตาโต เพราะรู้สึกถึงฝ่ามือเย็นๆ ของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
อีอูยอนที่มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่เสมอหรี่ตาและพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว
“ผมอารมณ์ไม่ดีเลยครับที่คุณบาดเจ็บบ่อยๆ”
“ครับ?”
“ผมบอกว่าผมอารมณ์ไม่ดี”
ชเวอินซอบพูดว่าขอโทษครับอย่างตะกุกตะกักด้วยความเคยชิน เพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะต้องตอบว่าอะไรก่อนที่จะพูดคำขอโทษกลับไป
“ถ้าคิดที่จะขอโทษก็ระวังตัวหน่อยสิครับ”
“ครับ”
“วันนี้คุณกลับไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมกลับแท็กซี่ก็ได้ ส่วนรถเดี๋ยวผมบอกหัวหน้าทีมชาเองครับ”
“ไม่ครับ ผมไม่เป็นไร”
ตาของอีอูยอนโค้งอย่างนุ่มนวล
“กลับไปเถอะครับ”
น้ำเสียงนั้นเฉียบขนาดจนใครๆ ก็สามารถรู้ได้ว่านั่นเป็นคำสั่งไม่ใช่การแนะนำ ชเวอินซอบพยักหน้าอย่างไม่สามารถทำอะไรได้
***